เรื่องเล่า...ที่งดงามกับการดูแลผู้ป่วยในหอผู้ป่วยหญิง


เดือนหน้าลูกของบีก็จะลืมตาดูโลกแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีพ่อแต่ฉันคิดว่าตาและยายของเขาจะสามารถเลี้ยงดูเขาให้เติบโตได้ไม่แพ้เด็กคนอื่น ฉันนึกชื่นชมกับการแสดงออกของพ่อแม่ของบี พวกเขาพร้อมที่จะให้กำลังใจลูก ไม่เคยซ้ำเติมลูกเลย ถึงแม้จะมีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นมาในชีวิตพวกเขาก็ไม่เคยย่อท้อ ร่วมทุกข์ร่วมสุข จนสามารถฟันฝ่าอุปสรรคมาได้

   เรื่องเล่า...ของการดูแลผู้ป่วยในบทบาทหน้าที่ของพยาบาลที่ให้การปรึกษา ที่เมื่อได้อ่านทีไรก็ทำให้รู้สึกมีความสุขกับชีวิตที่เค้า ได้เลือกและแก้ไขปัญหาของเค้าด้วยตัวเอง....เพราะสุดท้ายแล้วผู้ป่วยก็คงมีความสุขที่ยั่งยืนอยู่กับทางเดินที่เลือกเองมากกว่าที่ผู้ดูแลอย่างเราจะเลือกหรือตัดสินให้                                   

                                             “ รักไม่มีคำตอบ ”

“หนูต้องการเอาเด็กออก เพราะหนูท้องไม่มีพ่อ หนูไม่ได้รักเขา แล้วเขาก็มีเมียแล้ว”            คำพูดที่ดังสะท้อนความรู้สึกของฉันตลอดเวลาที่นึกถึงหน้าของเธอ “ บี”เด็กสาวอายุ 14 ปี มารพ. ด้วยไม่ยอมกินข้าว ไม่ยอมพูดคุยกับใคร รูปร่างเล็กๆ ผิวสีน้ำผึ้ง ดวงตาดูโศกเศร้าของเธอ  ฉันเห็นใบหน้าที่บึ้งตึง  ท่าทางดูอิดโรย ทำให้ฉันคิดว่า บีน่าจะอดนอนมาหลายวัน  หลังจากพูดคุยกับบีและแม่ถึงได้รู้ว่า เมื่อ 6 เดือนก่อน บี ถูกผู้ชายข้างบ้านข่มขืน ในขณะที่พ่อ แม่และน้อง ไปงานบวชญาติอีกหมู่บ้านหนึ่ง   บีไม่ยอมบอกพ่อกับแม่เพราะกลัวจะถูกทำร้ายจากชายที่ทำกับเธอ แม่บอกว่าเห็นบีเขารูปร่างอ้วนท้วนขึ้นจากแต่ก่อน โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้องแต่ก็คิดว่าลูกอยู่ในวัยกำลังเจริญเติบโตคงอ้วนไปตามวัย  บีถูกย่ำยีซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยที่ไม่มีใครรู้  มันเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของเธอ  เธอต้องทนทุกข์ทรมานจากการกระทำอันเลวร้ายอยู่นานถึง 6 เดือน แม่ของบีเล่าให้ฟังว่า 4 วันก่อนเห็นหน้าท้องของน้องโตขึ้นอย่างผิดปกติ   จึงนึกเอะใจ  เลยเข้าไปพูดคุยกับบี  บีถึงได้ยอมรับว่าถูกข่มขืนและกำลังตั้งท้อง  พ่อกับแม่ของบีตกใจมาก หัวใจแทบสลาย หลังจากรู้เรื่องราวจากลูกสาว  แต่พยายามทำใจให้เข้มแข็ง   พากันไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ และตำรวจได้ออกหมายจับผู้ชายคนนั้น  แต่เขารู้ตัวจึงได้หลบหนีไป   แม่ของบีเล่าต่อด้วยน้ำตานองหน้า  พร้อมกับเสียงสะอื้นว่า บี เป็นเด็กดีมาก  กำลังเรียนอยู่ชั้น ม. 4 ปีนี้อายุ14 ปี เป็นเด็กขยันเรียน   ช่วยเหลืองานบ้านทุกอย่าง ไม่เคยเที่ยวเตร่  ผลการเรียนอยู่ในระดับแถวหน้าของห้อง  ปกติบีจะเป็นคน ร่าเริง พูดคุยเก่ง   แต่หลังจากวันที่พ่อกับแม่รู้เรื่อง เธอไม่ยอมพูด ไม่ยอมกินข้าว   “ถ้าหากลูกเป็นเด็กเกเรฉันจะไม่เสียใจเลยหมอ” เสียงปนสะอื้นของเธอสั่นเครือ... ต่อมาฉันได้มีโอกาสพูดคุยกับ บี เด็กน้อยที่น่าสงสาร รูปร่างเล็กๆ  สีหน้าของเธอดูไม่มีชีวิตชีวา  ดวงตาเศร้าหมอง  ไม่มีรอยยิ้มจากใบหน้าเล็กๆ ของเธอ  ขณะพูดคุย น้ำตาของเด็กหญิงก็ไหลอาบแก้ม  ทั้งๆที่เคยเห็นน้ำตาของผู้ป่วยมามากแต่ทำไมครั้งนี้  ฉันถึงรู้สึกหดหู่ใจ และสงสารบีมาก  เธอกำลังจะเป็นแม่คนโดยที่ยังใช้คำนำหน้าว่า ดญ. ทำไมเหตุการณ์อย่างนี้ต้องมาเกิดกับเด็กคนนี้ด้วยนะ ฉันคิดในใจ  หลังจากพูดคุยได้สักพักฉันได้ถามบีว่าจะทำอย่างไรต่อไป  คำตอบของบีทำให้ฉันใจหาย วาบ.... ฉันถามบีว่า ตอนนี้หนูท้องได้กี่เดือนแล้ว  บีตอบว่า 6 เดือน มันเป็นไปได้ยากมากที่จะเอาเด็กออก ฉันได้อธิบายถึงผลเสียของการเอาเด็กออกให้กับแม่และบีฟัง  บียังยืนยันคำเดิมว่าหนูจะเอาเด็กออก  พร้อมสะบัดหน้าหนีและปาดน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้ม  แม่ของเธอ บอกว่า ” ถ้าหมอไม่เอาเด็กออกให้  ฉันจะพาลูกไปเอาออกที่อื่น โลกจะได้รู้กันว่าความยุติธรรมไม่มีในโลก ”  บีนอนอยู่รพ.หลายวันจนอาการดี ขึ้นแพทย์จึงอนุญาตให้กลับบ้านได้

 อาทิตย์ต่อมาแม่พาบีมาตรวจตามนัด  ฉันรู้สึกโล่งใจที่พวกเขามาตามที่นัดไว้   แม่ของบีเล่าว่าต้องคอยอยู่เป็นเพื่อนบีตลอด ไม่กล้าทิ้งไว้คนเดียว  เพราะกลัวบีคิดมาก กลัวเขาทำร้ายตัวเอง      อยู่บ้านบีพูดคุยมากขึ้น    ครั้งนี้สีหน้าของบี ยังดูเรียบเฉย   บียังยืนยันคำเดิมว่าต้องการเอาเด็กในท้องออก ฉันกับแพทย์เจ้าของไข้จึงช่วยกันพูดจาหว่านล้อมให้ แม่และบีมองเห็นข้อเสียของการเอาเด็กออก แม่ของบีมีท่าทางลังเล เพราะกลัวลูกได้รับอันตราย   พวกเราจึงได้ช่วยกันพูดกับบีอีกครั้ง แต่เธอก็ยังไม่ยอม และพูดออกมาว่า “ถ้าไม่มีใครช่วยหนู  หนูจะเอาชีวิตตัวเองเป็นของขวัญสำหรับวันแม่ในปีนี้”   ฉันกับหมอ หันมามองหน้ากัน ฉันคิดว่า ตายแน่แล้วถ้าเกิดบีทำอย่างที่พูดจริงๆ ผลจะเป็นอย่างไร  ยังไงก็ต้องช่วยเด็กคนนี้ให้เปลี่ยนความคิดให้ได้   วันนั้นฉันขอนั่งคุยกับบีตามลำพัง  ฉันรวบรวมวิทยายุทธ์ที่มีอยู่น้อยนิดออกมาใช้  ในการทำให้บี ยอมรับกับปัญหาที่เกิดขึ้น และยอมเผชิญกับปัญหาให้ได้     ฉันได้พยายามกระตุ้นให้บี นึกถึงสิ่งดีๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต การมองเห็นคุณค่าของตัวเอง  มองหาเป้าหมายในชีวิตของการมีชีวิตอยู่ต่อไป  และการรับรู้ถึงความรักความห่วงใยของพ่อกับแม่  หลังจากพูดคุยกัน  บีได้ค้นพบว่าจริงๆแล้วตัวเองก็ยังมีค่า และพร้อมที่จะเผชิญกับปัญหาที่เกิดขึ้น  ฉันได้รับรู้ว่าบี ฝันอยากเป็นนางพยาบาล  บีบอกว่าสิ่งที่ทำให้เธออยากมีชีวิตอยู่ต่อไป คือความรัก ความเข้าใจ และการให้อภัยของพ่อกับแม่ พวกเขาเป็นกำลังใจที่ดีที่สุดในตอนนี้   ไม่เคยดุว่ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลย  ทำให้เธอรู้ว่าความรักที่ยิ่งใหญ่ไม่มีอะไรเปรียบได้เลยคือความรักของพ่อกับแม่นี่เอง ....หลังจากนั้นแม่ของบีได้พาบี มาฝากท้องที่รพ.  ฉันได้เห็นรอยยิ้มของบี  เธออยู่ในชุดคลุมท้อง ท้องของเธอโตขึ้นมาก  เธอบอกว่า ลูกในท้องเป็นเด็กผู้ชาย ตอนนี้ เธอยอมรับลูกในท้องได้แล้ว และได้ลาหยุดเรียนไว้ 1ปี ปีหน้าจะกลับไปเรียนต่อ ซึ่งทางโรงเรียนก็ไม่ขัดข้อง   ตอนนี้เรื่องของคดีตำรวจกำลังดำเนินการให้อยู่สำหรับเรื่องลูกในท้อง พ่อกับแม่จะเลี้ยงเอง เพราะอยากได้หลานผู้ชาย   ฉันรู้สึกโล่งอกอีกครั้ง คิดว่าปัญหาน่าจบลงด้วย ดี  

อีก 3 วันต่อมา แม่ของบีได้กลับมาหาฉันอีกครั้งด้วยสีหน้าไม่สบายใจ   ดูร้อนรน เธอได้เล่าให้ฟังว่า   ตอนนี้พ่อแม่ของผู้ชายที่ข่มขืนเธออยากจะได้เด็กไปเลี้ยง   ถ้าบีคลอดเมื่อไหร่เขาจะมาเอาหลานไปจาก พวกเธอ   “ฉันเครียดมากเลยหมอ จึงได้มาหาเพื่อขอรับคำปรึกษา” แม่ของบี บอก   ฉันจึงได้ปรึกษากับคนๆหนึ่งที่มีความรู้เรื่องนี้และได้ให้คำแนะนำกับเธอเรื่องหลาน เราพูดคุยกันประมาณ 1 ชั่วโมง   เธอบอกว่ารู้สึกสบายใจขึ้น   สีหน้ามีรอยยิ้ม ก่อนจากกันเธอบอกว่า บีฝากขอบคุณฉันที่ได้ช่วยเธอไว้ไม่ให้ทำอะไรบ้าๆ  ในตอนนั้น   ตอนนี้เธอสบายดี   ตั้งหน้าตั้งตารอดูหน้าลูกชาย ที่จะเกิดมา

เดือนหน้าลูกของบีก็จะลืมตาดูโลกแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีพ่อแต่ฉันคิดว่าตาและยายของเขาจะสามารถเลี้ยงดูเขาให้เติบโตได้ไม่แพ้เด็กคนอื่น  ฉันนึกชื่นชมกับการแสดงออกของพ่อแม่ของบี  พวกเขาพร้อมที่จะให้กำลังใจลูก  ไม่เคยซ้ำเติมลูกเลย   ถึงแม้จะมีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นมาในชีวิตพวกเขาก็ไม่เคยย่อท้อ  ร่วมทุกข์ร่วมสุข จนสามารถฟันฝ่าอุปสรรคมาได้  ฉันรู้สึกภูมิใจนิดๆ ที่สามารถช่วยคนให้รอดพ้นจากการคิดทำร้ายตัวเอง และมองเห็นหนทางในการแก้ไขปัญหาได้

ฉันรู้ดีว่าเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ มันบั่นทอนจิตใจของบีและทุกคนในครอบครัวมากแต่ทุกสิ่งทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดีไม่ได้ถ้าหากขาดกำลังใจ ความรัก และความห่วงใยของคนในครอบครัว ซึ่งฉันคิดว่านี่แหละคือเกราะกำบังความทุกข์ทั้งหมดจริงๆ

                      เขียนโดย   อำภาศรี ศรียศ    พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ

หมายเลขบันทึก: 314397เขียนเมื่อ 18 พฤศจิกายน 2009 14:31 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 10:49 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

เป็นกำลังใจให้พี่แอ๋ว...สร้างสรรค์ผลงานดีๆผ่านเรื่องเล่าให้คนอื่นๆได้เรียนรูร่วมกันนะคะ

เขียนดีครับ เห็นภาพ ได้อารมณ์ เข้าใจผู้ป่วยองค์รวมมาก ครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท