...
ด้ว ยวุฒิการศึกษาเพียงชั้นม.๓ นักธรรมเอก
และเปรียญธรรม ๓ ประโยค พระมหาเงื่อม อินทปัญโญ ภิกษุหนุ่มวัย ๒๖ ปี
ได้ริเริ่มทำสิ่งซึ่งต่อมาได้กลายเป็นปรากฏการณ์ครั้งสำคัญของพุทธศาสนาในปร
ะเทศไทย ในทางรูปธรรมสิ่งนั้นได้แก่สวนโมกขพลาราม
ในทางนามธรรมสิ่งนั้นคือพุทธศาสนาอย่างใหม่ที่สมสมัย
แต่มีพื้นฐานมาจากการปฏิบัติอย่างสมัยพุทธกาล
พระมหาเงื่อม อินทปัญโญ หรือที่โลกรู้จักในนามพุทธทาสภิกขุ
เป็นบุคคลสำคัญที่สุดผู้หนึ่งซึ่งได้นำพุทธศาสนาไทยออกมาสัมพันธ์เชื่อมโยงก
ับโลกสมัยใหม่ได้อย่างมีพลัง
และสามารถนำปัญญาชนที่ได้รับการศึกษาอย่างใหม่กลับไปหารากเหง้าทางภูมิปัญญา
อันมีพระบรมศาสดาเป็นแรงบันดาลใจ แม้ท่านจะมีการศึกษาตามระบบไม่มากนัก
แต่ก็รู้ลึกในศาสตร์สมัยใหม่ไม่ว่าวิทยาศาสตร์หรือปรัชญา
จนไม่เพียงเห็นจุดอ่อนของศาสตร์เหล่านั้น
หากยังสามารถนำศาสตร์เหล่านั้นมาใช้อธิบายพุทธศาสนาได้อย่างจับใจปัญญาชน
ในอีกด้านหนึ่งแม้ท่านมิใช่เปรียญเอก (แถมยังสอบตกประโยค ๔ ด้วยซ้ำ)
แต่ก็เชี่ยวชาญเจนจัดในพระไตรปิฎก และรู้ซึ้งถึงคัมภีร์อรรถกถา
จนสามารถเข้าถึงแก่นพุทธศาสน์
และนำมาอธิบายให้คนร่วมสมัยได้อย่างถึงใจชนิดที่กระเทือนไปถึง “ตัวกู
ของกู”
อีกทั้งยังสามารถวิพากษ์สังคมร่วมสมัยและเสริมเติมศาสตร์สมัยใหม่ให้มีความล
ุ่มลึกมากขึ้น
ไม่เพียงศาสตร์สมัยใหม่และภูมิปัญญาอย่างเก่าเท่านั้น
ที่ท่านพุทธทาสนำมาเชื่อมโยงกันได้อย่างมีความหมาย
หากท่านยังเป็นสะพานเชื่อมสิ่งที่ดูเหมือนอยู่คนละฝั่งฟาก
ให้มาเสริมเติมกัน ปริยัติและปฏิบัติ
ซึ่งถูกแยกจากกันมาช้านานตามอิทธิพลของพุทธศาสนาแบบลังกา
จนแบ่งเป็นคันถธุระและวิปัสสนาธุระ แต่ที่สวนโมกขพลารามนั้น
ปริยัติได้ประสานเป็นหนึ่งเดียวปฏิบัติ ในขณะที่ใช้ชีวิตอย่างพระป่า
เจริญสมาธิภาวนาท่ามกลางธรรมชาติ รวมทั้งอยู่อย่างเรียบง่าย คือ
“
ฉันข้าวจานแมว อาบน้ำในคู นอนกุฏิเล้าหมู ฟังยุงร้องเพลง”
พระเณรที่นั่นก็ศึกษาปริยัติธรรม ด้วยการค้นคว้าจากพระไตรปิฎก
และฟังคำบรรยายจากท่านพุทธทาสภิกขุไปด้วย
ใ นทำนองเดียวกัน เมื่อท่านและน้องชายคือนายธรรมทาส พานิช ออกหนังสือ
พุทธสาสนา สิ่งที่ต้องมีควบคู่กันโดยตลอดคือ ภาคพระไตรปิฎก(แปล)
และภาคปฏิบัติธรรม จะว่าไปแล้วท่านพุทธทาสภิกขุ
ก็เป็นผลผลิตของการศึกษาปริยัติอย่างจริงจังและการปฏิบัติอย่างเข้มข้น
ในขณะที่ท่านหลีกเร้นปฏิบัติในป่า
ก็ศึกษาพระไตรปิฎกอย่างเอาจริงเอาจัง จนสามารถเขียน ตามรอยพระอรหันต์
ออกมาในปีแรกที่ตั้งสวนโมกข์ และไม่กี่ปีต่อมาก็ตามมาด้วย
พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ และ อริยสัจจากพระโอษฐ์
ในด้านปริยัติธรรมนั้น
ท่านพุทธทาสภิกขุไม่ได้จำกัดการศึกษาแต่ในแวดวงของเถรวาทเท่านั้น
หากยังขยายพรมแดนแห่งความรู้ของท่านไปยังแวดวงมหายานด้วย
โดยเฉพาะนิกายเซน
จนสามารถนำเอาคำสอนของเซนมาเป็นสื่อเพื่อนำผู้คนให้เข้าถึงหัวใจของพุทธศาสน
า นอกจากท่านจะลงมือแปล สูตรของเว่ยหล่าง และคำสอนของฮวงโป เองแล้ว
ยังเอานิทานเซนและสำนวนเซนมาใช้เพื่อกระตุ้นคนให้ฉุกคิด เช่น
“
จิตว่างมีได้ในกายวุ่น” หรือ “
แม่น้ำคด น้ำไม่คด” หรือ”
ฝนอิฐเป็นกระจกเงา” และที่แพร่หลายคือนิทานเด็กตามหาวัว
ไม่เพียงเท่านั้นคำสอนฝ่ายวัชรยาน ท่านก็นำมาเผยแพร่ด้วย
ที่รู้จักกันดีคือ ภาพยักษ์แสดงปฏิจจสมุปบาท
กล่าวได้ว่าท่านเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการเชื่อมพุทธศาสนาแบบเถรว
าทและมหายานให้เข้ามาใกล้กันมากขึ้น
ในอีกด้านหนึ่ง
ท่านพุทธทาสภิกขุได้ขยายพรมแดนแห่งการปฏิบัติธรรมไปยังชีวิตประจำวัน
จนเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานด้วย ในทัศนะของท่าน
การปฏิบัติธรรมมิได้หมายถึงการหลีกเร้นเก็บตัวอยู่คนเดียวในป่า
หรือนั่งหลับตาในห้องเท่านั้น
หากเรายังสามารถปฏิบัติธรรมได้จากการทำงาน ด้วยเหตุนี้ท่านจึงเน้นว่า
“
การทำงานคือการปฏิบัติธรรม”
ในขณะที่คนทั่วไปทำงานเพื่อหวังความสำเร็จหรือมุ่งให้เสร็จไว ๆ
ท่านกลับสอนให้ทำงานอย่างมีสติ อยู่กับปัจจุบัน
และไม่ยึดติดกับความสำเร็จ ท่านเคยเปรียบกิเลสเหมือนกับเสือ
ส่วนการทำงานเหมือนกับการแหย่เสือ ยิ่งเสือถูกแหย่
เราก็ยิ่งรู้จักฤทธิ์ของมัน และเห็นจุดอ่อนของมัน
ทำให้สามารถปราบมันได้ด้วย ถ้าไม่ทำงาน เราก็ไม่รู้จักเสือ
ดังนันจึงไม่รู้วิธีปราบและเอาชนะมันได้
เมื่อการทำงานกับการปฏิบัติ ธรรมเป็นเรื่องเดียวกัน “โลก” กับ
“ธรรม”ก็มิได้แยกจากกันอีกต่อไป ชาวพุทธทั่วไปนั้นมักเห็นว่า “โลก”
เป็นเรื่องของคฤหัสถ์ ส่วน “ธรรม”เป็นเรื่องของพระ ใครที่เป็นคฤหัสถ์
ก็หวังความสำเร็จทางโลก ส่วนพระก็ปฏิบัติธรรมเพื่อพ้นทุกข์
แต่ท่านพุทธทาสภิกขุเห็นว่า แม้แต่คฤหัสถ์
ก็ควรให้ความสำคัญกับการปฏิบัติธรรมหรือบำเพ็ญทางจิตด้วย
เพราะชีวิตทางโลกนั้นเต็มไปด้วยความเร่าร้อนและวุ่นวาย
หากไม่รู้จักฝึกจิตให้สงบเย็น ก็จะเต็มไปด้วยความทุกข์
ด้วยเหตุนี้ในขณะที่ท่านชักชวนพระในสวนโมกข์ให้ออกจากกุฏิมาทำงานแบกหามและก
่อสร้างอยู่เนือง ๆ นั้น ท่านก็พยายามแนะนำคฤหัสถ์ให้รู้จักทำงานด้วย
“
จิตว่าง”
คือว่างจากกิเลสและความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ดังท่านได้ย้ำว่า “จะนอน
จะกิน จะทำงาน จะทำอะไรก็ได้ด้วยจิตที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น ด้วย
“
ตัวกู-ของกู” แล้วก็(จะ)ไม่มีความทุกข์ “
ในระดับบุคคล ฉันใด ในระดับสังคม ก็ฉันนั้น
จึงไม่แปลกที่ท่านจะเรียกร้องให้ การเมือง เศรษฐกิจ และการพัฒนา
มีธรรมะเป็นพื้นฐาน ธรรมะกับการเมือง
เป็นงานบรรยายของท่านอีกชิ้นหนึ่งที่ย๋ำว่า “โลก” กับ”ธรรม”
ต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน
มองให้ลึกลงไป เมื่อ “
โลก” กับ
“
ธรรม”เป็นหนึ่งเดียวกัน สิ่งที่เรียกว่า
“
โลกิยธรรม” กับ “
โลกุตตรธรรม” ก็ไม่แยกจากกันอีกต่อไป
การมีชีวิตอยู่ในโลก กับการอยู่เหนือโลก สามารถดำเนินควบคู่กันไปได้
คฤหัสถ์สามารถดำเนินชีวิตอย่างคนปกติ แต่ใจนั้นเป็นอิสระจากความทุกข์
ไม่เป็นทาสของโลกธรรม หรือสยบมัวเมาในวัตถุ
แม้จะประสบความพลัดพรากสูญเสีย จิตใจก็ไม่หวั่นไหว
เพราะรู้เท่าทันในธรรมดาโลก
สภาวะเช่นนั้นคือความสงบเย็นที่เรียกว่านิพพานนั่นเอง ท่านเคยกล่าวว่า
“
ฆ ราวาสธรรม มิใช่สำหรับให้ฆราวาสได้จมอยู่ในโลก
หากแต่สำหรับให้ฆราวาสนั้น
ได้อาศัยยกตัวเองขึ้นมาเสียจากปลักของฆราวาส พ้นทุกข์ เป็นโลกุตร
เป็นนิพพานในที่สุด”
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เราทั้งหลายสามารถเข้าถึงนิพพานได้ในชีวิตนี้
มิต้องรอถึงชาติหน้า
เป็นเวลาช้านานที่นิพพานถูกมองว่าเป็นเรื่องไกลโพ้น
ส่วนโลกุตตรธรรมเป็นเรื่องของคนที่ต้องสละโลก
แต่ท่านพุทธทาสภิกขุได้นำโลกุตตรธรรมและนิพพานกลับคืนสู่โลกนี้และชีวิตนี้
จริงอยู่โลกนี้ชีวิตนี้เต็มไปด้วยความเร่าร้อนและเปลวกิเลส
แต่ใช่หรือไม่ว่า “
ความดับของไฟ หาพบได้ที่ไฟ ความดับของทุกข์
หาพบได้ที่ความทุกข์ นิพพาน(จึง)หาพบได้ที่วัฏสงสาร”
ท่านพุทธทาสภิกขุได้ทำให้เราตระหนักว่า
วัฏสงสารกับนิพพานนั้นหาได้แยกจากกันไม่
เพราะในวัฏสงสารมีนิพพานที่รอการค้นพบจากเรา ไม่ว่า “
นิพพานชั่วขณะ”
หรือนิพพานที่เป็นความหลุดพ้นสิ้นเชิงก็ตาม
ใ นโลกที่นิยมแบ่งสิ่งต่าง ๆ ออกเป็นขั้ว
ท่านพุทธทาสภิกขุได้ประสานขั้วเหล่านั้นให้ประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน
ผลพวงอย่างหนึ่งที่ตามมาก็คือ การที่ผู้คนจำนวนไม่น้อยได้ค้นพบว่า
“
พุทธะ” นั้นหาได้อยู่นอกตัวไม่
หากอยู่กลางใจนี้เอง ถึงที่สุดแล้วท่านได้นำเรากลับมารู้จัก
“พุทธะ”ภายใน ซึ่งสามารถทำให้เราทุกคนเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
หรือ “พุทโธ”ได้ สมกับที่พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า “
อริยโลกุตตรธรรมเป็นทรัพย์ประจำตัวของมนุษย์ทุกคน”
ท
่านพุทธทาสภิกขุเป็นปราชญ์ที่มิเพียงฟื้นฟูพุทธศาสนาไทยให้กลับมามีความรุ่ม
รวย ลุ่มลึก และมีความหมายกับสังคมร่วมสมัยเท่านั้น
หากยังทำให้ความเป็นมนุษย์ของเรากลับฟื้นคืนเต็มขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ในโลกที่มองมนุษย์เป็นเพียงสัตว์เศรษฐกิจที่เห็นแก่ตัว
หรือเป็นแค่เครื่องจักรมีชีวิตที่กำหนดโดยยีน
การเข้าถึงศักยภาพของตนเองอย่างลึกซึ้งเช่นนี้เป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการกอบกู้
ความเป็นมนุษย์ของเราคืนมาจากการปล้นสะดมของโลกวัตถุนิยม
ในวาระ ๑๐๐ ปีแห่งชาตกาลของท่านพุทธทาสภิกขุ
มีหลายสิ่งที่น่าจดจำเกี่ยวกับท่านผู้เป็นปราชญ์ระดับโลก
แต่สิ่งหนึ่งที่ลืมไม่ได้ก็คือ คำสอนของท่านที่บอกให้เรารู้ว่า
เราคือใคร และมีศักยภาพเพียงใดบ้าง
พระไพศาล วิสาโล
http://www.budnet.info/webboard/view.php?category=textb&wb_id=132