การใช้สติสัมปชัญญะตามรู้กายตามรู้ใจ ให้เห็นไตรลักษณ์ ว่า สังขารขันธ์ กายกับใจนั้น เป็นกองทุกข์ล้วน ๆ ไม่เที่ยง ไม่มีความเป็นตัวเป็นตน ... หรือ กายกับใจไม่ใช่ของเรานั่นเอง แต่เราก็ต้องมีเมตตา กรุณาต่อเขาอย่างที่สุด การฝึกส่วนใหญ่เป็นการไม่ให้ความสำคัญกับกิริยาจิต โดยอาศัยตัวผู้รู้ ชำเลืองระลึกรู้ดูไปเรื่อย ๆ ...โดยแต่เดิมผมเข้าใจและปฏิบัติเพียงเท่านั้น แต่ก็เคยได้อ่านได้ฟังมาว่า "พบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้" แต่ในทางปฏิบัตินั้น ผมไม่ทราบว่าทำอย่างไร จนได้รับคำชี้แนะทางสว่างจากท่านว่า จิตเดิมของเรานั้นถูกห่อหุ้มไว้ถึงสี่ชั้น ในชั้นสุดท้ายนั้นก็คือ ตัวผู้รู้ผู้ผ่องใสนี่เองเป็นตัวห่อหุ้มเอาไว้ เราต้องภาวนาฝึกออกจากตัวผู้รู้เป็นขั้นต่อไป ...
เสาร์-อาทิตย์นี้ หลังจากสอนเสร็จได้มีโอกาสไปเข้าวัดสำคัญ ๆ หลายแห่งในจังหวัดบุรีรัมย์ ตอนที่เข้าไปนมัสการเจดีย์พิพิธภัณฑ์บรรจุอัฐิธาตุหลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ ณ วัดป่าเขาน้อย ตำบลเสม็ด อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ นั้น มีบุญวาสนาได้สุนทรียเสวนาธรรมกับแม่ชีท่านหนึ่ง ตอนที่ท่านมอบหนังสือตามรอยธรรม ย้ำรอยครู หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ ให้นั้น ท่านก็ถามว่า
ได้ "ภาวนา" กันบ้างไหม ?
ผมก็ตอบกันแบบอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ในลำคอไปว่า
ภาวนามานิด ๆ หน่อย ๆ ครับ ? ไม่เคยบวช ได้แต่ฝึกตามหนังสือของพระอาจารย์ต่าง ๆ ประมาณว่า วิปัสนาในชีวิตประจำวันครับพอพูดออกไปแค่นั้น
ดูเหมือนท่านจะเห็นวาระจิตวาระใจของเรา และเหมือนจะทราบว่า พวกเราต้องรีบกลับ ท่านไม่รอช้า ที่จะเข้าสู่ประเด็นที่เราต้องการทราบทันที ท่านถามว่า
เคยศึกษาธรรมเทศนาของพระอาจารย์ปราโมทย์ หรือไม่ ?
ผมตอบท่านไปว่า
เคยฝึกตามหนังสือและฟังธรรมเทศนาของท่านมานิดหน่อยครับ
ท่านได้สรุปประเด็นเปรียบเทียบการภาวนา 2 แนวทาง ระหว่างวิธีการภาวนาตามแนวทางของพระอาจารย์ปราโมทย์ และแนวทางของพระกรรมฐานสายพระป่า (สายพระอาจารย์มั่น) ให้ฟังเป็นเบื้องต้น แรก ๆ เราก็พอเข้าใจสิ่งที่ท่านพูด เหมือนยังเดินไต่บันไดตามได้ทันอยู่ แต่พอท่านกล่าวถึงธรรมะขั้นที่สูงกว่า คราวนี้ล่ะครับ สุดยอดจริง ๆ จึงขอนำมาถอดเป็นบทเรียนไว้ดังนี้ครับ
- ตอนที่ผมเริ่มต้นฝึกตนภาวนาตามแนวทางคำสอนของพระอาจารย์ปราโมทย์ โดยการอ่านจากหนังสือของท่านและจาก MP3 เสียงธรรมเทศนาของท่าน ด้วยความที่เป็นคนดิบและหยาบมากเหลือเกินทำให้ฝึกได้ค่อนข้างช้า แต่ก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ จนมีอยู่วันหนึ่งได้ไปกราบพระอาจารย์เตี้ย ที่ท่านจำพรรษาอยู่สำนักสงฆ์ใน อ.ชุมแพ นั้น จึงเรียนสอบถามขอความรู้จากท่านว่า กระผมได้ฝึกภาวนาตาม "ดูจิต" มาระยะหนึ่งแล้ว ขอความกรุณาพระอาจารย์โปรดช่วยชี้แนะแนวปฏิบัติให้ด้วยครับ ท่านบอกว่า ก็ให้ดูจิตไปเรื่อย ๆ "ดูจนจิตมันอาย" ดูให้เกิดตาในหรือตาปัญญานั่นเอง... ในครั้งนั้นถือเป็นเหตุให้ก้าวหน้าทางธรรมอย่างมีนัยสำคัญ
- การสุนทรียเสวนาธรรมกับแม่ชีในครั้งนี้ ผมรู้สึกว่า เป็นความก้าวหน้าของการปริยัติธรรมของตนเองอีกก้าวหนึ่ง เพราะความรู้เดิมที่ผมปฏิบัติอยู่นั้น คือ การใช้สติสัมปชัญญะตามรู้กายตามรู้ใจ ให้เห็นไตรลักษณ์ ว่า สังขารขันธ์ กายกับใจนั้น เป็นกองทุกข์ล้วน ๆ ไม่เที่ยง ไม่มีความเป็นตัวเป็นตน ... หรือ กายกับใจไม่ใช่ของเรานั่นเอง แต่เราก็ต้องมีเมตตา กรุณาต่อเขาอย่างที่สุด การฝึกส่วนใหญ่เป็นการไม่ให้ความสำคัญกับกิริยาจิต โดยอาศัยตัวผู้รู้ ชำเลืองระลึกรู้ดูไปเรื่อย ๆ ...โดยแต่เดิมผมเข้าใจและปฏิบัติเพียงเท่านั้น แต่ก็เคยได้อ่านได้ฟังมาว่า "พบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้" แต่ในทางปฏิบัตินั้น ผมไม่ทราบว่าทำอย่างไร จนได้รับคำชี้แนะทางสว่างจากท่านว่า จิตเดิมของเรานั้นถูกห่อหุ้มไว้ถึงสี่ชั้น ในชั้นสุดท้ายนั้นก็คือ ตัวผู้รู้ผู้ผ่องใสนี่เองเป็นตัวห่อหุ้มเอาไว้ เราต้องภาวนาฝึกออกจากตัวผู้รู้เป็นขั้นต่อไป ...