เมื่อการเดินทาง ..ปราศจากจุดมุ่งหมาย


ข้าพเจ้าเข้าสู่วิถีแห่งการทำสมาธิภาวนามาได้สามปีกว่า  มีหลายอย่างในชีวิตเปลี่ยนแปลงไปมากมาย   การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นทั้งเรื่องภายในและภายนอก  เริ่มต้นจากที่ข้าพเจ้าเปลี่ยนที่ทำงาน  กลับเข้ามาทำงานในระบบ แล้วมาใชัชีวิตในเมืองเล็กๆ   อยู่กับความสงบเงียบ และอยู่เพียงลำพัง 

หลายคนมองว่า ข้าพเจ้าคงมีปัญหาอะไรสักอย่างในที่ทำงานเดิม  หรือไม่ก็มีปัญหาอะไรในใจสักอย่าง จึงต้องย้ายที่ทำงาน  จึงต้องย้ายถิ่นที่อยู่  (โชคดีที่ข้าพเจ้าไม่ถึงขนาดออกบวช  ซึ่งถ้าทำดังนั้น คงจะทำให้ใครหลายคนที่รู้จักมีอาการตกอกตกใจมากกว่านี้  )   ซึ่งอันที่จริงแล้ว ก็คิดจะทำอยู่เช่นกัน   แต่ด้วยภาระหน้าที่ ต้องดูแลเลี้ยงดูพ่อแม่ที่อายุมากขึ้นทุกวัน  ต้องดูแลคนในครอบครัว  การเลิกทำงานการต่างๆ แล้วตัดช่องน้อยแต่พอตัวออกบวช  ดูจะเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง   ข้าพเจ้าจำเป็นต้องทำงาน เพื่อจะมีรายได้เลี้ยงชีวิต และการงานของข้าพเจ้านั้นก็ยังสามารถช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นได้อยู่  ข้าพเจ้าจึงยังดำรงอยู่ ในชีวิตแบบโลกๆ ต่อไป   แต่การย้ายที่ทำงานก็อาจจะทำให้ใครหลายๆคนมึนงงว่า  ข้าพเจ้าจะเดินไปทิศทางไหนอีก  

 

การเข้าสู่วิถีภาวนา ทำให้ข้าพเจ้าตระหนักรู้อะไรบางอย่าง  และมองเห็นหนทางว่า ควรจะใช้ชีวิตที่เหลือแบบไหน  อะไรที่สำคัญอย่างแท้จริงในชีวิต อะไรที่ไม่มีความสำคัญ และควรจะปล่อยวางลงเสียบ้าง   

ข้าพเจ้ามุ่งหวังที่จะอยู่ในสถานที่  ที่เื้อื้อโอกาสให้ได้ทำสมาธิภาวนา และในขณะเดียวกันก็ได้อยู่ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นบ้างตามสมควร   การจะหาสถานที่ ที่ลงตัวเช่นนั้นได้  ไม่ใช่ของง่ายนัก  แต่ข้าพเจ้าก็สามารถหาได้ในที่สุด

หลายคนเข้าใจว่าเราสามารถทำงานไป ภาวนาไปก็ได้ และอยู่แบบโลกๆ ต่อไป สู้รบปรบมือกับการกระทบอารมณ์แบบโลกๆ นี่แหละ ไม่จำเป็นต้องบวช ไม่จำเป็นต้องย้ายไปแสวงหาที่เหมาะสนแก่การภาวนาที่ไหนทั้งสิ้น อยู่กับความวุ่นวายแบบโลกๆ  ในเมืองใหญ่นี่แหละ  นั่นคงจะเหมาะกับผู้คนที่มีความสามารถและมีอินทรีย์แก่กล้าอย่างมากทีเดียว    แต่สำหรับข้าพเจ้านั้น ไม่มีอินทรีย์แก่กล้ามากพอสำหรับการภาวนาในสถานที่เช่นนั้นได้   อย่างไรเสียการเลือกที่อยู่อันเหมาะสมแก่การภาวนา  ก็ยังเป็นสิ่งที่เราสามารถแสวงหาได้   เพราะแม้แต่สมณนักบวช  บางครั้งท่านก็ยังต้องปลีกวิเวกเข้าสู่ป่าหาความสงบ 

ข้าพเจ้าดีใจที่ได้มาอยู่เมืองเล็กๆ และสงบเงียบ ไม่มีรถราวุ่นวาย  ไม่ต้องขับรถไปทำงาน แถมเดินไปทำงานได้  และมีภูเขามีต้นไม้   มีธรรมชาติที่ช่วยผ่อนคลายจิตใจอยู่รายรอบ

ข้าพเจ้าไม่แสวงหาห้างร้านใหญ่ๆ  ร้านอาหารดีๆ  โรงหนังโรงภาพยนตร์  บ้านหลายสิบล้าน  รถราคาแพงๆ  สังคมชั้นสูง หรือสังคมของผู้มีอันจะกิน  สังคมของคนเป็นใหญ่เป็นโตที่มากด้วยสมมติบัญญัติ    แถมมักจะพูดกันถึง การมีนั่นมีนี่ หรือการได้นั่นได้นี่อยู่ตลอดเวลา   นี่เป็นเรื่องหาสาระอะไรไม่ได้ในชีวิตของข้าพเจ้า  แต่คงจำเป็นสำหรับคนอีกหลาย ๆ คนที่มีความสุขกับการมีและการเป็นอะไรสักอย่าง ในการใช้ชีวิตแบบโลกวัตถุนิยมทั้งหลาย

หลายคนคิดว่า  การภาวนาแบบพุทธนั้น   มักจะทำให้ผู้คนที่เข้าสู่เส้นทางสายนี้กลายเป็นพวก passive  ไม่สร้างสรร ไม่อยากมีไม่อยากเป็นอะไร  ทำให้ชีวิตการงานไม่ก้าวหน้า แถมไม่ค่อยจะแก้ปัญหาใดๆ   กลายเป็นพวกเฉื่อยชาในระบบ  ชีวิตขาดรสชาด แถมกลายเป็นพวกแปลกแยกในสังคม  และอาจจะถ่วงความเจริญของสังคมและองค์กร  เพราะในยุคสมัยนี้ ชีวิตคือการแข่งขัน  คือการวิ่งหาความก้าวหน้าไปเรื่อยๆ  ต้องตามโลกให้ทัน ต้องตามข่าวสาร ให้ทัน  เราต้องแข่งขันกัน ในการที่จะวิ่ง ไปข้างหน้าเพื่อให้ทันโลก    แต่การภาวนาดูเหมือนจะหยุดความอยากมีอยากเป็น  หยุดการเข้าสู่การแข่งขัน ทำให้กลายเป็นคนเฉื่อยชาและล้าสมัยได้   ผู้คนบางส่วนจึงทั้งเกลียดและกลัวการภาวนามาก  และมีอคติในด้านลบอยู่ตลอดเวลา 

สำหรับข้าพเจ้าแล้ว การภาวนาทำให้ข้าพเจ้าพอใจในจุดที่ยืนอยู่ เลือกที่จะใช้เวลาที่เหลือในชีวิต  กับสิ่งที่ตนเองเห็นว่าสำคัญ  แถมข้าพเจ้าก็กลายเป็นคนที่พูดจาตรงๆ   และเมื่อมีปัญหาข้าพเจ้าก็ยินดีที่จะพูดตรงๆ ซึ่งๆหน้าเช่นกัน    แม้กระทั้งในการทำงาน และมีปัญหาไม่เข้าใจกันกับผู้ร่วมงาน ข้าพเจ้าก็พูดกับคู่กรณีอย่างตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม    มีครั้งหนึ่งข้าพเจ้าบอกคุณพยาบาลท่านหนึ่งอย่างตรงไปตรงมาว่า   การกระทำอย่างหนึ่งของเธอไม่น่ารัก และข้าพเจ้ารู้สึกแย่ รู้สึกเสียใจที่เธอทำเช่นนั้น   นั่นเป็นการบอกตรงๆ จากใจ อย่างที่สุด  ข้าพเจ้าไม่ได้เก็บงำความรู้สึกใดๆ   ว่าเรารู้สึกอย่างไรกับใคร และเมื่อข้าพเจ้าจะกล่าวขอบใจใครสักคน  ข้าพเจ้าก็กล่าวออกมาตรงๆเช่นกัน   ข้าพเจ้าไม่ได้แกล้งที่จะทำสงบเพื่อให้เป็นคนดูดีด้วยซ้ำ   และเมื่อข้าพเจ้าไม่ประสงค์จะทำสิ่งใดข้าพเจ้าก็จะบอกออกมาตรงๆ  เช่นกัน  จากที่สังเกตดูตนเองมาสักระยะ    หลังการภาวนามาหลายปี จนเข้าปีที่สาม ข้าพเจ้าก็ไม่ได้กลายเป็นคน passive  อะไรอย่างที่เขาว่ากัน  กลับตรงไปตรงมามากขึ้น  แถมไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตามอะไรง่ายๆ ดังเช่นแต่ก่อน    

 

และเมื่อมีปัญหาใดๆที่หนักหนาสาหัส   ข้าพเจ้าก็ยังมองหาหนทางแก้อยู่  แม้จะแก้ไม่ได้ในตอนนั้น แต่ข้าพเจ้าก็ยังหาหนทางแก้ต่อไป   แถมไม่ทุกข์กับมันมากมายอย่างแต่ก่อนแล้ว  เมื่อกลับเข้ามาอยู่ในองค์กรของรัฐที่เต็มไปด้วยระบบระเบียบ  บางทีระบบก็ล่าช้าไม่เป็นไปตามที่ต้องการ   ความวุ่นวายหลายอย่างก็บังเกิดแก่ชีิวิต    แต่ข้าพเจ้าก็พบว่า ตนเองนั้นก็ยังใจเย็นพอที่จะดำรงอยู่ได้โดยไม่ทุกข์ และไม่คิดท้อใจในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น  แม้หลายๆคนจะพากันท้อใจไปบ้างแล้วก็ตาม

 เท่าที่พบเจอมานั้นในองค์กรต่างๆ ที่ก่อตั้งมานาน   เมื่อเกิดปัญหาติดขัดขึ้น  หลายคนในองค์กรมักมองว่า  การแก้ปัญหาทั้งหลายนั้น  จะแก้ได้จริงและไม่มีอุปสรรค ก็ต่อเมื่อเราเป็นใหญ่เป็นโตแล้วเท่านั้น    ต้องได้เป็นผู้อำนวยการสถาบัน   ได้เป็นผู้ว่า ฯ  ได้เป็น  รมต.    หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่ยิ่งใหญ่มากๆ ก่อน  จึงจะสามารถแก้ปัญหาได้  นั่นไม่จริงเลย   แม้เราจะเป็นคนเล็ก  ๆ  จากก้าวเล็กๆ เพียงหนึ่งก้าวที่ตั้งใจจริง  เราเปลี่ยนแปลงโลกได้  ข้าพเจ้าเชื่อเช่นนั้น  และสิ่งที่เราควรเปลี่ยนอันดับแรกคือตัวเราเอง 

ดังนั้นเมื่อเราอยู่ในจุดที่ทำอะไรสักอย่างได้ ก็ควรจะทำ และเมื่อลงมือทำเราก็ไม่ควรคิดถึงสิ่งที่จะทำไม่ได้   อุปสรรคที่เกิดขึ้นในอดีตก็คืออดีต  นี่คือปัจจุบัน เราเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ

ปัญหาของเราทั้งหลายก็คือการติดยึด  เมื่อเราจะพัฒนาอะไรสักอย่างในองค์กร  เรามักจะคอยคิดว่า  เดี๋ยวมันก็เป็นเหมือนเดิมแหละ  มันก็เป็นแบบนี้มาทั้งปีทั้งชาติแล้วล่ะ  ใครจะแก้ได้  เมื่อก่อนข้าพเจ้าก็คิดเห็นเป็นเช่นนั้น

 แต่ในปัจจุบันนี้  ข้าพเจ้ากลับมองว่า  ปัญหาอะไรๆ  มันก็จะไม่ยากลำบากอีกแล้ว  ถ้าเราไม่คิด ไม่ทำ ไม่มองแบบเดิมๆ อีก    เราต้องเปลี่ยนมุมมอง และมีศรัทธามากพอต่อสิ่งที่เราจะทำ   ศรัทธาต่อสิ่งที่เราจะพัฒนาแก้ไข

จนถึงเดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าก็ไม่พบว่าตนเองจะ Passive ตรงไหน  การภาวนาไม่ได้ทำให้ข้าพเจ้าปล่อยชีวิตแบบตามบุญตามกรรมอย่างที่ใครๆคิด  แถมข้าพเจ้ายังแปลกใจในตนเองไม่น้อย ที่มีท่าทีต่อปัญหาต่างไปจากเดิม   และรู้จักมองหาหนทางแก้ปัญหาไปเรื่อยๆ  อย่างช้าๆ  แถมเกิดความเชื่อมั่นว่า ทุกสิ่งมักจะเริ่มต้นด้วยการก้าวเพียงหนึ่งก้าวนี่แหละ 

ตัวอย่างในปัจจุบัน ก็คือเรื่องมุมมองต่อการทำงาน ต่อที่ทำงาน  มีบางคนกล่าวว่าโรงพยาบาลที่ข้าพเจ้ากำลังทำงานอยู่นี้  คงเป็นได้แค่นี้แหละ  คงไม่สามารถพัฒนาอะไรได้อีกแล้ว  ข้าพเจ้ากลับมองว่า  มันจะพัฒนาถ้าความคิดเราเปลี่ยน  อุปสรรคปัญหาอันแรก  ก็คือที่ความคิดและมุมมองของเรานี่แหละที่ดันไปคิดว่ามันพัฒนาไม่ได้    แถมเราไม่ยอมลงมือทำอะไรกันเลย  นอกจากพร่ำบ่นและเฝ้ามองดูมันไปวันๆ  ช่างเป็นเรื่องที่ดูสิ้นหวังอะไรแบบนั้น

หลังๆ พอข้าพเจ้าคุยกับใครหลายๆคน   ในมุมมองต่างๆ  บางคนก็บอกว่า ดีนะที่ข้าพเจ้าคิดบวก    แต่ข้าพเจ้ารู้แก่ใจว่า  ข้าพเจ้าไม่ได้พยายามคิด หรือมองหาสิ่งที่เขาบอกกันว่าเป็นเชิงบวกแต่อย่างใด  แต่ความรู้สึก  ความคิดเห็นทั้งหมดต่อเรื่องต่างๆ   มาจากการมองอะไรที่ตรงไปตรงมา และมีใจที่เป็นกลางมากขึ้น   และนั่นคือสิ่งที่ได้จากการภาวนา   การภาวนาไม่ได้ทำให้เราเป็นมนุษย์สิ้นหวัง  ปล่อยชีวิตไปตามบุญตามกรรม    แต่ทำให้เรารู้จักมองโลกอย่างตรงไปตรงมา ตามความเป็นจริง   และรู้จักลดตัวตน ปล่อยวางความคิดเห็นแบบตัวกูของกูลง  ทำให้รู้จักเข้าใจคนอื่น   นั่นคือผลจากการทำสมาธิภาวนาเช่นกัน

ถ้าจะถามว่าตกลงตอนนี้ข้าพเจ้ากลายเป็นคนดีมีคุณธรรม  และบรรลุธรรมระดับสูงแล้วหรืออย่างไร  เปล่าเลย  ข้าพเจ้าก็ยังเป็นคนดีบ้างชั่วบ้างตามปกติ  ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นพระโสดาบัน หรือเป็นมนุษย์ที่อยู่เหนือโลกแต่อย่างใด    ข้าพเจ้าก็เป็นแบบนี้แหละ  ไม่ได้ดีกว่าใครๆ  แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากมาย  ข้าพเจ้ารู้สึกเช่นนั้นจริงๆ 

มาถึงตรงนี้ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจที่ตนเองไม่ได้หลงใหลติดยึดในความดีหรือติดดีสักเท่าไหร่  เพียงแต่รู้ตัวรู้ตนว่าควรทำอะไรและควรเดินอย่างไร  โดยไม่สร้างทุกข์ให้คนรอบข้าง  หรือสร้างทุกข์ให้ตนเองเพิ่มมากขึ้น

ในการเข้าสู่การภาวนาของวัชรยานสายคากิวกับครูตั้ม –วิจักขณ์ พานิช ข้าพเจ้าก็ได้มีโอกาสได้เรียนรู้แนวทางการภาวนาของสายนี้บ้าง  ทว่าไม่ได้ลึกซึ้งอะไรนัก   แต่ข้า้พเ้จ้าก็ได้อ่านหนังสือของท่าน เชอเกียม  ตรุงปะ  ซึ่งเป็นธรรมาจารย์ของสายนี้อยู่หลายเล่ม   ในจำนวนนั้นมีหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งกัลยาณมิตรที่เคารพนับถือกัน นำมาแบ่งปันให้อ่าน  หนังสือเล่มนั้นชื่อว่า "การเดินทางอย่างปราศจากจุดมุ่งหมาย "  ข้าพเจ้ารู้สึกชอบใจกับชื่อของหนังสือเล่มนี้    เส้นทางการภาวนากลายเป็นการเดินทางที่ปราศจากจุดมุ่งหมายได้อย่างไรกันช่างน่าสงสัยไม่น้อย    แถมฟังดูอาจจะแปลกๆ อยู่  สำหรับผู้คนในสายเถรวาท   เพราะสำหรับแนวทางเถรวาทแล้ว  จุดหมายปลายทางของการภาวนา คือการให้ถึงซึ่งพระนิพพาน หรือการได้เป็นพระโสดาบันเป็นอย่างน้อย  

แต่เหตุใดไม่รู้ แม้ข้าพเจ้าจะอยู่ในแนวทางของเถรวาท และภาวนาในสายของเถรวาทมาไม่น้อย   แต่ยิ่งนานวันข้าพเจ้าก็ยิ่งเห็นจริงว่า การเดินทางเส้นนี้ไม่มีจุดมุ่งหมาย ตามชื่อหนังสือเล่มนี้ด้วย    และมีอยู่หลายๆ  ครั้งที่ตัวข้าพเจ้าเองก็รู้สึกว่า ตนเองไม่มีจุดหมายอะไรที่แท้จริงสักเท่าไหร่ เมื่อเข้าสู่เส้นทางภาวนา

เมื่อถามตนเองว่าอยากหลุดพ้นจริงๆ หรือ ข้าพเจ้าก็อดถามตนเองต่อไปไม่ได้ว่าอยากหลุดพ้นจากอะไรเล่า  ?

  แม้ปัจจุบัน ข้าพเจ้าจะเห็นทุกข์  เข้าใจว่าชีวิตคือกองทุกข์  แต่ข้าพเจ้าก็ไม่คิดว่าตนเองควรจะหนีทุกข์ไปหาสุขเอาข้างหน้า  เพราะในระยะหลังๆ ข้าพเจ้าพบว่า การอยู่ในความทุกข์ ด้วยใจที่เป็นกลางและอยู่อย่างเข้าใจ  ข้าพเจ้าก็พบว่าก็พอจะดำรงอยู่กับมันได้ตามสมควร   นี่อาจจะเป็นเพราะข้าพเจ้ายังไม่เจอความทุกข์อย่างถึงที่สุดกระมัง ข้าพเจ้าจึงไม่คิดจะหนีทุกข์สักเท่าไหร่ ? 

ในการภาวนากับเซนมหายาน ตามแนวทางของหลวงปู่ติช นัท ฮันห์   ข้าพเจ้าพบว่า  การดำรงอยู่ในปัจจุบันขณะ คือสิ่งสำคัญประการเดียวของชีวิต  ไม่มีที่นั่น  ไม่ที่ไหน ไม่มีอะไรจะให้เอาจะให้เป็น  เพราะชีวิตที่แท้จริงของเราอยู่ที่นี่    ขณะนี้และเดี๋ยวนี้    ควรหรือไม่ที่เราจะคิดหวังไปยังอนาคต  คาดหมายถึงความสุขในอนาคต  คาดหมายถึงการบรรลุธรรมในอนาคต  คาดหมายถึงเส้นทางในอนาคต  คาดหมายถึงเป้าหมายต่างๆในอนาคต 

เมื่อเริ่มออกเดิน ข้าพเจ้ารู้สึกว่าตนเองมีเป้าหมายอะไรสักอย่างอยู่ในใจ เมื่อเดินๆไป ข้าพเจ้าก็พบว่าเป้าหมายนั้นดูคลุมเคลือและไม่ชัดเจนนัก และเมื่อเดินไปเรื่อยๆข้าพเจ้าก็เริ่มสนใจสิ่งที่พานพบระหว่างการเดินทาง มากกว่าที่จะคิดถึงเป้าหมาย  เพราะทุกสิ่งทุกอย่างคือการเีรียนรู้และเข้าใจ 

แถมช่วงหลังๆ มานี้  ข้าพเจ้ารู้สึกเบิกบานกับสิ่งที่พบเห็นในชีวิต   และรู้สึกขอบคุณในทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เข้ามาในชีวิต   แม้สิ่งนั้นจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าพบเจอสักเท่าไหร่  แต่สิ่งนั้นก็มีบทเรียน  มีบททดสอบ  มีอะไรบางอย่างที่มาสอนให้ข้าพเจ้าตระหนักรู้และเข้าใจในชีวิตที่เป็นอยู่ 

นานเข้า  นานเข้า  ข้าพเจ้าก็เลิกสนใจในเป้าหมายและอยู่กับปัจจุบันขณะมากขึ้นเรื่อยๆ  และอย่างไรไม่รู้ข้าพเจ้าก็เริ่มรู้สึกว่า การเดินทางของข้าพเจ้าไม่มีจุดมุ่งหมายปลายทางอะไร   ข้าพเจ้าเพียงแต่ใช้ชีวิตไป ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างรู้ตัวทั่วพร้อม  แต่ละขณะ  แต่ละขณะ     ข้าพเจ้าไม่ได้เศร้าโศกกับอดีต ไม่ได้มุ่งหวังอะไรในอนาคต  ข้าพเจ้ากลับมาอยู่กับปัจจุบันมากขึ้นเรื่อยๆ 

น่าแปลกใจที่การเดินทางของข้าพเจ้าบนหนทางแห่งการภาวนานี้    เสมือนว่าจะปราศจากจุดมุ่งหมายไปทุกที  ทุกที    ข้าพเจ้าเริ่มตระหนักรู้อย่างชัดเจนว่า  บนเส้นทางนี้  ไม่มีที่ไหนที่จะไป  ไม่มีอะไรที่จะได้    มีแต่ปัจจุบัน ..

 

 

 

คำสำคัญ (Tags): #การเดินทาง
หมายเลขบันทึก: 328414เขียนเมื่อ 15 มกราคม 2010 22:41 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 22:14 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ติดตามอ่านนะคะ ขอบคุณมากมาก

ขอบคุณเช่นกันค่ะ  ที่แวะมาเยี่ยมเยือน blog. นี้  ^ - ^

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท