พอ แล้ว รวย อาจารย์ยักษ์
ถอดรหัส ๙ วิธีฟื้นฟูชาติ (๑) มหา’ลัยคอกหมู
“นับแต่อุปราชจนถึงคนรักษาช้างคนรักษาม้า และนับแต่คนรักษาม้าจนถึงอุปราช และโดยเฉพาะเหล่าอำมาตย์ ล้วนจาริกในโมหภูมิทั้งนั้น พวกนี้ขาดทั้งความรู้วิชาการ ทั้งความรู้ทั่วไป คือความสำนึกธรรมดา พวกนี้ไม่รู้แม้แต่ประโยชน์ส่วนตน พวกนี้ชอบผลมะม่วงแต่ก็ทำลายต้นมะม่วง” ข้อความตอนหนึ่งจากบทพระราชนิพนธ์พระมหาชนกที่เปรียบเสมือน“เสียงเตือนสติ” ให้กับสังคมไทยว่า การหลงอยู่ใน “โมหภูมิ” ที่ไม่รู้แม้แต่ประโยชน์ที่ตนได้จากทรัพยากร และการแก่งแย่งดูดกลืนทรัพยากรจนขาดสติถึงขั้นถอนราก ตัดโค่น ทำลาย ทั้งต้นไม้ ดิน น้ำ อากาศ ที่เปรียบดังต้นมะม่วงนั้น ที่สุดคือการ ทำลายตนเอง ข้อคิดที่ทรงคุณค่าอีกประการหนึ่งจากบทเรียน ต้นมะม่วงที่ให้ไว้กับพสกนิกร คือ ทรัพย์สินที่มีค่า หากอยู่ท่ามกลางคนเขลา เบาปัญญา ก็มีสิทธิ์หมดไป หรือ ถูกทำลายไปในที่สุด หากต้นมะม่วงเปรียบเสมือนสังคมไทย ณ ขณะนี้ ก็เป็นต้นมะม่วงที่กำลังถูกถอนราก ผู้คนพากันรุมกินรุมทึ้ง ดอกผลที่มีอยู่เกือบหมด และกำลังจะกลายเป็นซากต้นมะม่วงที่ไม่สามารถให้ดอกผลได้อีกต่อไป การจะทำให้ต้นมะม่วงกลับมามีชีวิตใหม่ไม่เพียงแต่ต้องรู้วิทยาการในการฟื้นฟู แต่ยังต้องเป็นหน้าที่ เป็นสำนึกของทุก ๆ คนในสังคม ดังพระราชดำรัสของพระมหาชนกที่กล่าวเพิ่มเติมว่า “ทุกบุคคลจะเป็นพ่อค้าวาณิชย์ เกษตรกร กษัตริย์ หรือสมณะ ต้องทำหน้าที่ทั้งนั้น ก่อนอื่นเราต้องฟื้นฟูต้นมะม่วงที่มีผล” พร้อมทั้งเสนอ ๙ วิธีในการฟื้นฟูต้นมะม่วง ดังนี้
“๑ เพาะเมล็ดมะม่วง ๒ ถนอมรากที่ยังมีอยู่ให้งอกรากใหม่ ๓ ปักชำกิ่งที่เหมาะแก่การปักชำ ๔ เอากิ่งดีมาเสียบยอดของต้นไม้ที่ยังไม่มีผลให้มีผล ๕ เอาตามาต่อกิ่งของอีกต้น ๖ เอากิ่งมาทาบกิ่ง ๗ ตอนกิ่งให้ออกราก ๘ รมควันต้นที่ไม่มีผลให้ออกผล ๙ ทำชีวาณูสงเคราะห์”
๙ วิธีดังกล่าวในการฟื้นฟูมะม่วงนอกจากจะใช้ได้ ในเชิงมิติที่เป็น “กายภาพ” ที่หมายถึงการฟื้นฟูสภาพแวดล้อม ต้นหมากรากไม้แล้วยังสามารถนำเอามาประยุกต์ได้อย่างยอดเยี่ยมในมิติของการฟื้นฟู “สังคม” และ “คน” ดังนี้ ๑ เพาะเมล็ด คือการนำเมล็ดแต่ละเมล็ดมาเพาะให้เติบโตเป็นต้นกล้า จากต้นกล้าเติบโตเป็นต้นไม้ที่แข็งแรงต่อไป เปรียบเสมือนการเอาสมาชิกรุ่นเยาว์แต่ละคนมาอบรมบ่มเพาะให้การศึกษา ใส่ปัญญา ใส่ความรู้ คุณธรรมตั้งแต่เยาว์วัย ให้สามารถเติบโต เป็นผู้ใหญ่ที่รู้ผิดชอบชั่วดี สามารถยืนหยัดท่ามกลางกระแสมิจฉาทิฐิได้อย่างมั่นคง ใน ๙ วิธีของการฟื้นฟูต้นมะม่วง การเพาะเมล็ดถือเป็นวิธีที่ ๑ ที่ถือว่ามีความสำคัญที่สุด เพราะ เมล็ดที่แข็งแรงสามารถถูกขยายให้เป็นพันธุ์ที่แข็งแรงได้ต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เปรียบเสมือน เยาวชนต้นกล้า ของสังคม หากแข็งแร็ง ได้รับการปลูกฝัง คุณธรรมความรู้จนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี ก็จะสามารถขยายผล ผลิต เยาวชน ที่เป็น ต้นกล้าแห่งความดีงามได้ไม่มีที่สิ้นสุด และผู้ใหญ่ที่เติบโตจากเมล็ดพันธุ์แต่ละเม็ดก็จะขยายรากเป็น “รากแก้ว” เป็นฐานยึดที่แข็งแรง ให้ร่มเงาแห่งความร่มเย็นแก่สังคมได้อย่างมั่นคง ถาวร ๒ ถนอมรากที่ยังมีอยู่ให้งอกรากใหม่ ในมิติของการฟื้นฟูสังคมคือการรักษาประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ภูมิปัญญา คุณค่าอันดีงามที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษให้คงอยู่ เป็นสายใยยึดโยงเกาะเกี่ยวผู้คนในสังคมเข้าด้วยกัน สังคมที่ขาดประวัติศาสตร์ ไร้วัฒนธรรม เปรียบเสมือนต้นไม้ที่ไร้ราก ไม่อาจ ต้านทานกระแสลมที่กรรโชก การกัดเซาะ และกัดแทะจากภายนอกได้ หากรากดียังมีอยู่ จำเป็นที่ต้องถนอมรากให้ดีและให้เร็ว เพื่อให้รากนั้นทำหน้าที่เป็นฐานปกป้องไม่ให้ต้นไม้ล้มครืนได้ง่าย ๆ รากดี ๆ ของสังคมไทยที่จำเป็นต้องได้รับการถนอมอย่างเร่งด่วน คือ รากของ การแบ่งปัน การให้ การไม่เบียดเบียน หากรากนี้ถูกถอนโค่นและแทนที่ด้วยจิตสำนึกของการ ล่า มือใครยาวสาวได้สาวเอา แห่งทุนนิยมได้ เมื่อไหร่ เราคงเห็นต้นไม้ “ประเทศไทย” ล้มครืนไปเมื่อนั้น
สำหรับอีก ๗ วิธีในการประยุกต์เพื่อการฟื้นฟูชาติจากบทเรียนการฟื้นฟูต้นมะม่วงนั้นจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามในตอนหน้า นะคร้าบ
ที่มา:คมชัดลึก
ไม่มีความเห็น