คบเด็กสร้างชาติ จม.ข่าวกัลยาณมิตรฉบับที่๙


                         ร่วมเฉลิมฉลอง พุทธชยันตี ๒,๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้  .

.  Buddha Jayanti:  2,600 years of the Buddha’s Enlightenment .

   วิสาขบูชา ๒๕๕๔  วิสาขบูชา ๒๕๕๕   Vesak 2011 – Vesak 2012 

ขอสำเนาถึงกัลยาณมิตรทุกๆท่าน

ต้องอนุโมทนากับครูเข้มเป็นอย่างยิ่ง ที่ใช้ขาปูทะเลย์ ขาสัมมาวาจา และสื่อสารความดีได้อย่างมีพลังยิ่ง
 
เ็ย็นนี้ผมกลับมาจากโรงเรียนสัตยาไส ก็ได้รับข่าวดีจากคุณครูเลยครับ
เด็ก ม.6 ของสัตยาไส มีศักยภาพมาก สามารถถอดรหัสปริศนาธรรม ๙ วิธีจากพระมหาชนก ได้เกือบทุกข้อ ในการฟังครั้งแรก และมีหลายคนที่สนใจจะสมัครเข้าเรียนต่อใน ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย
ที่เราจะช่วยกันก่อตั้งและเปิดการเรียนการสอนในปีการศึกษาหน้าที่จะถึงนี้แต่ก็ยังลังเล ในการตัดสินใจเลือกครั้งสำคัญเพราะเป็นการยากที่จะทำให้ผู้ปกครองเข้าใจอย่างที่พวกเขาเข้าใจ และยากที่จะออกจากค่านิยมการเข้ามหาวิทยาลัยดังๆที่มีชื่อเสียง
สภาพแวดล้อม เด็กๆและคุณครูของสัตยาไสน่ารักมากครับ ผมได้พลังจากเด็กๆที่นั่นเยอะเลยครับ 
มีหลายช่วงที่รู้สึกปิติและสังเวชใจไปด้วย เพราะเด็กๆในระบบการศึกษาหลักไม่มีโอกาสเหมือนเด็กที่นี่
 
การจัดการศึกษาของสัตยาไส เกือบๆจะเป็นการทำ ชีวาณูสงเคราะห์ เต็มรูปแบบแล้ว ขาดเพียงการขยายการศึกษาเป็นระดับ ปริญญาตรีเท่านั้นเองครับ
ผมมีโอกาสคุยเรื่องนี้กับ ดร.อาจองเพียงสั้นๆ เพราะท่านต้องเดินทางขึ้นเชียงใหม่  แต่ครูกุ้ง ที่คาดว่าจะเป็นผู้บริหารคนต่อไปของสัตยาไสได้เข้าใจหลักการแนวคิดและเห็นด้วยกับการก่อตั้ง ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย อีกทั้งยังแนะนำให้รู้จักกับครูเกษตร ที่เป็นมาสเตอร์ด้านดินและการเพาะปลูกที่เข้าไปช่วยทำเกษตรให้สัตยาไสพึ่งพาตัวเองได้ในการผลิตอาหารเลี้ยงบุคลากรและนักเรียนทั้งโรงเรียน เหมาะอย่างยิ่งที่จะเป็นพ่อครูแม่ครู ช่วยถ่ายทอดทั้งวิชชาและวิชาความรู้ให้กับเด็กๆของเรา
วานนี้เครือข่ายโรงเรียนไทยไท ร.ร.รุ่งอรุณ ร.ร.เพลินพัฒนา ฯ ก็ได้ไปศึกษาดูงานและทำกระบวนการกลุ่มสรุปองค์ความรู้ที่ได้จากสัตยาไสด้วย
   
แต่เสียดายเป็นอย่างยิ่ง ที่ช่วงท้ายของการทำ KM คุณครูหลายท่านต้องรีบเดินทางกลับ จึงไม่มีเวลาที่จะฟังข้อมูลเจาะลึกถึงวิธีการจัดการเรียนการสอนของปูทะเลย์มหาวิชชาลัย
 
จนเด็กๆที่กำลังลุ้นว่าจะมีครูโรงเรียนไทยไท คนไหนหนอ ที่พอจะมาเป็นพ่อครูแม่ครูของพวกเขาได้ ต้องตั้งคำถามกันว่า..
ทำไมเขาถึงไม่มีเวลาฟังกันเลย?
 
...ขณะที่เราต้องการความช่วยเหลือและแรงใจในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ 
พร้อมแรงฝ่ากระแสคลื่น ... ค่านิยมสังคมโมหะภูมิ
  
ผู้ใหญ่หลายๆท่าน ก็ยังคิดจัดการศึกษาแบบเดิมๆ คือ หากจะเปิดการเรียนการสอนในระดับมหาวิทยาลัย จะต้องเปิดปริญญาโทก่อน เพื่อจะได้มีคุณครูมาสอนเด็กปริญญาตรี ซึ่งหากเวลาที่นับถอยหลังเหลือเพียง 36 -37 เดือนจริงๆ คงไม่ทันกับการเตรียมเสบียง กำหนดทิศ และกระโจนออกไปให้ไกลที่สุด เท่าที่จะทำได้ ให้รอดพ้นจากดงฉลาม และการตกเป็นอาหารเต่า อาหารปลา  
ในขณะที่สถานการณ์บ้านเมืองเป็นเช่นนี้ หากเรื่องที่พวกเรากำลังช่วยกันทำ ผู้ใหญ่ไม่เห็นว่าคือเรื่องที่สำคัญเร่งด่วนที่สุด และละทิ้งพรสวรรค์ที่มีในวัยเด็กไปสิ้นแล้ว ยังคิดทำอะไรแบบเดิมๆ ตามๆกันเพื่อแก้ปัญหาที่ยุ่งเหยิงในปัจจุบันทั้งๆที่รู้ว่ามันจะไม่ได้ผล
ก็คงต้อง...อุเบกขาแบบโครงการชั่งหัวมันตามแนวพระราชดำริเป็นแน่แท้
เด็กไทยที่เก่งๆมีเยอะ ได้สารพัดเหรียญการแข่งขันวิชาการโอลิมปิค แต่ไม่มีใครสักคนที่จะเหลือรอดถึงฝั่ง มีแต่ยิ่งว่ายยิ่งไกล กระโดดไปผิดทิศ
พวกเขาไปจมหายอยู่ตรงไหนของทะเลคลั่งหนอ?
น่าเสียดายยิ่งนัก 
โปรดอย่าปล่อยให้เขาจมหาย หรือตกเป็นเหยื่อปลา เหยื่อเต่าในท้องทะเลอีกต่อไป
ตอนนี้เราจึงมีเวลาเหลืออีก 3-4 เดือน ที่จะร่างหลักสูตรและจัดระบบการเรียนการสอน เพื่ออย่างน้อยที่สุด จะได้ทันรับเด็กที่กำลังจะจบม6.จากสัตยาไส เข้าสิกขาต่อในปูทะเลย์มหาวิชชาลัย เพราะเด็กๆเหล่านี้ แม้มีจำนวนน้อย แต่ก็มีศักยภาพที่จะสามารถ ติดตาหรือทาบกิ่งได้ รวมถึงเด็กๆชั้นม.6 จากโรงเรียนอื่นๆทั่วประเทศ ที่ได้เข้ารอบจากการคัดเลือกจากโครงงานคุณธรรมระดับภาค ใน6ค่าย 6ภูมิภาคที่ผ่านมา...
และแล้ว อนาคตเบ้าหลอมแห่งสิกขา ที่จะปฎิวัติการศึกษาไทย  ขาของปูทะเลย์ ขาสัมมากัมมันตะ ก็ต้องมาตกอยู่กับเด็กๆกลุ่มเล็กๆอย่่างพวกเรา ที่ต้องช่วยกันคิดช่วยกัน สร้าง ร่างหลักสูตร ค้นหาครูอาสา ที่จะมาจัดกระบวนการเรียนรู้ใน มหาวิชชาลัยของพวกเขาเอง
 
และโปรดอย่าปล่อยให้เด็กๆต้องสร้างบ้านกันแบบโดดเดี่ยวอยู่อีกเลย  
ผู้ใหญ่ต้องเชื่อมั่นในตัวพวกเขา พร้อมช่วยผลัก ช่วยกันเสริมหนุนให้พวกเขาสร้างชาติกันเถอะ!!
ขอบคุณกัลยาณมิตรทุกท่าน ที่เสียสละเวลาอ่าน แบ่งปันความรู้สึกทุกข์สุขร่วมกัน
ธัมมะอาสา
อ่านจม.ข่าวย้อนหลัง

พอแล้วรวย -ถอดรหัส9วิธีฟื้นฟูชาติ (1)

 

หมายเลขบันทึก: 315256เขียนเมื่อ 22 พฤศจิกายน 2009 12:56 น. ()แก้ไขเมื่อ 10 มิถุนายน 2012 16:40 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (11)

อ่านสาระจากท่านแล้ว...น่าสะท้อนใจว่า....ทำใม กศน. จึงไม่หาเส้นทางนี้เชื่อมต่อกับมหาวิชชาลับปูทะเลย์...เพราะศักยภาพของคนจะเกิดจาก ...เสรีภาพ ความเป็นอิสระอย่างแท้จริง..จากทะเลคลื่นแห่งทุนนิยม บริโภคนิยม คนที่มาสู่ กศน.คือพวกที่ปฏิเสธ โรงเรียน ถูกคัดออกมาจากระบบอันน่าสังเวช...การรับกากเดนจากตะวันตก...ตั้งแต่สมัย พุทธกาล สิกขา สุ จิ ปุ ลิ หัวใจนักปราชญ์ รู้หลุดพ้นจากกองกิเลศ ที่เผาไหม้ ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่เรากำลังตามกระแสแห่งความหล่มจม เยี่ยงประเทศตะวันตกที่ศีลธรรมเสื่อมทรุดกองกิเลิศ โลภ โกธร หลง จาก นักค้าสงคราม เพื่อขายอาวุธ ขายวัฒนธรรมฮีโร่ เพื่อครอบงำความเชื่อวัตถุนิยม ขอติดตามความรู้จากท่าน ขอบคุณ

  • ที่มาของการจัดการศึกษา "ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย" 
    ตามแนวพระราชนิพนธ์ "พระมหาชนก"
    พูดคุยระดมความคิด กับนักเรียนชั้นม.6 โรงเรียนสัตยาไส วันที่ 21 11 2552
    http://www.imeem.com/people/M4geWw3/playlist/wHKmkqp_/music-playlist/

ขอบคุณ คุณ ajankoy เป็นอย่างยิ่งครับ

ผมจะเชื่อมประสานกับทาง กศน. และมหาลัยเปิด ทั้ง ม.ราม และ มสธ.

เพื่อ "เริ่มด้วยช่วยกัน" สร้างสรรค์สิ่งที่ดีเพื่อบ้านของเราครับ 

 

  • สวัสดีครับท่าน สบายดี
  • วันนี้โฉบมาชวนไปงานสังสรรค์ ในชอยสุขุมวิท55 ทองหล่อ ในวันที่ 12 ธ.ค. นี้ ที่สถาบันปรีดี บ่ายโมงครึ่งเป็นต้นไปครับ
  • ว่างก็เชิญมาพบปะกันครับ

สวัสดีค่ะคุณ Man In Flame

การเกิดข้อโต้แย้ง เป็นสิ่งที่ดีค่ะ เพราะหมายถึงการอยู่ในความสนใจของเรื่องที่โต้แย้งนั้น หากไม่สนใจ ก็คงปล่อยหายไปเฉยๆ

ดิฉันเห็นด้วยค่ะ ที่ว่าถ้าจะมีภิกษุณี คงต้องเป็นมหายาน เพราะข้อกำหนดทางเถรวาทดังที่ได้บันทึกไว้ในบันทึก "ปัญหาการบวชภิกษุณีในนิกายเถรวาท" แล้ว

แต่เป็นที่น่าสังเกตุว่า ผู้ที่มาบวชเป็นภิกษุณีล้วนยอมรับว่าสถานภาพของตนจะไม่ได้รับการยอมรับ ท่านธัมมนันทาได้ให้ความเห็นไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ในจดหมายข่าวพุทธสาวิกา ฉบับที่ 27 ต.ค. - ธ.ค.2551 ว่า

"การออกบวชทั้งๆที่ไม่มีสถานภาพรองรับนี้ เรียกว่าไม่ได้เข้ามาเพื่อหวังผลประโยชน์จากการบวชโดยสิ้นเชิง เพียงแต่ทำด้วยแรงศรัทธาที่จะเข้ามารับใช้พระศาสนา และด้วยความเคารพในพระพุทะองค์ ที่ได้ทรงเป็นผู้ประดิษฐานพุทธบริษัททั้ง 4 เอาไว้ นั่นคือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา.......

........ภิกษุณีสงฆ์มีโอกาสดีกว่าพระภิกษุสงฆ์ในแง่ที่ได้เห็นข้ออ่อน ข้อด้อยของภิกษุสงฆ์ที่อยู่ในระบบที่อ้วนอุ้ยอ้าย แก้ไขปรับปรุงอะไรก็ทั้งยาก ภิกษุณีสงฆ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ จึงมีโอกาสอย่างยิ่งที่จะสร้างบ้านใหม่ วางโครงสร้างใหม่ ใช้วัสดุที่ทั้งประหยัดและทนทาน คือฐานศีลที่มั่นคง ฐานธรรมที่เป็นเสาหลักให้บ้านใหม่คงทน ทนแดด ทนฝน ทนปลวก ทนแผ่นดินไหว ฯลฯ ศรัทธาชาวบ้านย่อมเพิ่มพูน

ยิ่งภิกษุณีสงฆ์ไม่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ กลับอาจเป็นข้อดีที่จะคัดสรรคนที่ตั้งใจจะเข้ามากอบโกยจากเนื้อนาพระศาสนาออกไป คัดไว้แต่คนที่มีความตั้งใจที่จะเข้ามารับใช้ รับภาระงานของพระศาสนา ยิ่งกว่าที่จะเข้ามาเพื่อเรียกร้องการยอมรับโดยปราศจากฐานสำคัญคือคุณภาพ....."

ดิฉันมองว่า การหาความพยายามว่าทำอย่างไร วัดจึงไม่เผยแพร่การสะเดาะเคราะห์ ต่อชะตา บูชาพระราหู เป่าเสกเครื่องรางของขลัง น่าเป็นห่วงกว่าการพยายามที่จะไม่ให้มีภิกษุณีอีกค่ะ เพราะสิ่งเหล่านั้นมอมเมาชาวพุทธแบบไม่ได้หยุดหย่อน

ชาวพุทธไทยจึงหย่อนการปฏิบัติภาวนาเพราะเชื่อว่าสามารถเอาตัวรอดได้ จากการตัดกรรม การสวดอ้อนวอนนี้เอง ซึ่งเป็นสีลัพพตปรามาสล้วนๆ

ขอบคุณที่แวะไปแลกเปลี่ยนฉันกัลยาณมิตรนะคะ

สาธุครับ อย่างน้อยก็มีคุณ ณัฐรดา และ กัลยาณมิตรอีกหลายท่าน ที่เข้าใจเรื่องนี้อยู่

เด็กไทยที่เก่งๆมีเยอะ ได้สารพัดเหรียญการแข่งขันวิชาการโอลิมปิค แต่ไม่มีใครสักคนที่จะเหลือรอดถึงฝั่ง มีแต่ยิ่งว่ายยิ่งไกล กระโดดไปผิดทิศ
พวกเขาไปจมหายอยู่ตรงไหนของทะเลคลั่งหนอ?
... เห็นจริงด้วยค่ะ ... สนับสนุนโครงการดีๆ ค่ะ เป็นกำลังใจจะช่วยปชส. ให้นะคะ

มาอีกครั้งค่ะ

เรื่องการบวชชาวต่างชาติโดยเชิงธุรกิจอย่างที่คุณกล่าวนั้น ดิฉันไม่ทราบรายละเอียดค่ะ ทราบแต่ว่าในช่วงแรกๆ ก็ได้รับการคัดค้านจากคณะสงฆ์เหมือนของบ้านเรา

แต่ต่อมา ด้วยวัตรปฏิบัติ และการเกื้อกูลสังคมของภิกษุณีเอง จึงได้รับการยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆค่ะ

อย่างในบ้านเรา ดิฉันมองว่าแม้จะบวชในสายเถรวาท แต่การปฏิบัตินั้นอิงมหายาน คือมุ่งพุทธภูมิมากกว่าการเป็นอนุพุทธ จึงเน้นกรุณา มากกว่าปัญญา

ซึ่งในสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน ก็ดูจะเข้ากันอยู่ค่ะ เพราะเราเกิดมีความเชื่อขึ้นมาว่า อย่าไปช่วยเหลือใครเขาเข้า ไม่งั้นเจ้ากรรมนายเวรของคนนั้น จะย้อนกลับมาเล่นงานเรา คำว่ามีน้ำใจคือไทยแท้ ที่ค่อยๆจางหายไป ส่วนหนึ่งก็เพราะความเชื่อนี้ อีกทั้งบางท่านก็ไม่ค่อยพยายามทำสิ่งที่ควรทำตามกำลัง เพราะความเชื่อว่าตัดกรรมเสียก็หมดอุปสรรค จึงใช้ชีวิตตามปกติ โดยคิดว่าจ่ายเงินทำพิธี หรือถือศีล (แบบสีลัพพตปรามาส อันไม่ใช่บาทฐานของสมาธิ และปัญญา)แล้ว ชีวิตจะดีไปเอง

สื่อเองก็มีส่วนในการเผยแพร่ความมัวเมาค่ะ เคยอ่านหนังสือพิมพ์บางฉบับลงเรื่องเกี่ยวกับวัดว่าเป็นวัดตัวอย่างของการพัฒนา แต่ในบทสัมภาษณ์ พระคุณเจ้าบอกว่าใครจะมาสะเดาะเคราะห์ก็เชิญได้ (เฮ้อ) ผู้บริหารหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเคยเล่าในช่วงจตุคามฮิตว่า รายได้หลักมาจากส่วนนั้น เพราะซื้อหน้าสี และมักซื้อพื้นที่ใหญ่ เช่นเต็มหน้า

จุดนี้จึงยิ่งเสริมสร้างความเข้าใจผิดในแก่นแท้ของพระศาสนา และหน้าที่ของภิกษุสงฆ์ และน่าเสียดาย พระคุณเจ้าที่เผยแพร่แก่นแท้ของพระศาสนาซึ่งมีอยู่หลายรูป กลับไม่ค่อยได้พื้นที่สื่อสักเท่าไหร่ เลยสู้กันไม่ค่อยไหว

พระคุณเจ้า ป.อ. ปยุตตฺโต เขียนไว้ "การถือสีลัพพตปรามาสเจริญขึ้นเมื่อใด ในที่ใด ความเสื่อมแห่งตัวแท้ของพุทธศาสนาก็ปรากฏขึ้นเมื่อนั้น ณ ที่นั้น และน่าจะกล่าวได้อีกด้วยว่า การยึดติดแน่นในสีลัพพตปรามาส (แม้ในแบบที่มีเหตุผลยิ่งกว่านี้) เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่ง ที่ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ที่เรียกว่าการปฏิวัติทางสังคม ในยุคสมัยต่างๆที่ผ่านมา ในประวัติศาสตร์อารยธรรมของมนุษย์" (พุทธรรมฉบับเดิม หน้า 291)

ทุกวันนี้เราเห็นความเสื่อมของพระศาสนาจนชาชินแล้ว การมีภิกษุณีที่ความด่างพร้อยยังไม่ปรากฏ อาจเป็นทางแก้อีกทางก็ได้นะคะ

คุณ Man in Flame คะ

การถอนรากถอนโคนคงยากนะคะ สิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่ใช่เพิ่งปรากฎในสังคมไทยพุทธ แต่เป็นมาช้านาน

คงต้องส่งเสริมการศึกษาพระศาสนาอย่างจริงจังไปเรื่อยๆค่ะ แต่อาจไม่เห็นผลในระยะเวลาอันสั้น

ส่วนมหายาน ดิฉันเองก็เคยมองอย่างที่คุณมองค่ะ ว่าหย่อนยาน

หากเมื่อได้อ่านงานของอาจารย์สุมาลี มหณรงค์ชัย จึงมองด้วยสายตาที่เป็นกลางขึ้น ติดอยู่นิดเดียว ตรงที่เค้าลดความสำคัญของพระพุทธเจ้าลง ไปให้ความสำคัญกับวิถีการเป็นพระพุทธเจ้ามากกว่า แต่มีข้อชดเชยคือ ผู้ที่ปรารถนาจะบรรลุโพธิญาณ ต้องบำเพ็ญบารมีอย่างมาก เฉกเช่นที่พระพุทธองค์เคยทรงบำเพ็ญมา ซึ่งก็เป็นการเกื้อกูลสังคม

แต่คนเราก็เหลือกระไร เห็นว่าพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีด้วยการช่วยเหลือสรรพสัตว์ เลยขอให้พระโพธิสัตว์ช่วยทุกเรื่องให้สมปรารถนาเสียเลย มหายานจึงแทบจะกลายเป็นศาสนาเทวนิยมไป

คงไม่ต่างกับที่ชาวพุทธไทยที่บอกว่าเป็นเถรวาท แต่อ้อนวอนขอสิ่งต่างๆจากพระพุทธรูปมังคะ

ขอบคุณค่ะที่แวะไปสนทนาด้วย

สวัสดีค่ะ

"ดี..ตราบที่มหายานไม่มาอ้างหรือปลอมปนเป็นเถรวาท

และเถรวาทไม่กลายเป็นมหายาน"

