"หนูยังไม่ใช่นักปฏิบัติภาวนา"
คำ ๆ นี้ของครูก้องอยู่ในหัวตลอดเวลา ที่ขาดสติ ซึ่งก็เป็นดังที่ท่านเอ่ยจริง ๆ ประเมินในตนเองตอนนี้
เพียงการอยู่กับลมหายใจอย่างมีสติต่อเนื่อง เพียงเท่านี้ หนูยังทำไม่ได้ ทบทวนในตอนนี้ว่าด้วยศีลอย่างหยาบ ๆ ก็พอถูก ๆ ไถ แต่ที่ละเอียดลงไป ภายในใจ ก็ยังเพ่งโทษผู้อื่น โกรธ ไม่พอใจ โศกเศร้า รำพึงรำพัน อยากได้ของ ๆ ผู้อื่น อยากโดดเด่น ไม่ถึงขนาดแย่งแฟนใคร แต่ภายในใจก็ยังสะท้อนสภาวะใจขาดความรัก โหยหาความรัก เหมือนไม่ใช่ตัวบุคคลแต่เป็นความรู้สึก ที่ไม่อิ่ม ไม่เต็ม ในความรัก พูดไม่ตรงกับใจ หรือบางทีตอนเผลอก็เอ่ยถึงผู้อื่นในด้านลบ แม้เหล้าและเครื่องดื่มมึนเมาจะไม่แตะ แต่ยังขาดสติ ประมาท ซึ่งถ้าประเมินลึก ๆ ถึงจิตถึงใจ ศีลก็ยังไม่ลงใจ ไม่สามารถน้อมเข้ามาสู่ใจได้
ว่าด้วยสมาธิในตนเอง ก็ยังกระท่อนกระแท่น ทำได้บ้างไม่ได้ บ้าง บางทีก็โดนความง่วง ความโกรธ ความอยาก ความคิดฟุ้งซ่าน ความสงสัย ฉุกกระชากลากถูออกจากสมาธิ
ว่าด้วยปัญญา เมื่อสองส่วนข้างต้น ยังไม่ถึงพร้อม ปัญญานั้น ช่างเป็นอะๆไร ที่น้อยมาก ที่ปรากฏในจิตในใจจริง ๆ ส่วนใหญ่ปัญญาที่ได้เรียนรู้โดยส่วนใหญ่เป็นเพียง ปัญญาที่เกิดจากการอ่านการฟัง จากแหนังสือ Internet ต่าง ๆ ฟังธรรมจากผู้รู้ เทปธรรมะ CD ธรรมะ หรือบางทีก็เป็นปัญญาที่ได้จากการจินตนาการเอาเอง ว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น น่าจะเป็นเช่นนี้ แทบจะไม่มีปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัติในตนเอง
ทบทวนแล้ว ก็ทำให้เข้าใจว่า สิ่งที่ครู ท่านบอกนั้น แท้จริงที่สุด ไม่มีสิ่งใดคัดค้านได้ ถามว่าเขียนเสร็จแล้วหนูท้อไหม ตอนแรกใช้สมองคิด คิดว่าต้องท้อแน่ ๆ แต่ความจริงที่ปรากฏในใจตอนนี้ ต่างไปมันสบาย ๆ รู้สึกว่ามีพลังลึก ๆ ที่จะสู้ต่อ เมื่อรู้ว่าตนเอง อยู่ในขั้นไหน ยังวิ่งไปวิ่งมา ตรงเส้นของจุดเริ่มต้น วิ่งไปทางซ้ายที วิ่งไปทางขวาที ทั้งที่จริง ๆ ต้องวิ่งไปข้างหน้า คนโง่นี่ในความเป็นจริงก็ตลกดี ปรารถนาจะไปให้ถึงเส้นชัย แต่ทำไม ไม่หันหน้าเข้าลู่วิ่งแล้วเริ่มออกวิ่งซะที ดีแต่วิ่งไปซ้ายที วิ่งไปขวาที ความจริงตอนนี้มันเป็นแบบนี้ค่ะ
ต่อไปก็เพียงเผชิญความจริง อย่างอดทน ไม่ไหว ก็ต้องไหว ในเมื่อทุกข์ทรมาร มามากแล้ว จะทุกข์อีก ก็พร้อมที่จะเผชิญ
กราบขอบพระคุณคุณครูมากค่ะ
สวัสดีค่ะ
"ภาวนา" แปลว่าทำให้เจริญ
น้องก็กำลังภาวนาอยู่แล้วนี่คะ