ร่วมเฉลิมฉลอง พุทธชยันตี ๒,๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ .
. Buddha Jayanti: 2,600 years of the Buddha’s Enlightenment .
วิสาขบูชา ๒๕๕๔ – วิสาขบูชา ๒๕๕๕ Vesak 2011 – Vesak 2012
ขอสำเนาถึงกัลยาณมิตรทุกๆท่าน
อ่านสาระจากท่านแล้ว...น่าสะท้อนใจว่า....ทำใม กศน. จึงไม่หาเส้นทางนี้เชื่อมต่อกับมหาวิชชาลับปูทะเลย์...เพราะศักยภาพของคนจะเกิดจาก ...เสรีภาพ ความเป็นอิสระอย่างแท้จริง..จากทะเลคลื่นแห่งทุนนิยม บริโภคนิยม คนที่มาสู่ กศน.คือพวกที่ปฏิเสธ โรงเรียน ถูกคัดออกมาจากระบบอันน่าสังเวช...การรับกากเดนจากตะวันตก...ตั้งแต่สมัย พุทธกาล สิกขา สุ จิ ปุ ลิ หัวใจนักปราชญ์ รู้หลุดพ้นจากกองกิเลศ ที่เผาไหม้ ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่เรากำลังตามกระแสแห่งความหล่มจม เยี่ยงประเทศตะวันตกที่ศีลธรรมเสื่อมทรุดกองกิเลิศ โลภ โกธร หลง จาก นักค้าสงคราม เพื่อขายอาวุธ ขายวัฒนธรรมฮีโร่ เพื่อครอบงำความเชื่อวัตถุนิยม ขอติดตามความรู้จากท่าน ขอบคุณ
ที่มาของการจัดการศึกษา "ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย"
ตามแนวพระราชนิพนธ์ "พระมหาชนก" พูดคุยระดมความคิด กับนักเรียนชั้นม.6 โรงเรียนสัตยาไส วันที่ 21 11 2552
http://www.imeem.com/people/M4geWw3/playlist/wHKmkqp_/music-playlist/ |
ขอบคุณ คุณ ajankoy เป็นอย่างยิ่งครับ
ผมจะเชื่อมประสานกับทาง กศน. และมหาลัยเปิด ทั้ง ม.ราม และ มสธ.
เพื่อ "เริ่มด้วยช่วยกัน" สร้างสรรค์สิ่งที่ดีเพื่อบ้านของเราครับ
สวัสดีค่ะคุณ Man In Flame
การเกิดข้อโต้แย้ง เป็นสิ่งที่ดีค่ะ เพราะหมายถึงการอยู่ในความสนใจของเรื่องที่โต้แย้งนั้น หากไม่สนใจ ก็คงปล่อยหายไปเฉยๆ
ดิฉันเห็นด้วยค่ะ ที่ว่าถ้าจะมีภิกษุณี คงต้องเป็นมหายาน เพราะข้อกำหนดทางเถรวาทดังที่ได้บันทึกไว้ในบันทึก "ปัญหาการบวชภิกษุณีในนิกายเถรวาท" แล้ว
แต่เป็นที่น่าสังเกตุว่า ผู้ที่มาบวชเป็นภิกษุณีล้วนยอมรับว่าสถานภาพของตนจะไม่ได้รับการยอมรับ ท่านธัมมนันทาได้ให้ความเห็นไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ในจดหมายข่าวพุทธสาวิกา ฉบับที่ 27 ต.ค. - ธ.ค.2551 ว่า
"การออกบวชทั้งๆที่ไม่มีสถานภาพรองรับนี้ เรียกว่าไม่ได้เข้ามาเพื่อหวังผลประโยชน์จากการบวชโดยสิ้นเชิง เพียงแต่ทำด้วยแรงศรัทธาที่จะเข้ามารับใช้พระศาสนา และด้วยความเคารพในพระพุทะองค์ ที่ได้ทรงเป็นผู้ประดิษฐานพุทธบริษัททั้ง 4 เอาไว้ นั่นคือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา.......
........ภิกษุณีสงฆ์มีโอกาสดีกว่าพระภิกษุสงฆ์ในแง่ที่ได้เห็นข้ออ่อน ข้อด้อยของภิกษุสงฆ์ที่อยู่ในระบบที่อ้วนอุ้ยอ้าย แก้ไขปรับปรุงอะไรก็ทั้งยาก ภิกษุณีสงฆ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ จึงมีโอกาสอย่างยิ่งที่จะสร้างบ้านใหม่ วางโครงสร้างใหม่ ใช้วัสดุที่ทั้งประหยัดและทนทาน คือฐานศีลที่มั่นคง ฐานธรรมที่เป็นเสาหลักให้บ้านใหม่คงทน ทนแดด ทนฝน ทนปลวก ทนแผ่นดินไหว ฯลฯ ศรัทธาชาวบ้านย่อมเพิ่มพูน
ยิ่งภิกษุณีสงฆ์ไม่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ กลับอาจเป็นข้อดีที่จะคัดสรรคนที่ตั้งใจจะเข้ามากอบโกยจากเนื้อนาพระศาสนาออกไป คัดไว้แต่คนที่มีความตั้งใจที่จะเข้ามารับใช้ รับภาระงานของพระศาสนา ยิ่งกว่าที่จะเข้ามาเพื่อเรียกร้องการยอมรับโดยปราศจากฐานสำคัญคือคุณภาพ....."
ดิฉันมองว่า การหาความพยายามว่าทำอย่างไร วัดจึงไม่เผยแพร่การสะเดาะเคราะห์ ต่อชะตา บูชาพระราหู เป่าเสกเครื่องรางของขลัง น่าเป็นห่วงกว่าการพยายามที่จะไม่ให้มีภิกษุณีอีกค่ะ เพราะสิ่งเหล่านั้นมอมเมาชาวพุทธแบบไม่ได้หยุดหย่อน
ชาวพุทธไทยจึงหย่อนการปฏิบัติภาวนาเพราะเชื่อว่าสามารถเอาตัวรอดได้ จากการตัดกรรม การสวดอ้อนวอนนี้เอง ซึ่งเป็นสีลัพพตปรามาสล้วนๆ
ขอบคุณที่แวะไปแลกเปลี่ยนฉันกัลยาณมิตรนะคะ
สาธุครับ อย่างน้อยก็มีคุณ ณัฐรดา และ กัลยาณมิตรอีกหลายท่าน ที่เข้าใจเรื่องนี้อยู่
มาอีกครั้งค่ะ
เรื่องการบวชชาวต่างชาติโดยเชิงธุรกิจอย่างที่คุณกล่าวนั้น ดิฉันไม่ทราบรายละเอียดค่ะ ทราบแต่ว่าในช่วงแรกๆ ก็ได้รับการคัดค้านจากคณะสงฆ์เหมือนของบ้านเรา
แต่ต่อมา ด้วยวัตรปฏิบัติ และการเกื้อกูลสังคมของภิกษุณีเอง จึงได้รับการยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆค่ะ
อย่างในบ้านเรา ดิฉันมองว่าแม้จะบวชในสายเถรวาท แต่การปฏิบัตินั้นอิงมหายาน คือมุ่งพุทธภูมิมากกว่าการเป็นอนุพุทธ จึงเน้นกรุณา มากกว่าปัญญา
ซึ่งในสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน ก็ดูจะเข้ากันอยู่ค่ะ เพราะเราเกิดมีความเชื่อขึ้นมาว่า อย่าไปช่วยเหลือใครเขาเข้า ไม่งั้นเจ้ากรรมนายเวรของคนนั้น จะย้อนกลับมาเล่นงานเรา คำว่ามีน้ำใจคือไทยแท้ ที่ค่อยๆจางหายไป ส่วนหนึ่งก็เพราะความเชื่อนี้ อีกทั้งบางท่านก็ไม่ค่อยพยายามทำสิ่งที่ควรทำตามกำลัง เพราะความเชื่อว่าตัดกรรมเสียก็หมดอุปสรรค จึงใช้ชีวิตตามปกติ โดยคิดว่าจ่ายเงินทำพิธี หรือถือศีล (แบบสีลัพพตปรามาส อันไม่ใช่บาทฐานของสมาธิ และปัญญา)แล้ว ชีวิตจะดีไปเอง
สื่อเองก็มีส่วนในการเผยแพร่ความมัวเมาค่ะ เคยอ่านหนังสือพิมพ์บางฉบับลงเรื่องเกี่ยวกับวัดว่าเป็นวัดตัวอย่างของการพัฒนา แต่ในบทสัมภาษณ์ พระคุณเจ้าบอกว่าใครจะมาสะเดาะเคราะห์ก็เชิญได้ (เฮ้อ) ผู้บริหารหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเคยเล่าในช่วงจตุคามฮิตว่า รายได้หลักมาจากส่วนนั้น เพราะซื้อหน้าสี และมักซื้อพื้นที่ใหญ่ เช่นเต็มหน้า
จุดนี้จึงยิ่งเสริมสร้างความเข้าใจผิดในแก่นแท้ของพระศาสนา และหน้าที่ของภิกษุสงฆ์ และน่าเสียดาย พระคุณเจ้าที่เผยแพร่แก่นแท้ของพระศาสนาซึ่งมีอยู่หลายรูป กลับไม่ค่อยได้พื้นที่สื่อสักเท่าไหร่ เลยสู้กันไม่ค่อยไหว
พระคุณเจ้า ป.อ. ปยุตตฺโต เขียนไว้ "การถือสีลัพพตปรามาสเจริญขึ้นเมื่อใด ในที่ใด ความเสื่อมแห่งตัวแท้ของพุทธศาสนาก็ปรากฏขึ้นเมื่อนั้น ณ ที่นั้น และน่าจะกล่าวได้อีกด้วยว่า การยึดติดแน่นในสีลัพพตปรามาส (แม้ในแบบที่มีเหตุผลยิ่งกว่านี้) เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่ง ที่ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ที่เรียกว่าการปฏิวัติทางสังคม ในยุคสมัยต่างๆที่ผ่านมา ในประวัติศาสตร์อารยธรรมของมนุษย์" (พุทธรรมฉบับเดิม หน้า 291)
ทุกวันนี้เราเห็นความเสื่อมของพระศาสนาจนชาชินแล้ว การมีภิกษุณีที่ความด่างพร้อยยังไม่ปรากฏ อาจเป็นทางแก้อีกทางก็ได้นะคะ
คุณ Man in Flame คะ
การถอนรากถอนโคนคงยากนะคะ สิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่ใช่เพิ่งปรากฎในสังคมไทยพุทธ แต่เป็นมาช้านาน
คงต้องส่งเสริมการศึกษาพระศาสนาอย่างจริงจังไปเรื่อยๆค่ะ แต่อาจไม่เห็นผลในระยะเวลาอันสั้น
ส่วนมหายาน ดิฉันเองก็เคยมองอย่างที่คุณมองค่ะ ว่าหย่อนยาน
หากเมื่อได้อ่านงานของอาจารย์สุมาลี มหณรงค์ชัย จึงมองด้วยสายตาที่เป็นกลางขึ้น ติดอยู่นิดเดียว ตรงที่เค้าลดความสำคัญของพระพุทธเจ้าลง ไปให้ความสำคัญกับวิถีการเป็นพระพุทธเจ้ามากกว่า แต่มีข้อชดเชยคือ ผู้ที่ปรารถนาจะบรรลุโพธิญาณ ต้องบำเพ็ญบารมีอย่างมาก เฉกเช่นที่พระพุทธองค์เคยทรงบำเพ็ญมา ซึ่งก็เป็นการเกื้อกูลสังคม
แต่คนเราก็เหลือกระไร เห็นว่าพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีด้วยการช่วยเหลือสรรพสัตว์ เลยขอให้พระโพธิสัตว์ช่วยทุกเรื่องให้สมปรารถนาเสียเลย มหายานจึงแทบจะกลายเป็นศาสนาเทวนิยมไป
คงไม่ต่างกับที่ชาวพุทธไทยที่บอกว่าเป็นเถรวาท แต่อ้อนวอนขอสิ่งต่างๆจากพระพุทธรูปมังคะ
ขอบคุณค่ะที่แวะไปสนทนาด้วย
สวัสดีค่ะ
"ดี..ตราบที่มหายานไม่มาอ้างหรือปลอมปนเป็นเถรวาท
และเถรวาทไม่กลายเป็นมหายาน"
คล้ายๆจะบอกว่ามหายานต่ำกว่าเถรวาทเลยค่ะ
คงต้องนึกไปถึงประวัติศาสตร์ ศาสนาพุทธในอินเดียช่วงที่ถูกศาสนาพราหมณ์พยายามทำทุกอย่างที่จะกลืนศาสนาพุทธให้ได้ แม้กระทั่งแต่งคัมภีร์ปุราณะขึ้นมาอ้างเอาพระพุทธองค์เป็นปางหนึ่งของพระนารายณ์ อวตารมาหลอหให้ยักษ์หลงเชื่อ เลิกนับถือพระเวทย์ จนเมื่อยักษ์เชื่อแล้ว จึงอวตารมาเป็นปางที่ 10 กัลกี เพื่อปราบยักษ์ต่อไป จนโลกเข้าสู่ความสงบสุข ชาวพุทธ ก็คือยักษ์ที่ต้องปราบต่อไปนั่นเอง (ดร.สุชาติ หงษา ท่านเขียนไว้ในหนังสือประวัติพุทธศาสนาค่อนข้างละเอียดเลยค่ะ)
อีกทั้งมีการปลอมตนมาบวชในศาสนาพุทธเพื่อให้รู้หลักของศาสนา แล้วเอาไปแก้ไขจุดบกพร่องของศาสนาพราหมณ์เดิม เกิดเป็นศาสนาฮินดู แต่ยังสามารถเรียกแทนชื่อกันได้
ศาสนาพราหมณ์นั้น ชีวิตขึ้นอยู่กับเทพ ต้องคอยระวังไม่ให้เทพโกรธ แต่บางทีก็ทำให้คนรู้สึกว่าอะไรๆง่ายขึ้น เช่น อยากได้อะไรก็อ้อนวอนขอเอา ไม่ต้องเหนื่อยเอง ซึ่งเป็นจุดอ่อนของคนไม่ว่ายุคใดสมัยใด
ศาสนาพุทธหากไม่มีการดิ้นรนบ้าง คงเอาตัวจากพราหมณ์ไม่รอด จึงมีการอ้อนวอนขอบ้าง เช่น พราหมณ์ล้างบาปด้วยการอาบน้ำในแม่น้ำคงคส พุทธก็มีด้วยการสวดมนต์ จนกระทั่งมีพระโพธิสัตว์ให้อ้อนวอนขอ
มาแต่ก็ยังไม่รอดในอินเดียอยู่ดี เพราะถูกมุสลิมทำลายแบบหาญหัก
อันที่จริงศาสนาพราหมณ์ก็มีส่วนดีค่ะ มีทั้งคำสอนที่ดี และคำสอนที่ทำให้สังคมอินเดียแบ่งเป็นชนชั้นต่างๆที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เมื่อพุทธไม่มีการแบ่งแยก คนหันมานับถือมากขึ้น ศาสนิกพรามณ์จึงบ่อนทำลายพุทธดังกล่าว
พุทธที่ต้องดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอดจากการทำลายไม่ว่าจะโดยการกลืน หรือโดยการอำนาจ น่าเห็นใจนะคะ
แต่ที่พุทธไทยจะเอาตัวไม่รอด ก็คงเพราะการขาดการเผยแพร่แก่นแท้ของพระศาสนาอย่างทั่วถึง การเผยแพร่ส่วนของไสยที่ปนมาในศาสนา (เช่นการโฆษณาพระเครื่อง การปลุกเสกเทพพราหมณ์ที่ทำโดยพระพุทธ) จนคนไทยเข้าใจว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของศาสนาพุทธ นิสัยชอบอะไรง่ายๆแบบส้มหล่น (ดังจะเห็นได้ง่ายมากจากนวนิยายแนวซินเดอเรลล่า หรือการเล่นหวย) จึงละเลยการปฏิบัติตรง และการใส่ใจหาความรู้เกี่ยวกับศาสนาน้อยไปมากกว่าค่ะ
ไม่ว่าศาสนิกนิกายไหน ก็มีสิทธิทำลายศาสนาที่ตนคิดว่าเป็นหลักยึดได้มากพอๆกัน "พุทธะ" จึงแทบจะกลายเป็น "ภูติ" เป็น "ไสย" หรือเป็นอะไรไปอย่างที่เห็น
แหม หาเรื่องหนักๆมาคุยแต่เช้าวันหยุดเลย
ไม่ว่าอย่างไร ก้ขอบคุณค่ะที่แวะไปแลกเปลี่ยนกัน