สุขภาพทางจิตวิญญาณ คืออะไร
โรคมะเร็งส่งผลกระทบต่อสุขภาพทางจิตวิญญาณอย่างไร
เมื่อคนเราทราบการวินิจฉัยจากคุณหมอว่าเป็นมะเร็ง จิตรู้สำนึกมองมะเร็งว่า เป็นสิ่งที่เลวร้าย น่ากลัว และมีอาการที่แสนทุกข์ทรมาน ความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของตนเองทำให้จิตวิญญาณไร้การควบคุม ไม่มีบุคลากรทางการแพทย์ที่มีเวลาให้ความรู้ถึงผลกระทบของโรคมะเร็งและแนวทางการปฏิบัติตนให้อยู่ร่วมกับโรคมะเร็ง เนื่องจากประชากรโรคมะเร็งมีมากกว่าจำนวนผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ทำให้แพทย์มุ่งติดตามปริมาณเซลล์มะเร็งและภูมิต้านทางของร่างกายจากผลเลือด รวมถึงการใช้เคมี/รังสีบำบัด โดยมีเวลาพบปะพูดคุยกับผู้ป่วยไม่เกิน 3 นาที ทั้งๆที่ผู้ป่วยต้องออกจากบ้านตั้งแต่ตีห้า นั่งรอตามคิวรพ. อีก 5-6 ชม. ผู้ป่วยที่มีความเป็นมิตรและการรับรู้โรคมะเร็งไม่เท่ากัน บางคนก็พูดคุยโดยไม่มี “ระบบชมรมเพื่อนช่วยเพื่อน” แต่ละคนลงทุนและทดลองการบำบัดทางเลือกที่หลากหลาย ซึ่งมีประสิทธิผลที่ไม่ยั่งยืน ผู้ป่วยมีร่างกายที่เสื่อมถอยลงเรื่อยๆ ในช่วงระยะเวลาไม่เกิน 5 ปีที่ไม่ส่งเสริมกำลังใจใดๆ นั่นคือ “เมื่อจิตวิญญาณไม่มีการพัฒนาขณะที่กำลังมีประสบการณ์ของการดำเนินชีวิตอยู่กับโรคมะเร็ง...สมรรถภาพร่างกายก็ค่อยๆ ทรุดโทรมลงไปเรื่อยๆ โดยไม่สามารถหยุดยั้งได้โดยธรรมชาติ หากแต่ชะลอหรือเพิ่มพูนอาการของโรคมะเร็งด้วยกรอบความคิดทางการแพทย์ที่มีขีดจำกัด”
ทำอย่างไรผู้ป่วยมะเร็งจึงมีสุขภาพทางจิตวิญญาณ
ยินดีอย่างยิ่งครับคุณนงนาท
...อ่านแล้วเข้าใจชีวิตคนเรามากขึ้นว่าถ้าประสบกับปัญหาที่หนักมากๆ..ต้องอดทนและดำรงชีวิตของตนให้อยู่รอดให้ได้..
ขอบคุณมากครับคุณสายลมที่หวังดี
Dr. Pop,
I have sent your article to let Ven. Dhammsami who is in Oxford, UK approve it. And I really hope that he will be pleased to give his suggestion to you directly.
Much metta,
Ven. Dhammahaso
MCU
ขอบพระคุณมากครับท่านพระคุณเจ้าธรรมหรรษา
ยินดีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ครับคุณ Pa daeng
จิตวิญญาณ คำนี้ เข้าใจ เข้าถึงยากจริงๆ
เห็นด้วยว่า เข้าถึงยาก แต่มีกระบวนการทำกิจกรรมที่เข้าถึงได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ขึ้นอยู่กับว่า ผู้ทำกิจกรรมเข้าใจตัวตนและคุณค่าของกิจกรรมอย่างไรครับ
ขอบคุณครับคุณหมอสีอิฐ
เนื่องจากประชากรโรคมะเร็งมีมากกว่าจำนวนผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ทำให้แพทย์มุ่งติดตามปริมาณเซลล์มะเร็งและภูมิต้านทางของร่างกายจากผลเลือด รวมถึงการใช้เคมี/รังสีบำบัด โดยมีเวลาพบปะพูดคุยกับผู้ป่วยไม่เกิน 3 นาที ทั้งๆที่ผู้ป่วยต้องออกจากบ้านตั้งแต่ตีห้า นั่งรอตามคิวรพ. อีก 5-6 ชม. ผู้ป่วยที่มีความเป็นมิตรและการรับรู้โรคมะเร็งไม่เท่ากัน บางคนก็พูดคุยโดยไม่มี “ระบบชมรมเพื่อนช่วยเพื่อน” แต่ละคนลงทุนและทดลองการบำบัดทางเลือกที่หลากหลาย ซึ่งมีประสิทธิผลที่ไม่ยั่งยืน ผู้ป่วยมีร่างกายที่เสื่อมถอยลงเรื่อยๆ ในช่วงระยะเวลาไม่เกิน 5 ปีที่ไม่ส่งเสริมกำลังใจใดๆ นั่นคือ “เมื่อจิตวิญญาณไม่มีการพัฒนาขณะที่กำลังมีประสบการณ์ของการดำเนินชีวิตอยู่กับโรคมะเร็ง...สมรรถภาพร่างกายก็ค่อยๆ ทรุดโทรมลงไปเรื่อยๆ โดยไม่สามารถหยุดยั้งได้โดยธรรมชาติ หากแต่ชะลอหรือเพิ่มพูนอาการของโรคมะเร็งด้วยกรอบความคิดทางการแพทย์ที่มีขีดจำกัด”
ข้อความข้างบนนี้โดนใจมาก พ่อเราก็เจอก้อนเนื้อบนสมอง เราไปพบแพทย์ เพื่อรอตรวจเลือดเก้าโมงเช้า นั่งรอจนถึงบ่ายโมงเพื่อรอคิวตรวจ หมอมา 14.30 กว่าจะได้ตรวจ ประมาณ 15.30 น.(เพราะได้คิวที่ 33) ต้องเสียเวลาเป็นวัน แต่ตอนเข้าไปพบหมอแค่ 1-2 นาที ไม่น่าเชื่อถ้าเราไม่ถาม แพทย์ก็ไม่บอก แม้กระทั่งการกิน การอยู่ การดูแลรักษาตัวเอง ซึ่งผู้ป่วยเองจะต้องหาข้อมูลเอง ซึ่งถ้าเป็นผู้ป่วยยากไร้ หรือ ผู้ป่วยที่ไม่มีลูกหรือญาติ ที่เรียนหรือมีความรู้ ก้คงไม่รู้จักวิธีปฏิบัติตัว หรือการกินอาหาร
เราเลยอยากเจอหมอที่อุทิศตัวหรือ เสียสละ เพื่อโรคนี้ หรือ มีจิตใจที่อยากช่วยผู้ป่วยจริงๆๆ โดยที่ให้เวลาผู้ป่วยซักถาม และ ให้ข้อแนะนำผู้ป่วย
ขอบคุณมากครับสำหรับประสบการณ์จากคุณ Noina
หากสนใจร่วมทำบุญพิมพ์หนังสือเรื่อง การจัดการตนเองเมื่อเป็นมะเร็ง ก็ติดต่ออีเมล์ได้ครับ ผมคาดว่าจะพิมพ์และแจกเป็นวิทยาทานแก่ผู้ป่วยมะเร็งไม่เกินเดือนมีนาคมนี้
อบรมฟรี กิจกรรมบำบัดจิตสังคมกับการจัดการมะเร็ง 17 ก.ย. 54
คลิกอ่านประชาสัมพันธ์ที่ http://www.gotoknow.org/classified/ads/1623