• เมื่อผมอายุ 24 ปี จบแพทย์ ได้รับเงินเดือน 1,600
บาท แต่เมื่อผมอายุ 15 ปี ผมได้รับข้อเสนอว่าอีก 1 ปี
เมื่อเรียนจบ ม. 6 และอยู่ช่วยงานที่บ้าน จะได้รับเงินเดือน 3,000
บาท
• ตอนอยู่ ม. 5 เพื่อนๆ พูดกันเรื่องเรียนต่อหลังจบ ม. 6
กันบ่อยๆ
และมีคนถามผมว่าจะไปเรียนต่ออะไร ผมบอกว่าคงจะอยู่บ้าน
ช่วยพ่อแม่ค้าขาย ข่าวนี้คงจะรู้ไปถึงครูพิเชษฐ บัวลอย
ครูประจำชั้น ม. 4 และ ม. 5 ท่านจึงมาบอกพ่อ
ว่าเด็กคนนี้ต้องให้เรียนต่อ
เข้าใจว่าท่านคงเห็นผมเรียนหนังสือเก่ง เพราะตอนอยู่ ม. 3
– 5 ผมสอบได้ที่ 1 ทุกครั้ง ตอนนั้นเป็นช่วงปิดเทอม ม. 5
ขึ้น ม. 6 และนั่นคือที่มาของข้อเสนอให้ผมเลือก
ว่าจะเรียนต่อหรือจะอยู่ช่วยพ่อแม่ทำงาน
ถ้าอยู่ช่วยพ่อแม่ทำงาน จะให้เงินเดือน 3,000 บาท
• ผมสงสารที่ตอนนั้นพ่อแม่งานยุ่งมาก ก็ตอบว่าจะอยู่บ้าน
ช่วยพ่อแม่ทำงาน ผมไม่เคยสนใจเงินเดือน 3,000
บาทเลย
• ต่อมาผมโดนแม่ตี ทั้งๆ
ที่ตอนนั้นผมเริ่มเป็นหนุ่มแล้ว จึงเกิดความคิดว่า
ถ้าอยู่บ้านเราก็จะเป็นเด็กเรื่อยไปในสายตาแม่
คงจะมีชีวิตที่อิสระเป็นตัวของตัวเองยาก
จึงเปลี่ยนใจอย่างกระทันหัน
และทำให้พ่อต้องฝากผมมากรุงเทพกับตำรวจยศสิบโทคนหนึ่ง
ให้มาอาศัยอยู่กับอา
และให้อาช่วยหาโรงเรียนให้ด้วย อาท่านนั้นคืออาสมบูรณ์
เอกแสงศรี ซึ่งเป็นลูกสาวของย่าทรัพย์ เจริญพานิช
น้องสาวของย่าแท้ๆ ของผม สามีของอาบูรณ์
คือนายแพทย์อนันต์ เอกแสงศรี ให้ความเมตตาผมมาก
• ผมได้รับเงินเลี้ยงชีพในระหว่างเรียนหนังสือเดือนละ 300
บาท เป็นการปฏิเสธเงินเดือน 3,000 บาท มารับ 300 บาท
• ตอนมาเรียนแพทย์
อ่านประวัติของนักเรียนแพทย์ศิริราชรุ่นแรกสมัยรัชกาลที่
5 นักเรียนแพทย์ได้รับเงินเลี้ยงชีพจากรัฐ เดือนละ 15
บาท มีนักเรียนแพทย์คนหนึ่งลาออกไปเป็นภารโรง
เพราะได้รับเงินเดือน 25 บาท
• ผมมาพิจารณาในตอนหลัง
ว่าผมเป็นคนไม่มีหัวคิดเรื่องเงิน
ไม่เคยสนใจและไม่เข้าใจเงินเดือนละ 3,000 บาท ในปี พ.ศ. 2500
ว่ามากมายแค่ไหน
• โชคดี ที่ผมโง่ในเรื่องเงิน จึงได้มีโอกาสเรียนแพทย์
และดำรงชีวิตแบบคิดเรื่องเงินไม่เป็น
จนมีชีวิตดีแบบพอเพียงอย่างในปัจจุบัน
วิจารณ์ พานิช
๒๕ พค. ๔๙