ทุกวันนี้ มีนโยบายใหม่ ๆ ออกมา มาตรการใหม่ ๆ ออกมา เพื่อให้ได้ผลลัพท์ที่พึงปราถนา
แต่สิ่งที่แปลกก็คือ ดูเหมือนเราจะไม่ได้มองเห็นทั้งสามสิ่งนี้ผนึกกันเป็นก้อนเดียวกัน ตรงกันข้าม ดูเหมือนองค์สามนี้ชี้กันไปคนละทิศคนละทาง
ลองกลับมาตั้งต้นที่ศูนย์ ไตรตรองดูความเกี่ยวโยงของทั้งสามส่วน
สมมติว่าเราตั้งต้นด้วยการอยากทำให้น้ำฝนที่ตกหนักลงมา ไหลไปลงแอ่งน้ำ
ภาพของน้ำเต็มแอ่งก็คือผลลัพท์
นโยบายคือการที่น้ำฝนต้องมุ่งหน้าไปสู่แอ่ง
มาตรการล่ะ ? ก็ต้องเป็นการกระทำบางอย่างที่ทำให้น้ำฝนไหลไป ในที่นี้ก็คือการขุดดินให้เป็นคู ทุกคูลงไปบรรจบที่แอ่ง
มีตัวอย่างทางทฤษฎีของระบบที่เป็นอยู่ เช่น ตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับแรก ๆ รัฐมุ่งกระตุ้นให้เกิดการลงทุน จึงออกกฎหมายส่งเสริมให้มีการลงทุนเช่น BOI การไม่เก็บภาษีกำไรจากการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ การทำให้ผู้ถือหุ้นได้แรงจูงใจเต็มเม็ดเต็มหน่วยด้วยการส่งต่อกำไรก่อนหักภาษีไปให้ผู้ถือหุ้น (ในรูปปันผลทันทีบวกเครดิตภาษีในปีถัดไป) ซึ่ง "นโยบาย-มาตรการ-ผลลัพท์" สอดคล้องไปทางเดียวกันค่อนข้างชัด ซึ่งอาจจะชัดกว่าการทำโรดโชว์ด้วยซ้ำไป เพียงแต่สิ่งเหล่านี้มองไกล ๆ มองไม่เห็น จึงต้องโรดโชว์ให้คนไกลมาดูเห็นกันชัดตาขึ้น ก็ยังถือว่าโรดโชว์เป็นมาตรการเสริมที่ยังไปกันได้อยู่กับส่วน"ไตรภาคี"เดิม
แต่ช่วงหลัง ๆ เริ่มรู้สึกตัวเองสับสน เมื่อได้ยินประโยคทำนองนี้
"เราอยากให้งานวิจัยมีคุณภาพสูง และเราก็กำหนดนโยบายว่าต้องตีพิมพ์บ่อย"
"เราอยากให้ทำวิจัยมีความเป็นสหวิทยาการ(แบบทำหลายคน) เรากำหนดว่าถ้าจะประเมินงานวิจัย ผู้ถูกวิจัยต้องมีสัดส่วนในงานวิจัยเกินครึ่ง"
ดูเผิน ๆ เป็น "ทวินโยบาย" แต่ผมกลับรู้สึกเอาเองว่าอันนึงเป็นนโยบาย อีกอันนึงเป็นมาตรการ ที่ชวนให้เห็นภาพคล้ายกับการที่เราอยากจะให้น้ำไหลลงแอ่ง ก็ใช้วิธีติดป้ายเชิญชวนแบบโองการเชิญน้ำ... "เชอญเถิดน้ำเชอญท่าน ลงแอ่งไซร้ เชอญเอย น้ำมา" อะไรประมาณนั้น
ถ้าคิดว่าเฮี้ยน ก็ท่องไปเถอะครับ ไม่เกิดอะไรขึ้นหรอก
ไม่มีความเห็น