ส่วนหนึ่งของบทความเรื่อง งานสร้างใจ
โดย พระไพศาล วิสาโล อ่านแล้วน่าจะช่วยให้คนทำงานหนัก รู้สึกเบาขึ้นเยอะ
วัดเซนแห่งแรกในอเมริกา
สร้างขึ้นที่เมืองซานฟรานซิสโกเมื่อราว ๔๐ ปีก่อน ตอนที่สร้างวัดนั้นเจ้าอาวาสคือชุนเรียว ซูซูกิต้องลงมือขนหินเอง ลูกศิษย์ซึ่งเป็นคนอเมริกันเห็นอาจารย์อายุมากแล้ว คือ ๖๐ กว่าแล้วแถมยังตัวเล็กอีกด้วย จึงระดมกันมาช่วย แต่มาช่วยขนหินได้ครึ่งวันก็เหนื่อย ส่วนอาจารย์กลับขนหินได้ทั้งวัน ลูกศิษย์แปลกใจมากจึงถามอาจารย์ว่าทำงานทั้งวันได้อย่างไร อาจารย์ตอบว่า "ก็ผมพักตลอดเวลานี่"
ลูกศิษย์ฟังแล้วก็งง เพราะเห็นกับตาว่าอาจารย์ขนหินทั้งวัน แต่สำหรับอาจารย์ชุนเรียวนั้นตลอดเวลาที่ขนหินก็ได้พักไปด้วย ไม่ได้พักกาย แต่พักใจ มีแต่กายเท่านั้นที่ขนหิน แต่ใจไม่ได้ขนด้วย จึงไม่เหนื่อยเท่าไร คนส่วนใหญ่เวลาขนหิน ไม่ได้ขนด้วยกายเท่านั้น ใจก็ขนด้วย ขนหินไปก็บ่นในใจว่าเมื่อไรจะเสร็จสักที ขนแบบนี้ย่อมเหนื่อยเร็ว
เมื่อเราทำงานเราไม่ได้เหนื่อยแต่กายอย่างเดียว แต่ใจของเราก็มักเหนื่อยด้วย เพราะใจไปยึดติดกับงานมากเกินไป เรียกว่าจิตไม่ว่าง การทำงานด้วยจิตว่างก็คือ การทำงานโดยที่ใจไม่ไปยึดติดกับผลงาน ไม่สำคัญมั่นหมายว่าจะงานจะต้องเป็นไปตามใจปรารถนา แต่คนส่วนใหญ่นั้นมักเอาความรู้สึก "ตัวกู ของกู" ไปผูกติดกับงาน คือสำคัญมั่นหมายว่านี้เป็นงานของฉัน งานนี้คือตัวฉัน ถ้างานล้มเหลว ก็รู้สึกว่าฉันล้มเหลวไปด้วย ถ้าใครมาตำหนิงาน ก็ถือว่าตำหนิตัวฉันด้วย เพราะฉะนั้นใครจะมาตำหนิฉันไม่ได้ การทำงานแบบติดยึดอย่างนี้ทำให้ใจเหนื่อยไปกับงานด้วย คนส่วนใหญ่จะรับผิดชอบงานก็ต่อเมื่อรู้สึกว่าเป็นงานของฉัน
และสิ่งที่พวกเราทุกคนทำอยู่เล่า เป็นอย่างไรกัน
เหนื่อยกาย หรือเหนื่อยใจ หรือไม่เหนื่อย
ตัวเราเองเป็นหนึ่งในคนส่วนใหญ่
หรือ
เราเป็นหนึ่งในคนส่วนน้อย
ที่ทำงาน
เพื่อสร้างจิตวิญญาณแห่งความเป็นมนุษย์
เหนื่อยยากเพียงใดยังต้องดำรงอยู่ในวิถีแห่งการงาน
ทำงานด้วยจิตว่าง วางความหนักใจลง
และลงมือปฏิบัติเหมือนท่านเจ้าอาวาสชุนเรียว
เอ.....เราจะทำได้มั้ยเนี่ย.........
แวะมาให้กำลังใจพี่สาวแสนสวยและใจดีจ้า
เหนื่อยก็พัก หนักก็วาง...ยุ่งนักก็ "ช่างหัวมัน"...555
สวัสดีจ้า
ขอบคุณกำลังใจที่มีให้เสมอมาจ้า
ชอบจังเลยคำแนะนำ.....อิ..อิ.จะเอาไปใช้ให้ครบทุกข้อเลยจ้า
พี่นกจ๋า...ดาวแนะนำให้ "ช่างหัวมัน" ไม่ได้ให้กินหัวมันนะคะ มีคนบางคนเค้าเอาไปตีความผิดๆ แล้วมากล่าวหาดาวค่ะ กระทบกระเทือนต่อจรรยาบรรณวิชาชีพนะเนี่ย...เลยต้องรีบมาอธิบาย 555
ธรรมะยามเช้าขอรับพี่นก..
มีคนแนะนำดีแล้วเนาะพี่นก
งั้นธรรมฐิตไม่ขอแนะแล้วแหละ
..แต่กลัวหมอแล้วสิ.. เกิดไปรักษาบอกว่า..ช่างหัวมันเถอะ..
ทำไงละที่นี้(๕๕๕)
สวัสดีค่ะ
เพราะความคิดเช่นนี้ จึงสมควรยกย่องคุณ Giant bird เป็นบัณฑิตแท้ค่ะ
สวัสดีค่ะ
การดูความไม่เที่ยงในขั้นที่13 (ฐานธรรม) คือย้อนดูตั้งแต่การปฏิบัติตั้งแต่ขั้นที่ 1 ขึ้นมาจนถึงขั้นที่ 12 เลยค่ะ
ดูว่าในขณะที่ปฏิบัติ (ครั้งนั้นๆ) พบความไม่เที่ยงในแต่ละขั้น ในฐานกาย เวทนา และ จิต อย่างไร
.
ส่วนการตามดูความไม่เที่ยงในฐานจิต
เพราะการปฏิบัติฐานจิตคือ
ขั้นแรก คือดูจิตเป็นคู่ๆทั้งหมด 8 คู่
ขั้นที่ 2 คือกำหนดจิตที่ปราโมทย์
ขั้นที่ 3 คือกำหนดจิตให้ตั้งมั่น
ขั้นที่ 4 คือทำจิตให้ปล่อยความยึดถือมั่นในเวทนา
.
เราจะดูความไม่เที่ยงในฐานจิต จึงตามย้อนดูค่ะ ว่าในขั้นที่ 1 ถึง 4 ของฐานจิตนั้นมีการปฏิบัติอย่างไร จะพบความไม่เที่ยงได้ที่จุดไหนบ้าง
เช่นในขั้นแรก เมื่อวานอาจพบว่าจิตถูกกลุ้มรุมด้วยความอยากซื้อรถใหม่ (ทั้งๆที่คันที่ใช้ในปัจุบันยังใช้งานได้ดีอยู่) วันนี้อาจพบว่าถูกกลุ้มรุมด้วยความคิดถึงเพื่อนที่เคยผิดใจกัน จึงเห็นความไม่เที่ยงของเหตุที่มากลุ้มรุมจิต เห็นลักษณะอาการจิตที่ถูกกลุ้มรุมด้วยเหตุต่างกัน
.
ขั้นที่ 2 ทำจิตให้ปราโมทย์ เมื่อวานอาจทำจากการวิ่งตามลมหายใจ เฝ้าดู จนสำเร็จแล้วปราโมทย์ วันนี้อาจเกิดจากนึกถึงคุณธรรมของตนจนเกิดปราโมทย์ เพราะสร้างปราโมทย์ด้วยวิธีต่างกัน ลักษณะอาการจึงต่างกัน จึงเห็นความไม่เที่ยงของเหตุที่เกิด ความไม่เที่ยงของลักษณะอาการปราโมทย์
.
ขั้นที่ 3 กำหนดจิตให้ตั้งมั่น เพราะแต่ละวันเราทำจิตให้ตั้งมั่นด้วยวิธีที่ต่างกัน เห็นเหตุที่ทำให้เกิดความตั้งมั่น และความตั้งมั่นมากน้อยของจิตไม่เท่ากัน จึงเห็นความไม่เที่ยงของการทำจิตให้ตั้งมั่น
.
