การรับอารยธรรมอินเดียในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ดินแดนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งอยู่ระหว่างประเทศอินเดียและประเทศจีน ซึ่งเป็นดินแดนแห่งอู่อารยธรรมยิ่งใหญ่ของเอเชีย ทั้งสองประเทศนี้มีการติดต่อค้าขายกันมาอย่างยาวนานโดยใช้เส้นทางบกและเส้นทางทางทะเล อีกทั้งประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เองมีสินค้าที่เป็นที่ต้องการสำหรับชาวอินเดีย เปอร์เซียเช่น เครื่องเทศ ไม้หอม ยาไม้หอม และทองคำ
เหตุการณ์ที่เป็นแรงกระตุ้นสำคัญที่ทำให้เกิดการเพิ่มปริมาณการค้าขายระหว่างชาวอินเดียและชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คือ แต่เดิมอินเดียได้ซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยโดยเฉพาะทองคำในบริเวณเมดิเตอร์เรเนี่ยนและเอเชียกลาง แต่ราว พุทธศตวรรษที่ ๔ – ๕ ได้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองขึ้นในแถบนี้ ทำให้การคมนาคมในแถบนี้ถูกตัดขาด อินเดียไม่อาจซื้อทองคำในไซบีเรียได้อีกต่อไป จึงหันไปซื้อทองคำในโรมันจนทำให้เศรษฐกิจโรมันกระทบกระเทือนไม่อาจขายทองให้อินเดียได้อีก ด้วยเหตุนี้อินเดียจึงเดินทางมาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อหาแหล่งที่ซื้อทองคำใหม่ และเรียกดินแดนแถบนี้ว่า “สุวรรณภูมิ” (สว่าง เลิศฤทธิ์, บรรณาธิการ, ๒๕๔๕ : ๑๑๘)
การเดินเรือมาค้าขายแต่ละครั้งต้องรอช่วงลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดมา ในระยะเวลาช่วงเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ และ การกลับก็ต้องรอลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนตุลาคมพัดกลับ ทำให้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลายเป็นจุดจอดพักเรือเพื่อรอและหลบลมมรสุม เป็นที่ขนถ่ายสินค้าเติมเสบียง และกลางเป็นศูนย์กลางทางการค้าที่สำคัญในที่สุด การเดินเรือแต่ละครั้งมิได้มีเพียงแต่พ่อค้า ยังมีนักบวชเดินทางร่วมมากับเรือด้วยเพื่อประกอบพิธีให้กับพ่อค้าเหล่านั้น ดังนั้นในช่วงระหว่างการรอลมมรสุม จึงมีการถ่ายทอดวัฒนธรรมให้แก่กัน ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงรับเอาวัฒนธรรมของชาวอินเดียมาผสมผสานเข้ากับวัฒนธรรมของตนเอง จนกลายเป็นรากฐานสำคัญ รูปแบบวัฒนธรรมอินเดียที่ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รับมา เช่น
ด้านอักษรศาสตร์ เช่น ตัวอักษรปัลลวะแบบที่นิยมใช้ในอินเดียภาคใต้ในสมัยราชวงศ์ปัลลวะ (พุทธศตวรรษที่ ๑๑ – ๑๒) ดังได้พบจารึกโบราณภาษาสันสกฤตทั่วดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อีกทั้งภาษาสันสกฤตซึ่งเป็นภาษาชั้นสูงที่พวกพราหมณ์ใช้ และยังคงมีบทบาทอยู่โดยได้ปะปนอยู่ในแต่ละภาษาของแต่ละประเทศ และงานวรรณกรรมในศาสนาพราหมณ์ ได้แก่คำภีร์พระเวท ซึ่งนักบวชในศาสนาพราหมณ์ยังใช่เป็นหลักคำสอน ตำรา ที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน
ด้านศิลปกรรมในรูปแบบของ สถาปัตยกรรม งานปฏิมากรรม และงานจิตกรรม ซึ่งถือว่าเป็นหลักฐานสำคัญที่เป็นรูปธรรมที่ทำให้เราทราบว่า ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รับเอาวัฒนธรรมอินเดียมาในสมัยใด หากพบหลักฐานประเภทนี้ในเมืองใดเป็นจำนวนมาก ๆ ก็ทำให้สามารถสันนิฐานได้ว่าเมืองนั้นเป็นเมืองแรกรับวัฒนธรรม เป็นเมืองท่าเป็นศูนย์กลางทางการค้าที่สำคัญ ศูนย์กลางการปกครอง ฯลฯ ในงานสถาปัตยกรรม ส่วนใหญ่แล้วจะได้รับอิทธิพลการก่อสร้างเนื่องในศาสนา เช่น เทวสถานต่าง ๆของ ศาสนาพราหมณ์เพื่อใช้ในการประกอบพิธีบูชาเทพเจ้า ในงานปฏิมากรรมเทวรูปศาสนาพราหมณ์ จะปรากฏการสร้างมหาเทพทั้งสามพระองศ์ คือ พระพรหม พระนารายณ์ พระอิศวรหรือพระศิวะ ลักษณะของงานปฏิมากรรมที่พบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คือ มีลักษณะเด่น ๆ ๒ แบบคือ แบบคาดผ้าคาดเอวแบบเฉียงบิดเป็นเกลียวซึ่งคล้ายคลึงกับเทวรูปในศิลปะสมัยหลังคุปตะ คือสมัยราชวงศ์ปัลลวะทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของอินเดียราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ และลักษณะแบบคาดผ้าคาดเอวแบบตรง (สุภัทรดิส ดิศกุล, หม่อมเจ้า., ๒๕๔๖ : ๑๑ - ๑๓) เทวรูปในศาสนาพราหมณ์รวมถึงศิวลึงค์ถูกพบมาใน เขมร ไทย พม่า ชวา
วัฒนธรรมประเพณี คติ ความเชื่อ และศาสนา โดยเฉพาะศาสนาพราหมณ์ ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในยุคแรกส่วนใหญ่นับถือศาสนาพราหมณ์ เมื่อกาลผ่านไป ศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม และศาสนาคริสต์ เข้ามา ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ได้ผสมผสานศาสนาพราหมณ์กับศาสนาใหม่ ๆ เหล่านี้ด้วยกันจนกกลายเป็นศาสนาที่มีรูปแบบเฉพาะตัวเช่น ลัทธิฮินดู-ชวาในอินโดนีเซียซึ่งผสมผสานระหว่างศาสนาฮินดูกับศาสนาดั่งเดิมของตน เขมรรับศาสนาพราหมณ์แล้วก็นำไปผสมผสานกับลัทธิฮินดู - ชวา (เทวราชา) แล้วพัฒนาจนศาสนาพราหมณ์ในเขมรเป็นศาสนาที่เกื้อหนุนอำนาจกษัตริย์และมากด้วยพิธีกรรมอันเคร่งครัดสลับซับซ้อน ศาสนาพุทธในประเทศไทยก็มีพิธีกรรมของศาสนาพราหมณ์เจืออยู่ในเกือบทุกพิธีกรรม เป็นต้น
ด้านการปกครอง ราวพุทธศตวรรษที่ ๕ เป็นต้นมา เมืองต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เริ่มขยายตัวใหญ่ขึ้น อันเป็นผลพวงมาจากการติดต่อค้าขายระหว่างชุมชน ดังนั้นจึงการตั้งหัวหน้าของแต่ละชุมชนเพื่อรักษาความปลอดภัยคุ้มครองประชนชนของตนไม่ให้โดนรังแกจากชุมชนอื่น ๆ อีกทั้งขยายอาณาของตนให้ใหญ่มากขึ้นให้เพียงพอต่อการขยายตัวของประชากร จนเมื่อศาสนาพราหมณ์เผยแพร่เข้ามา หัวหน้าชุมชนเหล่านี้กำลังต้องการคำแนะนำจากผู้รู้ เพื่อแผ่ขยายอำนาจ พวกพราหมณ์จึงได้เข้ามาเป็นที่ปรึกษา ให้คำแนะนำเกี่ยวกับหลาย