คล้ายๆจะบอกว่ามหายานต่ำกว่าเถรวาทเลยค่ะ

คงต้องนึกไปถึงประวัติศาสตร์ ศาสนาพุทธในอินเดียช่วงที่ถูกศาสนาพราหมณ์พยายามทำทุกอย่างที่จะกลืนศาสนาพุทธให้ได้ แม้กระทั่งแต่งคัมภีร์ปุราณะขึ้นมาอ้างเอาพระพุทธองค์เป็นปางหนึ่งของพระนารายณ์ อวตารมาหลอหให้ยักษ์หลงเชื่อ เลิกนับถือพระเวทย์ จนเมื่อยักษ์เชื่อแล้ว จึงอวตารมาเป็นปางที่ 10 กัลกี เพื่อปราบยักษ์ต่อไป จนโลกเข้าสู่ความสงบสุข ชาวพุทธ ก็คือยักษ์ที่ต้องปราบต่อไปนั่นเอง (ดร.สุชาติ หงษา ท่านเขียนไว้ในหนังสือประวัติพุทธศาสนาค่อนข้างละเอียดเลยค่ะ)

อีกทั้งมีการปลอมตนมาบวชในศาสนาพุทธเพื่อให้รู้หลักของศาสนา แล้วเอาไปแก้ไขจุดบกพร่องของศาสนาพราหมณ์เดิม เกิดเป็นศาสนาฮินดู แต่ยังสามารถเรียกแทนชื่อกันได้

ศาสนาพราหมณ์นั้น ชีวิตขึ้นอยู่กับเทพ ต้องคอยระวังไม่ให้เทพโกรธ แต่บางทีก็ทำให้คนรู้สึกว่าอะไรๆง่ายขึ้น เช่น อยากได้อะไรก็อ้อนวอนขอเอา ไม่ต้องเหนื่อยเอง ซึ่งเป็นจุดอ่อนของคนไม่ว่ายุคใดสมัยใด

ศาสนาพุทธหากไม่มีการดิ้นรนบ้าง คงเอาตัวจากพราหมณ์ไม่รอด จึงมีการอ้อนวอนขอบ้าง เช่น พราหมณ์ล้างบาปด้วยการอาบน้ำในแม่น้ำคงคส พุทธก็มีด้วยการสวดมนต์ จนกระทั่งมีพระโพธิสัตว์ให้อ้อนวอนขอ

มาแต่ก็ยังไม่รอดในอินเดียอยู่ดี เพราะถูกมุสลิมทำลายแบบหาญหัก

อันที่จริงศาสนาพราหมณ์ก็มีส่วนดีค่ะ มีทั้งคำสอนที่ดี และคำสอนที่ทำให้สังคมอินเดียแบ่งเป็นชนชั้นต่างๆที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เมื่อพุทธไม่มีการแบ่งแยก คนหันมานับถือมากขึ้น ศาสนิกพรามณ์จึงบ่อนทำลายพุทธดังกล่าว

พุทธที่ต้องดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอดจากการทำลายไม่ว่าจะโดยการกลืน หรือโดยการอำนาจ น่าเห็นใจนะคะ

แต่ที่พุทธไทยจะเอาตัวไม่รอด ก็คงเพราะการขาดการเผยแพร่แก่นแท้ของพระศาสนาอย่างทั่วถึง การเผยแพร่ส่วนของไสยที่ปนมาในศาสนา (เช่นการโฆษณาพระเครื่อง การปลุกเสกเทพพราหมณ์ที่ทำโดยพระพุทธ) จนคนไทยเข้าใจว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของศาสนาพุทธ นิสัยชอบอะไรง่ายๆแบบส้มหล่น (ดังจะเห็นได้ง่ายมากจากนวนิยายแนวซินเดอเรลล่า หรือการเล่นหวย) จึงละเลยการปฏิบัติตรง และการใส่ใจหาความรู้เกี่ยวกับศาสนาน้อยไปมากกว่าค่ะ

ไม่ว่าศาสนิกนิกายไหน ก็มีสิทธิทำลายศาสนาที่ตนคิดว่าเป็นหลักยึดได้มากพอๆกัน "พุทธะ" จึงแทบจะกลายเป็น "ภูติ" เป็น "ไสย" หรือเป็นอะไรไปอย่างที่เห็น

แหม หาเรื่องหนักๆมาคุยแต่เช้าวันหยุดเลย

ไม่ว่าอย่างไร ก้ขอบคุณค่ะที่แวะไปแลกเปลี่ยนกัน

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท