ได้เรียนรู้อะไรจากแผลที่ขา


การเจ็บป่วยครั้งนี้ หนูได้เรียนรู้ ว่า มันจะเปื่อย มันก็ เปื่อย ของมันเอง ถ้าเราไม่กังวล กับมันมาก สุดท้าย มันก็หายของมันได้เอง เห็นความไม่เที่ยง และเป็นทุกข์ ของกายและใจ ชัดขึ้นเจ้าค่ะ

กลับจากงานศพพี่นก Giant Bird หนูมีอาการผิดปกติที่ขาข้างขวา ใกล้ ๆ ข้อพับ เป็นความรู้สึกแสบคัน เปิดดู จึงลองหยิบมือถือมาถ่ายภาพเก็บไว้ ตอนนั้นก็ไม่คิดอะไร

วันแรก ๆ หนูลองทา ยาหม่องเสลดพังพอน แต่ก็อาการไม่ดีขึ้น

 

 

แล้วมีโอกาสติดตาม ครูไปฟังท่านบรรยาย เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 52 จึงเล่าให้ท่านฟังว่าหนูมีอาการผิดปกติ หนูเป็นเด็กขี้อ้อนค่ะ รีบเปิดให้ท่านดู แต่รู้ไหมค่ะ หนูรู้ทั้งรู้ว่า คนโบราณบอกไว้ว่า เวลาเป็นแผลห้าทานไข่ ตอนไปฟังครูบรรยายอาหารเย็นมื้อนั้นหนูก็ทาน ไข่เจียวเลยทีเดียว

 

หลังบรรยายท่านมาพักค้างที่หอพักหนูด้วย ตื่นเช้ามาวันที่ 6 แผลเปื่อยมากขึ้น หนูจึงลองทาว่านหางจรเข้ เพราะรู้สึกร้อน ๆ คล้ายอาการไหม้  

พอหนูกลับบ้านวันที่ 7 ไปกราบหลวงพี่ ครูโทรมาบอกว่า

"ครูซักประวัติหนูต่อว่า ก่อนหน้านี้ไปทำอะไรเกี่ยวกับเชื้อไหม"

 หนูตอบท่านว่า

"ประมาณ 4-5 เดือนที่แล้ว หนู หาความสามารถของสารสกัดสมุนไพรในการยับยั้งเชื้อก่อโรคผิวหนัง 15 ชนิด"

ซึ่งหนูเคยมีอาการผื่นขึ้นทั้งตัว เคยเขียนไว้ใน บันทึก แค่แพ้ หรือ ว่า ติดเชื้อ ค่ะ

ครูท่านจึงบอกว่า

"นี่แหละตอนทำ ทำด้วยความเครียด เขามาทวงของเขา บอกเรื่องนี้ให้หลวงพี่ท่านทราบ แล้วก็ ให้ท่านช่วยแผ่เมตตา แล้วเราก็ให้งดทานสัตว์ในช่วงนี้ หรือถ้าอดได้ก็อดไปเลย ทานแค่น้ำผลไม้ปั่น"

 

หนูถ่ายรูปในมือถือ ให้หลวงพี่ท่านดู เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2552

มันแดงแบบนี้เลยค่ะ ไม่ได้ทาอะไร เฮอะ ๆ

หลังจากให้ท่านดูท่านก็เอ่ยว่า

"อย่างงี้แหละธรรมดา มันไม่ใช่ของเรา"

หนูมีอาการผิดปกติเพิ่มมากขึ้น คันที่บริเวณหนังตา และเหมือนมีผื่นที่ตาซ้าย และบริเวณศีรษะ แต่มีผมปิดอยู่ คนที่มองเห็นจะรู้สึกกลัว แต่หนูก็ทำใจ บอกตนเองว่า

"ดี ได้เรียนรู้"

วันรุ่งขึ้น หนู พ่อและแม่ ไปจังหัน หลวงพี่ไม่ลงมาฉันฑ์ข้าว  ทราบทีหลังว่า ท่านอดข้าวภาวนา แล้วท่านก็เล่าประสบการณ์หลังจากเจอกันวันนั้นว่า

"โอ้ อดข้าวแล้ว ภาวนาดีมาก ๆ"

 

หลังจากวันที่ครูบอก ครูท่านก็อดข้าว หนูก็เริ่มอดหลังครู 1 วัน แผลค่อย ๆ แห้ง มาขึ้น แต่หลังจากอด 2 วันหนู รู้สึก หิวมาก ๆ ไปงานทำบุญให้พี่นก จึงเริ่มทานปลากระป๋อง แผลเริ่มเปื่อย ขึ้นมาอีก แม้จะตกสะเก็ดแล้ว

หนูยังไม่เอ๊ะใจ กลับมาบ้าน อาหารมีแต่หมู ทั้ง ๆ ที่หนู เองก็หา อย่างอื่นทานแทนได้ แต่ใจ หนูไม่เข้มแข็งพอ หยิบ ต้มขาหมูมาทาน 1 ชิ้น

ตกเย็นมาเป็นเหมือนมีน้ำหลือง ไหลออกมาจากแผล ติดกางเกง แปลกอยู่อย่างคือ แผลทั้งบนและล่างเป็นรูปเดียวกันเลย

หนูค่อนข้างมั่นใจ ว่าคงติดเชื้อแล้วเชื้อลุกลามไปด้วยกัน

แต่ก็เลือกที่จะ ไม่ใช้ยา

ตั้งใจในตนเอง พร้อม ๆ กับรับปากครูว่า จะไม่ใช้ Antibiotic

ผ่านมาถึงตอนนี้ อาการที่ตาหายไปแล้วค่ะ ที่หนังศีรษะก็แห้งและหายไป

บริเวณขาก็แห้ง สะเก็ดก็หลุดออก แต่แผลดำ ดูแล้วก็ รู้สึก น่ากลัวเหมือนกัน

ถ่ายเมื่อ 21 ธันวาคม 2552

 

ถามว่าตอนนี้ยังมีอาการคันอยู่ไหม ก็ยังมีบ้างนะคะ แต่ไม่มาก

 

 

บาดแผลครั้งนี้ หนูก็ขอบคุณ ที่ทำให้มีโอกาสได้เรียนรู้ว่า เราควบคุมความเจ็บป่วยไม่ได้ ช่วงที่หนูเจ็บแผลและเจ็บขาจริง ๆทำให้นึกถึงคุณน้า ที่ท่าน มีขา ข้างเดียว อีกข้าต้องใส่ขาปลอม ท่านมักจะเล่าว่า เวลาขาถลอกมันเจ็บ

หนูรู้สึก เข้าใจท่าน และซึ้งใจในความอดทนของท่าน

 

การเจ็บป่วยครั้งนี้ หนูได้เรียนรู้ ว่า มันจะเปื่อย มันก็ เปื่อย ของมันเอง ถ้าเราไม่กังวล กับมันมาก สุดท้าย มันก็หายของมันได้เอง เห็นความไม่เที่ยง และเป็นทุกข์ ของกายและใจ ชัดขึ้นเจ้าค่ะ

และหนูก็ได้เห็นใจตนเอง ที่ใคร ๆ มาพูดว่า

"เป็นหมอยาหน่ะ ทำไม ไม่รู้จักใช้ยา"

ตอนแรกก็รู้สึกไม่พอใจ แต่หลัง ๆ ก็ เข้าใจเขา เหมือนได้เห็นใจตนเอง ที่มีความอดทน กับความบีบคั้นมากขึ้นเจ้าค่ะ

กราบของพระคุณครูที่เมตตา แนะนำ

  

เอามาดูความไม่เที่ยงกันชัด ๆ

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 322116เขียนเมื่อ 22 ธันวาคม 2009 11:26 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 22:06 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

สวัสดีค่ะ

 

มาศึกษาและรับรู้ว่า "เมื่อเกิดจึงเข้าใจ" สิ่งที่เราเป็น เราจึงเข้าใจคนที่เขาเป็น ขอบคุณหนึ่งในความรู้สึกที่รู้สึกได้กว่าความรู้สึกค่ะ

ขอบพระคุณค่ะ phayorm แซ่เฮ
ที่เมตตาแลกเปลี่ยน การเป็นแผลครั้งนี้ เป็นโอกาสที่ได้เรียนรู้หลายอย่าง มาก ๆ ค่ะ (^_^)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท