AI จะเป็น AI ไหมก็ตอนทำ Discovery นี่แหละ
1. หินสุดคือ AI เรื่องการเงินเพราะเขาคิดว่าจะไปสืบเรื่องภาษี แก้ได้ด้วยการให้คนรู้จักช่วยยืนยันว่าไม่อันตราย
2. หินพอๆกันคือช่างเทคนิคในอู่ซ่อมรถ และโรงงาน อันนี้ถามเรื่องงานไม่ได้เลย ต้องเลี่ยงไปถามว่า "ให้เล่าเรื่องที่คุณภูมิใจที่สุดในชีวิตมาสิ" หรือต้อง "จับถูก" ก่อน เช่นช่วยกันยืนยันว่า "เห็นพี่คุยกับลูกค้าคนนี้ เขา OK มาเลยพี่ ทั้งที่คนอ่นทๆไม่ได้อย่างพี่" "พี่ช่วยเล่าหน่อยว่าไอ้ตอนที่ลูกค้าเริ่มคุยกับพี่ดีๆนะ มันเกิดอะไรขึ้น พี่พูดอะไร ลูกค้าพี่พูดอะไร"
บางทีก็เอาหลักฐานมากางแล้ว ถ้าอาทิตย์นี้ทำได้ดีกว่าอาทิตยก่อนก็ถามว่า "มันเกิดอะไรขึ้นคุณถึงทำดีกว่าอาทิตย์ก่อน"
3. บางรายบอกผมว่าเป็นผู้รับเหมาครับมีลูกค้าอยู่สองสามราย เป็นผู้ใหญ่มากๆม่อยากถาม อันนี้ถ้าไม่สะดวกก็ให้เขาลองนึกวันที่เขาได้ลูกค้าคนนี้ วันนั้น วินาทีนั้นเกิดอะไรขึ้นอะไรเป็นจุดเปลี่ยน
4. เจอไม่ว่าถาม ไม่ว่าทำอะไรแล้วก็ไม่พูดอันนี้เราลองผสม AI เข้ากับ Morning Talk พูดให้ชินก็ได้ผมเช่นกันครับ (โรงงานน้ำตาล) ดู case ที่ห้องสมุด MBA มข.
5. บางโครงการเน้นการสังเกต What work จากข้อมูลการผลิต เช่นสายการผลิตไหน มีของเสียน้อนสุด จากนั้นสืบดูข้อมูลต่อว่าใครทำเสียน้อยสุดจากนั้นเข้าไปสังเหตต่อหรือถามเอากับคนที่ทำของเสียน้อยที่สุดครับอันนี้เป็น case Q.C.(โรงงานสายไฟ) กับ engineering (โรงงานกระเบื้อง) ดูที่ www.aithailand.org
6. เคยบริการลูกค้าไม่ได้มาก่อนแวกับไปถามก็ให้เขาว่าก่อนโดยใช้คำถามว่า "ถ้าพี่มีพรวิเศษย์อยากให้เราทำอะไรให้ดีขึ้นคะ" อันนี้ลูกค้าบ่นแล้วค่อยถาม (ดู case บริษัท web design หรือ www.clickasia.com ที่www.aithailand.org)
และอีกมากครับ การทำ AI ในบริบทที่ผมเจอมาต้องปรับครับในมุมมองของผม AI จึงไม่ใช่การถามอย่างเดียวกันมันเป็นศิลปะการถาม และศิลปะการสังเกตรวมกัน ผมอยากบอกว่าน่าจะเรียกว่าศิลปะการจับถูกมากกว่า
สรุปการ Style การ Discovery
1. ถาม แล้วซักไปเรื่อย
2. จับถูกจากหลักฐาน แล้วถามต่อ
3. จับถูกแล้ว สุนทรียสนทนากันว่าเกิดอะไรขึ้น
4. สังเกตเอาขณะนั้นว่าอะไร work
5. นึกย้อยเหตุการว่าอะไร work ครับ
6. ให้เขาบ่นก่อน แล้วถามบวกถึงจุดเปลี่ยน
7. ทำผสมกันไปแล้วแต่สถานการณ์