ขั้นที่ 4 การทำจิตให้ปล่อย เช่นวันนี้คิดถึงเพื่อนที่เคยผิดใจกัน ยังโกรธอยู่ แสดงว่าสิ่งที่กลุ้มรุมจิตคือความพยาบาท จึงนำการให้อโหสิกรรม การแผ่เมตตา มาปลดปล่อยความพยาบาทออกจากจิต สิ่งที่นำมาปลดปล่อยจิตให้เกลี้ยง จึงไม่ใช่สิ่งเดียวกับเมื่อวานที่อยากซื้อรถใหม่ จึงเห็นความไม่เที่ยงของเหตุ วิธี ในขั้นนี้
และเมื่อปลดปล่อยไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าจิตก่อนที่จะปลดปล่อยมัวหมองอย่างไร เมื่อปลดปล่อยไปแล้ว จิตกระจ่างขึ้นอย่างไร ก็เห็นความไม่เที่ยงของจิตได้อีกเช่นกันค่ะ
.
และเพราะเห็นความไม่เที่ยงของนามรูปต่างๆอยู่เสมอ จึงได้เห็นธรรมะ 9 ตา
เมื่อเห็นถึงอตัมมยตา ก็จะค่อยๆเบื่อรูปนามค่ะ เพียงแต่ยังเบื่อไม่มากพอที่จะคลายได้ทั้งหมด เพราะวิถีชีวิตอาจยังต้องเกี่ยวข้องกับโลกอยู่ หรือการปฏิบัติยังไม่เข้มข้นพอ หรือการมองเห็นอนิจจัง ไม่ได้เห็นด้วย "ตาใน" แต่เห็นด้วยการท่องจำค่ะ
สวัสดีค่ะ
เห็นคำ "ครูใหญ่" แล้วเขินค่ะ
มีวิปัสสนาจารย์ท่านหนึ่ง ให้ความเห็นไว้ว่า ครูใหญ่ที่แท้จริงของเราคือรูปนามที่เราควรระลึกรู้อยู่เสมอนี่เองค่ะ ครูใหญ่ท่านนี้เองที่เป็นผู้สอนเราอย่างแท้จริง
ส่วนผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นครูผู้สอบอารมณ์ หรือใครๆก็ตาม เป็นเพียงครูน้อยเท่านั้น สอนเราได้เพียงนิดหน่อย แถมถ้าครูน้อยสอนผิดทาง ก็พากันเข้าพงอีกต่างหาก
.
อันที่จริง พระพุทธองค์เองก็ไม่เคยใช้คำว่าครูกับใครเลยค่ะ พระองค์บอกเพียงว่า เพราะภิกษุมีพระองค์ท่านเป็นกัลยาณมิตร จึงหลุดพ้นได้
*_- ขอใช้คำแค่ "มิตร" เท่านั้นดีกว่านะคะ
สวัสดีค่ะคุณณัฐรดา
นกรู้อยู่แล้วว่าคุณรัฐรดาต้องทักท้วงคำนี้
อิ..อิ..เพียงแต่รออยู่......ขอโทษค่ะ..เป็นกัลยาณมิตรที่ภูมิใจยิ่งแล้วค่ะ
ที่มีโอกาสได้รู้จักและเรียนรู้ จากการแบ่งปันด้วยจิตอันเผื่อแผ่ งดงามของคุณณัฐรดา
ขอบคุณค่ะ ที่ชี้แนะ
เหนื่อยนักก็ควรจะพักสักนิด แล้วค่อยคิดเดินต่อ เพื่อก่อกางทางเส้นฝัน ในวันที่สดใส นะครับ
รักษาสุขภาพครับ เท่าที่ทราบจากแม่ทางบ้านอุบลฯ ว่าแถวบ้านเราหนาวหล่ะครับ
สวัสดีค่ะบ่าวบ้านนอก
สองสามวันมานี้บ้านเราร้อนจี๋เลยล่ะค่ะ
ขอบคุณที่แวะมาค่ะ