ๆ ทาง เช่น ยกระดับให้ผู้นำการเป็นสมมุติเทพ เป็นองค์อวตารของเทพเจ้า สร้างความยำเกรงต่อสมาชิกในชุมชน ซึ่งข้อนี้เป็นที่ถูกใจผู้นำเป็นอย่างมาก ด้วยการบริหาร มีการนำการปกครองระบบศักดินา จตุสดมภ์และการปกครองหัวเมืองตามแบบอินเดียมาใช้ ในด้านกฎหมายก็ใช้กฎหมายพระธรรมศาสตร์ การสร้างเมืองใช้อุดมคติแบบเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ชุมชนแห่งแรกที่ก่อร่างสร้างตัวเป็นอาณาจักรแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ได้รับวัฒนธรรมทางศาสนาพราหมณ์คือ อาณาจักรฟูนัน
อาณาจักรฟูนัน ประมาณ ค.ศ. ๑ - ๖ ตั่งอยู่ตอนล่างและสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง มีการติดต่อกับประเทศอินเดียบริเวณลุ่มแม่น้ำคงคา ตั่งแต่คริสต์ศตวรรษที่ ๓ ในปี ค.ศ.๔๓๔ ปรากฏเรื่องราวของกษัตริย์โกญทัญญะจากบันทึกของจีน กล่าวกันว่าผู้ปกครองฟูนันเป็นพราหมณ์มาจากอินเดีย มาสมรสกับชาวพื้นเมืองซึ่งเป็นธิดาพญานาคชื่อว่านางโสมาแล้วให้กำเนิดทายาทหลายองค์ เช่น ฟันจัน ฟันขุน ฟันสิมา ซึ่งทั้งหมดได้กลายเป็นผู้ปกครองฟูนันต่อมา อาณาจักรฟูนันมีการปกครองในระบบกษัตริย์มีการสืบราชวงศ์แบบอินเดียและรับระบบศักดินามาจากอินเดีย ชนชั้นปกครองนับถือศาสนาพราหมณ์ไศวนิกาย นับถือศิวลึงค์ ส่วนชาวพื้นเมืองมีทั้งนับถือศาสนาพราหมณ์ไวษณพนิกาย ใช้คัมภีร์สันสกฤต อีกทั้งเป็นอาณาจักรแรกในเอเชียตะวันออกที่ใช้ภาษาสันสกฤตเป็นภาษาราชการ ส่วนงานทางด้านศิลปกรรมปรากฏหลักฐานซากอาคารสมัยก่อนเมืองพระนคร รวมทั้งเทวรูปพระนารายณ์ พระหริหระและพระพุทธรูปสมัยก่อนเมืองพระนคร (สว่าง เลิศฤทธิ์, บรรณาธิการ, ๒๕๔๕ : ๑๓๓ - ๑๓๔)
ยังมีอาณาจักรโบราณในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับอารยธรรมอินเดียเช่น ทวารวดี ศรีวิชัย จามปา เจนละ ฯ
ในประเทศไทย อิทธิพลความเชื่อของศาสนาพราหมณ์มีส่วนสำคัญในการกำหนดรูปแบบการปกครองของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเชิดชูความสำคัญของสถาบันกษัตริย์ในฐานะผู้ปกครองตามลัทธิเทวราชา ที่รับมาจากเขมรอีกทอดหนึ่งนั้น ถือว่ากษัตริย์ทรงใช้ทรงพระราชอำนาจในการปกป้องและคุ้มครองให้อาณาประชาราษฎร์อยู่ร่มเย็นเป็นสุข อันเป็นพระราชภาระของพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์
------------------------------------------
บรรณานุกรม
สว่าง เลิศฤทธิ์, บรรณาธิการ, โบราณคดีและประวัติศาสตร์ในประเทศไทย. พิมพ์ครั้งที่ ๑, ร่องรอยวัฒนธรรมอินเดียในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, โดยผาสุข อินทราวุธ. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศิลปากร ๒๕๔๕.
สุภัทรดิส ดิศกุล, หม่อมเจ้า. ศิลปะในประเทศไทย. พิมพ์ครั้งที่ ๑๒. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. ๒๕๔๖.
วาทิน ศานติ์ สันติ : เรียบเรียง
ไม่มีความเห็น