จริงๆแล้ว สยชช. เราทำงานยุววิจัยเป็นฐาน แต่ที่ผ่านมาที่เคยร่วมงานวิจัยกับสถาบันต่างๆ ผมจะรับเป็นหัวหน้าทีม เด็ก เยาวชนในระยะแรกๆพวกเขาจะเข้ามามีส่วนร่วมในระดับการรับรู้ เข้าใจ ปฏิบัติงานเป็นหลัก ต่อมาเริ่มพัฒนาแกนนำเห็นเป็นตัวคนขึ้นมา แกนนำเยาวชนก็จะเข้ามาร่วมวางแผนมากขึ้น ตอนนี้ก็ยังอยู่ในระดับนี้อยู่ คือเรายังปล่อยให้เขาเดินเต็มตัวไม่ได้เพราะฐานยังไม่แข็งพอ
ถ้าเป็นบ้าน ฐานคืออิฐถ้าก่อไว้ไม่ดีก็จะพังครืนลงมา การสร้างยุววิจัยจึงไม่ใช่กระบวนการแบบ Workshop 3 วันจบ หากแต่เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ต้องพยายามบูรณาการให้อยู่ในวิถีชีวิตประจำวันของพวกเขาเป็นปีๆ โดยจัดให้มีระบบติดตาม มีโครงการวิจัยไปให้เขาลองฝึก มีพื้นที่นำเสนอให้พวกเขาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และที่สำคัญต้องมีครูหรือพี่เลี้ยงที่สามารถย่อยเรื่องยากๆให้เขาเข้าใจง่ายๆ และเป็นบุคคลที่เป็นแบบอย่างที่ดีแก่พวกเขาได้ทุกด้าน คือเข้าถึงจิตใจพวกเขา คือ ยุววิจัยเริ่มที่ “ใจ” เป็นปฐมบท ครู นักเรียน นักวิชาการ ต้องเอาใจมารวมกันก่อน มีใจร่วมแล้วค่อยนำวิชาการและเทคนิคที่มีอยู่หลากหลายมาพัฒนาให้เหมาะสมกับกลุ่มและพื้นที่ของตน
เดือนนี้ ที่ปางมะผ้าเราก็มีโครงการยุววิจัยเกิดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มาในนามการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เด็กๆก็มาปรึกษาผมว่าจะศึกษาวิจัยเรื่องอะไรดี ก็คิดกันอยู่หลายเรื่องประชุมหลายครั้ง มาลงเอยกันเรื่องของเล่นพื้นบ้านนี่แหละ
ที่เด็กๆสนใจเรื่องของเล่นพื้นบ้านนี่ก็เพราะตลอดสองปีที่ผ่านมาพวกเขาได้ร่วมโครงการที่เกี่ยวข้องกับของเล่นพื้นบ้านมาก่อน คือ โครงการของเล่นพื้นบ้าน นิทานพอเพียง ที่ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย คือ ไปเก็บรวมรวมข้อมูลของเล่นและนิทานพื้นบ้านกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ไทใหญ่ กะเหรี่ยง ลาหู่ ลีซู ลัวะ ปะโอ แล้วนำมาเชื่อมโยงกับแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง พอโครงการเสร็จเด็กก็ประทับใจหลายอย่าง ถ้าใครเคยอ่านบันทึกที่ผ่านมา อาจจะผ่านตามาบ้าง
ทีนี้ประทับใจ มีข้อมูลแล้วก็อยากทำต่อ พอเหมาะพอดีกับที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ฝ่ายชุมชน มาสนับสนุนให้มีชุดโครงการยุววิจัยประวัติศาสตร์ท้องถิ่นขึ้นทั่วประเทศ งานนี้ก็เลยตกมาถึงเด็กๆที่ปางมะผ้า โดยทำในนามศูนย์การเรียนรู้ชุมชนบ้านสบป่อง (ศรช. สบป่อง) มีผมคอยช่วยเป็นนักวิชาการหนุนเสริมแบบจิตอาสา
ตอนนี้ โครงการอยู่ในระหว่างทำสัญญา แต่ด้วยเวลาที่รวบรัดมาก เดือนที่แล้ว ทางผู้ประสานงานภาคเหนือก็ได้จัดให้เด็กกับครูที่นี่ก็เข้ารับการอบรมกันไปหนึ่งรอบเรื่องแนวคิดประวัติศาสตร์ท้องถิ่น กระบวนการตั้งคำถาม การเขียนรายงาน ฯลฯ เด็กกับครูก็กลับมาพัฒนาโจทย์ และ Proposal ซึ่งตอนนี้ผ่านอนุมัติเรียบร้อย แต่หากช่วงที่รอเงินโอนมานี้ ถ้าไม่ทำอะไรเลยก็เกรงว่าจะเขียนรายงานไม่ทัน เพราะโครงการนี้สั้นมาก คือเดือนเศษๆต้องเสร็จแล้ว
ระหว่างรออนุมัตินี่ เด็กกับครูก็ได้เริ่มลงพื้นที่ไปสามครั้ง แล้วก็เขียนข้อมูลออกมา ผมในฐานะผู้ประสานงานจังหวัดและด้านหนึ่งก็ทำงานใกล้ชิดกับเด็กในโครงการนี้ เพราะเป็นเด็กที่ทำงานกับ สยชช.อยู่แล้ว ก็เอารายงานความก้าวหน้าของพวกเขามาอ่าน ก็พบปัญหาหลายอย่าง ที่นำมาสู่การขบคิดทางปัญญา
เนื่องจากเด็กเหล่านี้คุ้นเคยกับการทำงานกับชุมชนในนาม สยชช.มาหลายปีจนเป็นที่ยอมรับแล้ว ทั้งในวันเสาร์อาทิตย์ยังเป็นดีเจน้อยคอยจัดรายการดีๆในสถานีวิทยุชุมชน ผู้คนจึงรู้จักค่อนข้างมาก
ปัญหาของยุววิจัยที่ปางมะผ้าไม่ใช่เรื่อง “ใจ” ทักษะในการถาม หรือการสัมภาษณ์พอมีแล้ว หากแต่ทักษะในการกำหนดคำถาม คือ ถอดแนวคิดออกมาประกอบสร้างเป็นคำถามยังทำไม่ได้ ไปอ่านคู่มือที่ สกว.ให้มาเด็กก็ไม่เข้าใจ มัน dialogue คือสื่อสารสองทางกับพวกเขาไม่ได้ Workshop ที่ทีมภาคเคยจัดอบรมให้ความรู้ไป ก็ดูจะเอามาใช้กับปัญหาเฉพาะหน้าอย่างนี้ไม่สะดวก จากการอ่านรายงาน ผมเห็นอาการอย่างนี้เกิดขึ้นในทีม ก็เลยเรียกเด็ก และครูที่ร่วมโครงการมาคุยกันเพื่อตีกรอบคิดให้แตกเป็นคำถามที่เด็กๆจะใช้ไปสัมภาษณ์
แรกสุดเลยให้เด็กๆไม่ต้องไปยึดติดตำรา คือเด็กกลัวผิด ผมบอกว่า เรามีฐานการวิจัยชุมชนมาบ้างแล้ว ที่เหลือคือเติมเรื่องมิติเวลาเข้าไปเท่านั้น เราน่าจะคิดต่อยอดจากตำรา คือเอาหลักประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเข้ามาจับ แล้วไปหาหนทางเอาในแบบฉบับของเรา งานจะสนุก
งานยุววิจัยควรเป็นงานที่ทำแล้วสนุก ไม่เพิ่มภาระจนเกินไป จริงไหม
วกมาที่หลักประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ก็มีแก่นไม่กี่ข้อ คือ
พอมาอ่าน “ระหว่างบรรทัด” ดูอีกที ก็จะพบว่างานประวัติศาสตร์ท้องถิ่นตามแนวคิดนี้ จะบรรลุได้ต้องมีการเกี่ยวร้อยกับหลายเรื่อง ทั้งความเชื่อ, วิถีการผลิตเศรษฐกิจสังคม วัฒนธรรม , ความสัมพันธ์ของคนในชุมชน ไล่ไปทีละยุคๆ
ทีแรกเด็กๆก็จะช่วงอายุคนมากำหนด ผมก็ว่ามันไม่ใช่ มันต้องเอาการเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่เราศึกษามากำหนดยุค ก็มาลงเอยว่า พวกเขาสนใจเรื่องของเล่น (ที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของคน) ดังนั้น ก็ลองมาคิดดูว่าจะแบ่งยุคยังไง เพราะพวกเราก็เป็นคนในพื้นที่น่าจะพอกำหนดได้คร่าวๆ อีกทั้งประวัติศาสตร์หมู่บ้านของเราก็ไม่นานประมาณหกสิบปี เด็กๆก็มาช่วยกำหนดเป็น ยุคของเล่นธรรมชาติ, ยุคของเล่นพลาสติกและโลหะ, ยุคของเล่นอิเลคทรอนิสก์ ส่วนแต่ละยุคจะกินเวลาเท่าใดนั้น ค่อยไปว่ากันอีกทีหลังจากได้ข้อมูลภาคสนามมาแล้ว
ผมลองไกด์ให้เด็กเห็นว่า งานศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นตามแนวคิดนี้ จะบรรลุได้ต้องมีการเกี่ยวร้อยกับหลายเรื่อง ทั้งความเชื่อ, วิถีการผลิตเศรษฐกิจสังคม วัฒนธรรม , ความสัมพันธ์ของคนในชุมชน ไล่ไปทีละยุคๆ
ดังนั้น คำถามแต่ละยุคๆจึงต้องมีการแบ่งเป็นหมวดคำถามต่างๆ ได้แก่
1.หมวดคำถามว่าด้วยเรื่องทั่วไป (เช่น ชนิด จำนวน ปริมาณ ลักษณะทางกายภาพของของเล่น รวมถึงการถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของผู้ให้ข้อมูลเพื่อแสดงมิตรภาพ)
2.หมวดคำถามว่าด้วยความเชื่อ,
3.หมวดคำถามว่าด้วยวิถีการผลิตเศรษฐกิจสังคม วัฒนธรรม ,
4.หมวดคำถามว่าด้วยความสัมพันธ์ของคนในชุมชน
จากนั้นให้เด็กๆแบ่งหน้าที่กันรับผิดชอบรับดูแลคำถามในแต่ละหมวด คือคิดคำถาม ใส่ลำดับการถามก่อน-หลัง จากนั้นเอาคำถามทั้งหมดมาแลกเปลี่ยนกันในวง เพื่อตัดคำถามที่ซ้ำ ยำคำถามให้มีรสกลมกล่อมรื่นหู ครูพี่เลี้ยงที่มางานนี้ ก็พลอยได้เรียนรู้กลวิธีนี้ไปโดยปริยาย ผมเองก็ได้ค้นพบว่า การตั้งต้นเช่นนี้ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง คือ ที่นี่เราผ่านขั้นทดสอบใจมาแล้ว แต่กำลังพัฒนาขั้นการตีคอนเซ็ปต์นามธรรมให้เป็นคำถามเชิงรูปธรรมที่เด็กและครูสามารถนำไปทำงานได้อย่างเป็นระบบ และสนุกให้ได้
งานยุววิจัยประวัติศาสตร์ของเล่นพื้นบ้านที่นี่กำลังเริ่มต้น และเป็นโจทย์เล็กๆที่ท้าทายเรื่องใหญ่ๆหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการประกอบสร้างความรู้ในสังคมไทย การจัดการความรู้ การพัฒนาเด็กและเยาวชน
ผมคิดว่าความรู้เชิงกระบวนการนี้อาจจะเป็นประโยชน์แก่คนอื่นๆและไว้เป็นฐานข้อมูลในการทำงานวันข้างหน้า จึงนำมาลงไว้ ณ ที่นี้ครับ
ให้กำลังใจครับ
นักวิจัย ค้นหาความรู้ใหม่
มาให้มนุษยชาติ
ให้กำลังใจอย่าลืมไปให้ถึงฝันน๊ะคะ
ชื่นชมด้วยใจจริงเลยครับ คนคุณภาพ และ ยุววิจัย
เป็นอย่างไรบ้างครับ ทำงานกับเด็กๆ ผมอ่านแล้วตื่นเต้นกับกระบวนและสิ่งที่ได้ ยิ่งเรื่องของการแบ่งยุคของเล่น ยิ่งน่าสนใจ
ทำอย่างไรครับ เด็กๆ ถึงมีคุณภาพ และ รักการเรียนรู้ได้ขนาดนี้
สวัสดีครับคุณบีเวอร์ , azotomara และคุณน้ำผึ้ง
งานที่ทำอยู่ก็เป็นงานธรรมดาที่ทุกคนทำได้ ถ้าเราเลือกจะใส่ใจและแสวงหาโอกาสนะครับ ตัวผมเองถือว่าได้เติบโตขึ้นจากการเรียนรู้จากสิ่งเหล่านี้ คือต้องเริ่มที่ใจรักก่อนครับ
สวัสดีเจ้า ครูยอด
ของเล่นพื้นบ้าน ที่น้องพอ เล่นล่าสุดคืออะไร ยังนึกไม่ออกเลยค่ะ
เสียดายที่เด็กๆ ไม่มีของเล่นพื้นบ้าน ซึ่ง หาง่าย ทำง่าย เล่นง่าย แต่ ไม่ทำกัน นะคะ
น้องออมสิน สบายดีนะคะ
สวัสดีครับ ครูใหม่บ้านน้ำจุน
แวะมาชื่นชมกิจกรรมดี ๆ ครับ
โครงการได้รับอนุมัติหรือยังครับ
สวัสดีครับหนานเกียรติ
พี่ยอด หากลองไล่เรียงดีๆ พี่อาจจะรู้จัก หนานเกียรติ นะครับ เพราะ ทำงานในเเวดวงเดียวกัน ที่เครือข่ายภาคเหนือ
หัวคิดสุ
งานเสร็จไปตั้งแต่ปี 2553 แล้วครับ แต่เดี๋ยวจะนำมาย่อยสรุปลงบันทึก ขอบคุณที่ช่วยสะกิดครับ