เผชิญความจริง;สอนแบบไม่สอน


“การช่วยเหลือใครสักคน ไม่จำเป็นต้องวางแผน ไม่จำเป็นต้องปกป้อง จนเกินพอดี หากเรายืนอยู่ข้าง ๆ เขาแล้วให้เขา พบกับความจริง แล้วความจริงก็จะช่วยสอน และเยียวยาเขาเองค่ะ”

อย่างที่หนูเคยเล่าให้ฟังว่า หนูออดอ้อนครู เพื่อขอไปทำงานกับท่านด้วย พอขากลับด้วยความเมตตาและเอาใจใส่ของครู ท่านนัดหมายกับอาจารย์เพื่อทานข้าวเย็นร่วมกัน

ครูขับรถจาก อืมน่าจะเป็นนคราชสีมานะคะ หนูเองไม่แน่ใจ ทั้ง ๆ ที่ท่านใช้พลังงานมากมายในการ บรรยาย ผู้คนเป็นร้อย ๆ แล้วท่านก็ยังอดทนขับรถพาหนู ที่นั่งทำหน้าจ๋อย ถาม อะไรก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ไม่กล้าตอบ ดู กล้ว ๆ ไป เสียหมด

กลายเป็นว่าจากที่ครูทำงานหนัก ๆ ก็ต้องมาแบกรับสภาวะทางอารมณ์ของศิษย์ ที่โง่ ๆ และชั่ว ๆ อย่างหนูอีก

พอมาถึงขอนแก่น ยิ่งใกล้ถึงจุดนัดหมาย หนูยิ่งเหมือนเป็นอาการประสาทผวาไม่อยากเจอ อาจารย์ จนครูท่านต้อง หาวิธีช่วยผ่อนคลาย

ท่านเตือนว่า "หายใจ อยู่กับลมหายใจ" 

พอใกล้ถึงบ้านอาจารย์เราสองคนกะว่าจะทำให้ท่านประหลาดใจ หนูจึงโทรจองร้านอาหารไว้ ซึ่งปกติเราไม่ทำ

แต่แล้วพอไปถึงร้านอาหาร อาจารย์ท่านมีอาการไม่พอใจเกิดขึ้น เพราะเหมือนท่านเคยมาแล้วมีความรู้สึกไม่ดีเกิดขึ้น แล้วตั้งใจว่าจะไม่มาที่นี่อีก

ความรู้สึกหนูตอนนั้นอึ้ง แล้วคิดขึ้นมาว่า "ครูเจอศึกหนักแน่ ๆ เลย"

พอปลานึ่ง แจ่ว ของโปรดหนู กับคุณครูถูกยกว่า เราทั้งสองคนก็ค่อย ๆ ทาน โดยมี ท่านอาจารย์น่าดูและดื่มน้ำเปล่า หนูรู้สึก อึดอัด และก็รู้สึกสงสารครูมาก ๆ มีความรู้สึกอยากจะปกป้องครูขึ้นมาทันที อย่างบอกไม่ถูก แต่อีกคนก็อาจารย์ที่เคารพ อีกคนก็ครูที่นับถือ

คุณครูท่านอดทนมากค่ะ

 "พยายามชี้ชวนให้ทั้งหนูและอาจารย์หนูผ่อนคลาย ชวนคุยเรื่องภาพวาดที่ผนัง"

บรรยากาศบนโต๊ะอาหารวันนั้น อึมครึม พอเราทานเสร็จอาหารเหลือเพียบ ครูจึงขอห่อแล้วให้หนูเอากลับบ้าน ระหว่างทางกลับครูท่านเอ่ย

 “ขอโทษท่านอาจารย์ ที่จองร้านโดยไม่บอกก่อน” หนูรู้สึกประทับใจท่านมาก เพราะท่านยอม เอ่ยคำพูดที่ใครหลาย ๆ คนคงไม่พูดแน่ ๆ แต่ครูท่านเสียสละ และท่านเอ่ยออกมาจากใจ รู้สึกได้ถึงการสั่นสะเทือนในน้ำเสียงและความรู้สึกเสียใจ

แต่ท่านอาจารย์ก็เอ่ย ว่า "ไม่เป็นไร เพราะไม่รู้" แต่ในความรู้สึกที่สัมผัสได้เหมือนอาจารย์ท่านโดนสั่นสะเทือนบางอย่าง คล้ายจะรู้สึกผิดที่ทำไป แต่ก็แก้อะไรไม่ได้

พอบรรยากาศอึมครึมหนูได้แต่นั่งเงียบ ตามลมหายใจไปเรื่อย ๆ พอเงียบมาก ๆ ครูท่านหันมาถามหนูว่า “เราทำอะไร”

หนูตอบครูว่า “หายใจค่ะ” ตอบแบบสบาย ๆ และจริงใจ พอส่งอาจารย์เสร็จ ครูท่านก็จะขับรถไปส่งหนูที่บ้านแล้วหนูก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่า

“ครั้งหนึ่ง หนูกับน้อง ๆ ใน Lab เคยมาทานร้านนี้ แล้วเจออะไรที่ท่านไม่พอใจนี่แหละค่ะ ท่านจึงเอ่ยประมาณว่า จะไม่มาทานที่นี่อีกต่อไป ประมาณนี้ค่ะ”

ครูเอ่ยว่า

“ดีแล้ว ที่เราจำไม่ได้ เพราะว่าถ้าเราจำได้ เรามักจะปกป้อง อาจารย์ของเราเกินควร จนท่านไม่ได้เผชิญความจริง ครั้งนี้ พี่รู้สึกว่าท่านสั่นสะเทือน ท่านเป็นผู้มีปัญญา สามารถพิจารณาได้ด้วยตนเอง”

หนูรู้สึกซึ้งใจ ในความเมตตาของครู ที่พยายามพยุง และช่วยเหลือคนรอบข้างที่เข้ามาสัมพันธ์กับครูทุกคน และหนูก็รู้สึกว่า ท่านเหนื่อย ตอนนั้น ประทับใจในตัวครู อย่างไม่รู้ตัวและชื่นชมมากด้วยค่ะ

วันนั้นเหมือนครูสอนหนูว่า

 “การช่วยเหลือใครสักคน ไม่จำเป็นต้องวางแผน ไม่จำเป็นต้องปกป้อง จนเกินพอดี หากเรายืนอยู่ข้าง ๆ เขาแล้วให้เขา พบกับความจริง แล้วความจริงก็จะช่วยสอน และเยียวยาเขาเองค่ะ”

       ครูหนูท่านมีความอดทนและมีเมตตาไม่มีประมาณ ดูแล้วเกินจากกายที่เป็นเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆคน หนึ่ง พอเขียนมาถึงตรงนี้ จิตหนูเองก็แปลก ไม่แน่นอน บางทีก็อิจฉาครู บางทีก็ รักครู บางทีก็ชื่นชม บางทีก็อยากปกป้อง มันเปลี่ยนแปลงเร็วจริง ๆ ค่ะ ทั้ง ๆ ที่พูดมาทั้งหมด มันเกิดขึ้นที่ ใจหนูเอง

ครูไม่ได้แค่สอน lecture ครูทั้งทำให้เห็น เผชิญให้เห็น พาให้ดู ให้ย้อนมองตนเอง ให้ทบทวนในตนเอง โอ้ วิธีของครูมากมายไร้รูปแบบจริง ๆ ค่ะ หนูโชคดีจริง ๆ ที่มีโอกาสได้เรียนรู้จากครู

กราบขอบพระคุณค่ะ

 

หมายเลขบันทึก: 314805เขียนเมื่อ 20 พฤศจิกายน 2009 11:25 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 21:55 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท