ปรากฎการณ์ทางสังคมพุทธศาสนาแบบไทยๆ ล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้ กรณีพระภิกษุ-สามเณรวัดหนึ่งเดินขบวนไปยังธนาคารเพื่อให้ระงับการเิบิกจ่ายเงินวัดและการประท้วงเรื่องการจะเสนอแต่งตั้งเจ้าอาวาสรูปใหม่ก็ผ่านไปแล้ว.... และแล้วข่าวการประชุม สัมมนา หรืออภิปรายเกี่ยวกับสังคมในวัดเชิงลบก็จะตามมา... เคยสังเกตว่า สังคมไทยเป็นอย่างนี้ ทุกครั้ง แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น มีแต่เลวลง ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ นั่นคือ สภาพเสื่อมนั่นเอง...
ผู้เขียนบวชมา ๒๕ พรรษา(ปี) เพราะเหตุว่าเจ้าอาวาสและรองเจ้าอาวาสอาพาธ ปีนี้ผู้เขียนจึงต้องปฏิบัิติหน้าที่แทนเจ้าอาวาส หรืออาจพูดได้ว่าเป็นสมภารวัดโดยพฤตินัย... คราใดที่ได้ฟังปรากฏการณ์ว่าพระประท้วงหรือเดินขบวนเป็นต้น เมื่อตรวจสอบปรากฎการณ์เหล่านั้นตามสายตาของคนอยู่วัด เกือบทุกครั้งมักจะเห็นด้วยหรือเห็นใจบรรดาพระสงฆ์องค์เณรเหล่านั้น... ส่วนเรื่องราวการวิจารณ์เชิงลบที่ตามมา ผู้เขียนจะรู้สึกแย้งในใจตลอด แต่ผู้เขียนก็ยอมรับว่าข้อวิจารณ์เชิงลบบรรดามีเหล่านั้นเป็นสิ่งมีอยู่จริงๆ
เคยจำแนกเงินวัดเงินสมภารและเรื่องวัดรวยวัดจนมานานแล้ว ก็จะนำมาเล่าอีกครั้ง นัยแรกเรื่องเงินวัดกับเงินสมภารอาจจำแนกได้ดังนี้
นัยแรก เงินวัดเงินสมภาร เงินสมภารเงินสมภาร นั่นคือ เงินในส่วนที่เป็นของวัด สมภารมีความรู้สึกว่าเป็นของตนเอง สามารถใช้จ่ายอะไรก็ได้ ส่วนเงินส่วนตัวของสมภารนั้น ท่านก็ว่าเป็นของท่านมิใช่เงินวัด.......... สมภารใดเป็นไปทำนองนี้ โดยมากจะเสื่อมจากคุณธรรม
นัยต่อมา เงินวัดเงินวัด เงินสมภารเงินสมภาร นั่นคือ มีการแยกส่วนกันอย่างชัดเจน ในส่วนที่เป็นเงินของวัดนั้น สมภารมีความสำเนียกว่ามิใช่ของท่าน ถ้าจำเป็นต้องใช้จ่ายก็โปร่งใสชัดเจน จะใช้จ่ายตามอัธยาศัยเฉพาะเงินส่วนตัวของท่านเท่านั้น........ สมภารใดเป็นไปทำนองนี้ โดยมากไม่ค่อยจะเสื่อม แต่บางท่านก็ถูกกรรมการวัดหรือไวยาวัจกรวัดควบคุม
นัยที่สาม เงินสมภารเงินวัด เงินวัดเงินวัด นั่นคือ บางท่านเมื่อเป็นสมภาร คิดว่าเงินที่เค้าถวายส่วนตัวนั้น ก็เพื่อความสะดวกในการพัฒนาวัด ดังนั้น ท่านมักจะใช้จ่ายเฉพาะที่เกี่ยวกับวัดหรือใช้จ่ายในนามวัดเป็นสำคัญ ไม่มักจะนำไปใช้จ่ายส่วนตัวอื่นๆ ส่วนเงินของวัดนั้น ชัดเจนแล้วว่าเป็นของวัด... สมภารใดเป็นไปทำนองนี้ โดยมากวัดมีการพัฒนาได้เจริญรุ่งเรืองพอสมควร แต่บางท่านอาจมีบริวารน้อย เพราะข้อกล่าวหาว่าตระหนี่ถี่เหนียว เรื่องมาก เป็นต้น
และนัยสุดท้าย เงินวัดเงินสมภาร เงินสมภารเงินวัด นั่นคือ สมภารบางท่านผนึกตัวเองเป็นส่วนเดียวกับวัด เงินของท่านก็คือเงินวัด เงินวัดก็คือเงินของท่าน ท่านใช้จ่ายอะไรคล่องตัว บางครั้งก็แยกไม่ออกว่าเรื่องใดเป็นเรื่องส่วนตัวเรื่องใดเป็นเรื่องวัด... สมภารใดเป็นไปทำนองนี้ โดยมากมักจะเป็นผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นนั้นๆ ซึ่งบางท่านก็มีคุณธรรมสูงควรแก่การสักการบูชา บางท่านก็ยากที่จะยกมือไหว้ด้วยใจ ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของแต่ละท่าน
จากประเด็นนี้ ก็อาจแยกแยะความรวยจนระหว่างสมภารกับวัดออกไปได้อีก กล่าวคือ
ซึ่งเมื่อนำเรื่องเงินวัดเงินสมภารมาเปรียบเทียบกับวัดรวยจนสมภารจนรวยแล้ว ก็อาจจะเห็นได้ว่า่ บางครั้งก็แปรผันตรงคือเป็นไปด้วยกัน บางครั้งก็ผกผันคือแย้งกัน ซึ่งทุกประเภทนั้นหาตัวอย่างได้ไม่ยาก ถ้าจะสังเกตวัดใกล้ๆ บ้าน...
ยังมีเรื่องราวอีกเยอะที่พอจะนำมาเล่าหรือวิพากษ์วิจารณ์ได้ ก็ค่อยว่ากันต่อไป...
นม้สการพระคุณ เจ้า เป็นสมการคล้ายๆกันกับเงินมัสยิดครับ แต่ทางมัสยิดมักไม่ค่อยเป็นข่าว ทั้งๆที่สมการที่มีนัยคล้ายกันครับ
ประเด็นนี้และประเด็นอื่นๆ เคยสนทนาแลกเปลี่ยนกับศาสนิกอื่นๆ อยู่เหมือนกัน สรูปได้ว่า องค์กรทางศาสนามักจะมีอะไรหลายๆ อย่างคล้ายๆ กัน เช่น เรื่องเงินก็มีเงินบริจาคและเงินที่เกิดจากผลประโยชน์ของศาสนสถานนั้นๆ ซึ่งบางแห่งก็เหลือเฟือบางแห่งก็ขัดสน... ศาสนาสถานใหญ่มีชื่อเสียงและศาสนาสถานเล็กไร้ชื่อเสียง... ผู้นำศาสนสถานประกอบด้วยธรรมและไม่ประกอบด้วยธรรม เป็นต้น
เมื่อความแตกต่างของพื้นฐานเหล่านี้เป็นไปทำนองเดียวกัน ดังนั้น ปัญหาหลายๆ อย่างจึงมักจะเป็นไปทำนองเดียวกัน...
เจริญพร
นมัสการพระคุณเจ้าครับ
อ่านแล้วก็รู้สึก ถึงความรู้สึกของพระคุณเจ้าได้เลยครับ
เหตุแบบนี้จะไม่เกิดถ้าพระคุณเจ้าทุกท่าน อยู่ในธรรมปฏิบัติ
ดังคำที่กล่าวกันต่อมาว่า "อยากจะรู้ว่าใครดีจริงหรือไม่ ก็ลองให้มีอำนาจ หรือให้ดูแลด้านการเงิน...."
อนึ่ง พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ยโส ลทฺธา น มชฺเชยฺย บุคลได้ยศแล้วไม่พึงมัวเมา"
เจริญพร