ชายชราตาบอดร่างอ้วน เท้าข้างหนึ่งพิการ เดินมาตามถนน งก ๆ เงิ่น ๆ กะโพลกกะเพลก ลากเท้าข้างหนึ่งสองมือกำไม้เท้า ค้ำเดินไปช้า ๆ เหนื่อยก็นั่งพักศาลา แล้วเดินต่อ เป้าหมายคือ หมู่บ้านที่มีงานบุญเดือนห้า ทุกหมู่บ้าน
เสียงเรียกชื่อคุณย่าของผู้เขียนที่หน้าบ้านทำให้ผู้เขียนต้องออกมาดู จึงเห็น ลุงคง ชายตาบอดร่างอ้วน มานั่งอยู่บนพื้นหน้าบ้าน "อ้าว ลุงคง มาแล้วเหรอ" ผู้เขียนต้องต้อนรับ ลุงคงทุกปี ในวันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 5 เพราะในวันขึ้น 13 ค่ำ จะเป็นงานบุญประจำปีของหมู่บ้าน ลุงคงชายตาบอดจะมากินขนมจีนน้ำยาที่แกชอบเสมอ และจะมานอนที่ศาลาหน้าบ้านของผู้เขียน ซึ่งเป็นศาลาสาธารณะ ให้คนพักเหนื่อยจากเดินทาง ซึ่งในแถบบ้านของผู้เขียน ในอดีต จะมีศาลาที่พักคนเดินทางคนใจบุญสร้างไว้เป็นระยะตลอดทาง โดยไม่ใช่งบรัฐบาล( ปัจจุบันเหลือน้อยเต็มที ผุพังไปตามกาลเวลา )
ผู้เขียนจะจูงลุงคงไปอาบน้ำในบ่อข้างศาลา จากนั้นจะพาไปที่ศาลาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ เมื่อใกล้ค่ำก็จะเอาหมอนกับผ้าห่มมาให้ บางปีคุณย่าจะซื้อผ้าถุงใหม่ให้นุ่ง( ผู้ชายภาคใต้นุ่งผ้าถุงแบบแขก ) ลุงคงอาศัยอยู่กับพระในวัดมาหลายสิบปี ในกุฎิหลังเก่าที่เจ้าอาวาสให้อาศัยด้วยความสงสาร ชายตาบอดที่ถูกทอดทิ้งไร้ญาติพี่น้องสนใจ
ผู้เขียนมักนั่งเป็นเพื่อนและพูดคุย กับลุงคงบนศาลาจนพลบค่ำ เพราะแกมักยกย่องคุณตาหรือคุณย่าของผู้เขียนเสมอ และชมครอบครัวผู้เขียนว่าดีอย่างนั้นอย่างนี้ แม่ผู้เขียนเลยบอกว่า เพราะลุงคงได้พึ่งพิงคุณย่าของผู้เขียนแกจึงปากหวานแบบนั้น แต่เด็กอย่างผู้เขียน ก็ชอบไม้เท้ากับนิทานที่แกเล่าให้ฟังได้หัวเราะสนุกสนาน ไม่ได้คิดมากอะไร ผู้เขียนสังเกตตามเนื้อตัวของแกเต็มไปด้วยรอยแผลที่หลัง ที่แขน และที่ขา ลุงคงมักเอามือลูบรอยแผลเป็นเหล่านั้น
เช้าขึ้นมาจะเป็นการทำบุญตักบาตรที่ศาลาหน้าหมู่บ้านซึ่งเป็นพิธีอุทิศส่วนกุศลให้กับบรรพบุรุษ สิ่งที่ขาดไม่ได้คือขนมจีนน้ำยา ซึ่งทุกบ้านต้องทำเหมือนกันและนำขนมมาแลกเปลี่ยนกัน รวมทั้งนำขนมจีนไปให้ญาติผู้ใหญ่ หลังจากงานบุญที่ศาลาแล้ว ในวันต่อมาก็จะทำบุญที่ป่าช้าประจำหมู่บ้าน หลังพระฉันเสร็จแล้ว ผู้เขียนจะนำขนมจีนมาให้ลุงคงกิน คนอื่นกินจานเดียวสองจานก็อิ่ม แต่ลุงคงกินไม่เหมือนคนอื่น คือ ครั้งละ สองกะละมัง ผู้เขียนไม่แปลกใจที่แกอ้วนขนาดนั้น
เมื่อเสร็จงานบุญแกก็จะเดินกลับวัดและคอยฟังพระพูดว่างานบุญจะมีที่บ้านไหนแกก็จะเดินไปบ้านนั้น
ภายใต้แสงตะเกียงน้ำมันก๊าด ก่อนนอน คุณย่าเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ลุงคงเป็นมุสลิม ในหมู่บ้านใกล้กันนี้เอง แต่ไม่ได้เคร่งศาสนาชอบมีเรื่องตีรัน ฟันแทง กินเหล้าเมายา ตั้งแต่ยังหนุ่ม ชอบลักเล็กขโมยน้อย ก่อคดีไปตามที่ต่าง ๆ ญาติพี่น้องหาเมียให้ก็อยู่กันไม่ได้ ในที่สุดเมียได้หนีจากไป ทำให้ลุงคงยิ่งร้ายมากขึ้น และก่อคดีใหญ่ขึ้นตามลำดับ ในที่สุดถูกเจ้าทรัพย์ทำร้ายจนเกือบตายมีชีวิตรอดมาได้ด้วยสภาพร่างกายที่อ่อนแอกว่าเดิม แต่ไม่มีใครยอมรับดูแลคนไม่ดี จึงต้องมาอาศัยวัดอยู่คอยรับใช้พระกินข้าวไปวัน ๆ
วันหนึ่งลุงคงมีอาการเจ็บตา ในสมัยนั้นไม่มีหมอตาจึงฝากให้สามเณรรูปหนึ่งไปซื้อยาหยอดตาในร้านขายของชำใกล้วัดให้ โดยหารู้ไม่ว่าสามเณรรูปนั้นเป็นเด็กกำพร้าที่ตนได้กระทำกรรมกับพ่อแม่เขาไว้ จนเขาต้องมาบวชอาศัยวัดเหมือนกัน ความแค้นที่ฝังลึกอยู่ในใจสามเณรจึงซื้อยาซีม่าแก้โรคผิวหนังมาให้แล้วบอกว่าถ้าแสบตาก็ให้ทนเอาเพราะยากำลังออกฤทธิ์
ด้วยเป็นคนไม่รู้หนังสืออ่านเขียนไม่ได้ ลุงคงจึงเอายามาหยอดและเมื่อยาออกฤทธิ์ก็ทนเอา ใส่ยากับตาอีกข้างหนึ่ง จนทนไม่ไหว ร้องครวญคราง พระที่อยู่ใกล้มาช่วยเอาน้ำมาล้างตาก็สายไปเสียแล้ว ตาของลุงคงได้บอดทั้งสองข้าง นับตั้งแต่บัดนั้น ส่วนสามเณรได้หนีหายไปจากวัดไม่ทราบว่าไปที่ไหน
เวรกรรมที่ลุงคงมาได้มาพบกับแกโดยไม่รู้ตัว แม้กฎหมายจะเอื้อมมาไม่ถึง หรืออยู่ในร่มเงาแห่งศาสนาก็ไม่อาจปกป้องจากกรรมเก่านั้นได้ ผู้เขียนตอนจูงชายตาบอดคนนี้แล้วก็รู้สึกหวั่นกลัวในใจว่าความเป็นนักเลงของแกจะยังคงเหลืออีกหรือเปล่า คนตาบอด ร่างอ้วน ฟันหลอ ขาเสีย ไม่น่าจะมีชีวิตที่พลิกผันถึงเพียงนี้
เมื่อผู้เขียนเรียนจบปริญญาตรี ไปทำงานที่ภาคอีสานกลับมาบ้าน ก็ได้ข่าวว่าลุงคงได้เสียชีวิตแล้วในวัดอย่างสงบและญาติฝ่ายมุสลิม ได้นำไปประกอบพิธีตามศาสนาเดิม
โอ๋จำลุงคงได้ค่ะพี่ แกน่าสงสาร ตอนเด็กๆ ชอบมองเวลาที่ลุงคงทานข้าวแกทานเป็นกะละมังจริงๆ แอบทึ่งลุงแกทำได้ไง
แต่ไม่เคยทราบเบื้องหลังแกเลยว่าทำไม แกถึงได้มีสภาพแบบนี้ ขอบคุณค่ะที่เล่าสู่กันฟัง กรรมนี้น่ากลัวจริงๆค่ะ ผลตอบแทนของกรรมชั่วนี้เท่าทวีคูณจริงๆ