ยุทธศาสตร์ SWOT พระพุทธศาสนา ของท่าน ว. วชิรเมธี


                 ยุทธศาสตร์ SWOT พระพุทธศาสนา ของท่าน ว. วชิรเมธี

     ขออนุญาตนำเอาบทความท่าน ว.วชิรเมธีมาขยายให้ทุกท่านได้อ่านและร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน

         ตัวแรก STRENGTH ประชาชนคนไทย 95% เป็นชาวพุทธนี่คือจุดแข็งทุกหมูบ้านมีวัด ต่อมา WEAKNESS ทุกหมู่บ้านมีวัด แต่แต่ละวัดหาพระธรรมทูต หรือ ธรรมะ แอมบาสเดอร์ ยากมาก โดยมากที่แต่พระที่มีการศึกษากระพร่องกระแพร่งศักยภาพไม่พอที่จ ะเป็นผู้นำทางปัญญา และจุดอ่อนอันที่สองคือ การบริหารการคณะสงฆ์นั้นเป็นการบริหารเชิงรับไม่ใช่เชิงรุก แทนที่คณะสงฆ์จะผลิตพระธรรมทูตออกมาเยอะ แต่กลับปล่อยให้พระธรรมทูตเกิดขึ้นเองตามยถากรรม ในขณะที่สังคมต้องการธรรมะแต่ไม่มีพระธรรมทูตออกมาเผยแผ่พระพุท ธศาสนา มีแต่พระเกจิอาจารย์ออกมาดิสเครดิตพระพุทธศาสนาอยู่ทุกวัน และใช้ศักยภาพทั้งหมดซื้อสื่อโฆษณากว่า 4 พันล้าน นั่นคือศักยภาพเชิงลบทั้งหมดซึ่งทำโดยพระเกจิอาจารย์ เห็นหรือไม่ว่าเป็นจุดแข็งด้านการตลาด แต่เป็นจุดอ่อนในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เพราะทำให้พุทธศาสนาได้รับการดูหมิ่นจากปัญญาชน แล้วคนเหล่านั้นมองเห็นว่าพระไม่เห็นดีกว่าเราตรงไหน ดีแต่ทำมาค้าขาย ดีแต่รดน้ำมนต์พ่นน้ำหมาก ดีแต่ปลุกเสกลงเลขยันต์
       
        แล้วจุดอ่อนต่อมาก็คือ ทุกครั้งที่มีข่าวพระเสื่อมเสียไม่มีหน่วยงานไหนออกมาบริการทาง วิชาการให้ชาวพุทธเห็นเลยว่า ที่เสื่อมเสียนั้นเป็นเพราะอะไร ที่ถูกคืออะไร เราก็ปล่อยให้ถูกโจมตี สื่อมวลชนแทนที่เป็นเครื่องมือในการเผยแผ่พระพุทธศาสนากลับกลาย เป็นเครื่องมืออัดพระรายวัน นี่คือจุดอ่อน


       
        ต่อไป OPPORTUNITY หรือโอกาสในการเผยแผ่พระพุทธศาสนามีมากน้อยแค่ไหน ท่านว.วชิรเมธี เชื่อว่าเมื่อไรที่สังคมวิกฤต นั่นคือโอกาสที่สังคมเรียกร้องต้องการธรรมะในอัตราที่เข้มข้นแล ะสูงมาก โอกาสของเรามาถึงแล้วนับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจตั้งแต่ปี 2540 แต่โอกาสนั้นมีพระสงฆ์กี่รูปที่มองเห็นแล้วลุกออกมาทำงานเผยแผ่ พระพุทธศาสนาเชิงรุกที่เรียกกันว่า ACTIVE BUDDHISM ACTIVE BUDDIST MISSIONARY มีพระสงฆ์ไม่กี่รูปเท่านั้นที่มองเห็นโอกาส
       
        “สำหรับอาตมาเวลาสังคมไทยตกอยู่ท่ามกลางวิกฤต อาตมามองเห็นมันนี่แหละคือโอกาสที่คนเรียกร้องต้องการธรรมะ ฉะนั้น เราต้องลุกออก กระโดดออกมาใช้สื่อมวลชนทุกรูปแบบในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา แต่พระสงฆ์จำนวนไม่น้อยไม่ได้คิดแบบอาตมา คิดว่าพอสังคมง่อยเปลี้ยมองว่านี่คือโอกาสที่จะขายเครื่องรางขอ งขลัง ต่างฝ่ายต่างมองเห็นโอกาส แต่ใช้โอกาสนั้นประหนึ่งใช้เพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเชิงรุกเ พื่อพยุงพระพุทธศาสนา แต่อีกฝ่ายใช้เพื่อทำมาหากิน”


       
        สุดท้าย TREAT คือสิ่งที่คุกคามพระพุทธศาสนาอยู่ทุกวันในทุกวันนี้ อะไรคือสิ่งที่คุกคาม ปัจจัยภายในคือ ภาวะด้อยการศึกษาคณะสงฆ์เอง ซึ่งเป็นสิ่งที่คุกคามพระพุทธศาสนาทำให้ไม่มีผู้นำทางจิตวิญญาณ ออกมาทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้เท่าทันยุคสมัย ในขณะที่ประชาคมโลกเรียกร้องต้องการผู้นำทางจิตวิญญาณที่รู้เท่ าทันทั้งโลกฝ่ายธรรม และโลกฝ่ายคฤหัสถ์ แต่เรากลับผลิตได้แค่พระเกจิอาจารย์มาส่งต่อให้กับชาวโลก มันไม่สอดคล้องกัน เราขาดพระธรรมทูตที่มีความสามารถให้กับโลก ขาดการบริหารจัดการที่ดี ไม่ว่าจะมีปัญหาสาหัสหนักหน่วงแค่ไหนก็ตาม องค์กรบริหารคณะสงฆ์ก็ไม่เคยมีการปรับท่าทีอะไรเลย ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามยถากรรม
       
        ปัจจัยภายนอกที่คุกคามพระพุทธศาสนาก็คือ 1.ลัทธินิยมต่างๆที่ไหลบ่าเข้ามาสู่ประเทศไทย ตอนนี้ไทยเปรียบเสมือนหนึ่งเรือนเพาะชำทางศาสนา ลัทธินิกายต่างๆที่นิยมในทั่วโลกหาดูได้ในเมืองไทยแทบทั้งหมด 2.ศาสนาต่างๆที่พยายามแย่งศาสนิกจากพุทธศาสนาไปเป็นศาสนิกของศา สนาเขาเอง 3.ลัทธิประชาธิปไตยที่มาพร้อมกับเสรีภาพพื้นฐานทางศาสนา เสรีภาพพื้นฐานทางเพศ เหล่านี้กำลังคุกคามการสอนศีลธรรมของพระสงฆ์ในพุทธศาสนา ฉะนั้น พระสงฆ์ที่สอนพุทธศาสนาในลักษณะว่าหากคนมีศีลแล้วสังคมไทยจะดีเ องนี้เป็นฐานคิดชุดเดียวกับที่เราเคยใช้ได้ผลในยุคพันปีที่แล้ว คือยุคกรุงสุโขทัย ทุกวันนี้ศีลธรรมในระบบไตรภูมิพระร่วงซึ่งง่ายๆไม่ซับซ้อน เป็นศีลธรรมชุดเดียวกับทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ไม่เพียงพอที่จะพยุงสังคมไทยให้เป็นสังคมที่ศีลธรรม และจริยธรรมได้ เพราะสังคมไทยถูกรุกรานไปด้วยชุดความเชื่อที่หลั่งไหลมาจากสารท ิศทุกแห่งทั่วโลกหากพระสงฆ์ไม่ตระหนักรู้สิ่งเหล่านี้สิ่งที่ คุกคามสถาบันสงฆ์ไทยให้ง่อยเปลี้ยเสียขาลงไป
       
        เท่านั้นยังไม่พอ สื่อมวลชนจำนวนมากได้ยึดพื้นที่ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปเป็นพ ื้นที่ในการเผยแผ่กิเลสแล้วมีพระกี่รูปที่กล้าเข้าไปใช้สื่อมวล ชนในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เมื่อเครื่องมือเหล่านี้ไม่ถูกใช้ มันก็ถูกใช้ไปเป็นเครื่องมือในการเผยแผ่ความงมงาย เป็นช่องทางในการกระตุ้นคนให้มีกิเลสยั่วให้อยาก หลอกให้ซื้อ ยั่วให้อยาก และหลอกให้บริโภค พอพระรู้ไม่เท่าทันตรงนี้ สื่อมวลชนก็กลายเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่คุกคามความมั่นคงในพระพุท ธศาสนาของสังคมไทยเสียเอง


       
        “พอทำ SWOT อาตมาก็เห็นว่าพุทธศาสนามีทั้งจุดอ่อน จุดแข็ง โอกาส และสิ่งคุกคาม พอเราเห็นอย่างนี้แล้วอาตมาก็มาตั้งปรัชญาในการทำงานของอาตมาว่ า เอาล่ะ เราต้องทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาในเชิงรุก นั่นคือธรรมะต้องติดปีก อยู่นิ่งๆไม่ได้ ต้องเป็นไดนามิก ธรรมะ หรือพุทธศาสนาจะทำงานในลักษณะตั้งรับอีกต่อไปไม่ได้ มันต้องเป็น Active Buddhism พระอยู่ในวัดต่อไปไม่ได้ เพราะคนไม่มีเวลาเข้าวัด โลกยุคอุตสาหกรรมคนต้องออกจากบ้านไปทำงาน พระต้องเป็น Active Buddhist Missionary นี่คือที่มาของธรรมะติดปีกทั้งหมด”

ที่มา.. http://www.tamdee.net/forum/forum_posts.asp

คำสำคัญ (Tags): #ธรรมะ
หมายเลขบันทึก: 319408เขียนเมื่อ 10 ธันวาคม 2009 18:44 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 22:02 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)
พระมหาแล ขำสุข(อาสโย)

เข้มข้นหนักแน่นเต็มไปด้วยสาระจุใจ

ดีครับดี

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท