เมื่อต้องเผชิญลมพายุแห่งชีวิต (อีกครั้ง)


ไตรภาคีฯ ต้องเดินหน้า เพราะพิสูจน์แล้วว่า ชุมชนจะพัฒนาสุขภาพกันเองได้อย่างยั่งยืน ด้วยพื้นที่แห่งโอกาสของเราเอง

     “ชายขอบ” หายไปไหน เป็นรอยความเห็นที่หลาย ๆ ท่านได้ทิ้งกันไว้ในหลาย ๆ บันทึก ทุกครั้งที่อ่านเจอ รู้สึกมีคุณค่าและเป็นกำลังใจยิ่งสำหรับคนตัวเล็ก ๆ ดำ ๆ อย่าง “ชายขอบ” นามของผมนี้มีที่มาที่ไปเพื่อให้นึกถึงกำพืดตนเอง และให้นึกถึง “คนชายขอบ” ของสังคมอีกหลายร้อย หลายพัน หลายหมื่น หรืออาจจะอีกหลายแสน แม้แต่เป็นล้านก็ได้ หากได้ใช้ประเด็นต่างกันมาจับว่า “คนชายขอบ” เป็นเยี่ยงใด คนชายขอบในความหมายของผมคือ ขอบ ๆ ริม ๆ ของโอกาสต่าง ๆ ตามสิทธิที่พึงมีพึงได้ ในความทัดเทียมกัน หาใช่เพื่อความเท่ากันไม่ ฉะนั้นหากเมื่อคนชายขอบคนใดสามารถหลุดเข้าไปได้แล้วในบางสถานการณ์ของโอกาส คนชายขอบคนนั้นน่าจะเข้าใจและช่วยกันดึงให้คนชายขอบอื่น ๆ ได้มีพื้นที่สำหรับยืนบ้างในโอกาสนั้น ๆ หากเมื่อได้ช่วยกันดึงแล้ว วันหนึ่งความเท่าเทียมกันจะไม่ใช่สิ่งที่ร้องหาอีกต่อไป เน้นย้ำว่าความพยายามสู่ความ “เท่าเทียม” กันนั้นมีความเป็นไปได้จริง ไม่ใช่การเสวงหาความ “เท่ากัน” ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย

     ความพยายามดังข้างต้นใช่ว่าจะปูด้วยพรมอย่างดี แล้วโรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป ผู้คนมากหน้าหลายตาที่สามารถเข้าไปยืนในพื้นที่แห่งโอกาสนั้นได้แล้ว ย่อมรู้สึกอึดอัด รู้สึกเหมือนถูกเบียดแย่ง หรืออาจจะมองผู้มาใหม่แบบแปลกแยก แถมผู้มาใหม่ก็ได้หาพินอบพิเทา เอาใจ ผู้อยู่เก่าไม่ หรือไม่แม้จะสนใจให้เกินค่าความเป็นคนด้วยกัน แต่กลับส่งสายตามองไปยังพี่ ๆ น้อง ๆ คนชายขอบ พร้อม ๆ กับยื่นมือ ยื่นรยางค์ออกไปให้จับฉวย ออกแรงดึงเพื่อรั้งให้เข้ามาบ้างให้ได้ เพื่ออะไรก็หวังเพื่อจะได้ช่วยกันยื่นรยางค์ที่ตนมีออกไปอีกบ้าง ไม่ช้าไม่นาน “คนชายขอบ” ก็จะได้มีพื้นที่ยืนขึ้นบ้างในสังคมแห่งโอกาส แต่ก็มีมากมายเช่นกันที่เมื่อยึดที่ยืนได้แล้ว ก็กลัวจะถูกผลักออกไป และได้เลือกที่จะไม่ทำตามที่ควรจะได้ทำในฐานะความจริงแห่งตัวตนว่าเป็นคนชายขอบมาก่อน

     พื้นที่แห่งโอกาสมักจะมีลมพัดหวนพอที่จะเย็นตัว สบายใจ นาน ๆ ครั้งก็มีบ้างเหมือนกันที่ก่อตัวขึ้นเป็นพายุพัดหมุนดูดเอาคนชายขอบที่หลุดลอดเข้ามา เพื่อจะพาไปทิ้งยังที่เก่าที่เราเคยอยู่ แต่หลายต่อหลายครั้งที่ผ่านมาไม่สำเร็จ ดูดไปได้ หมุนวนให้พอเวียนหัว ก็กลับมาวางที่เดิมอีกเสมอ ครั้งนี้พายุเริ่มก่อตัวมาเนิ่นนาน ลูกเล็ก ๆ สลายไป แต่ไม่ไปไหนกลับรวมกันเป็นลูกใหญ่ และยิ่งใหญ่ขึ้น ดีนะที่รับรู้อยู่ตลอดเวลา จึงได้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์อยู่ได้เสมอ หากแต่ลูกใหญ่ในวันพรุ่ง จะเป็นลูกเดียวที่ไม่ทราบแน่ชัดว่าจะพัดเอาแรงขนาดไหน ตอนนี้ก็พร้อมแล้วที่จะทำตัวลู่ลมไป ให้พัดผ่าน แต่จะไม่ยอมสลายตัวตนตามลมพายุแห่งชีวิต ธรรมชาติสอนให้ต้นไม้ริดตนเองเมื่อต้องเผชิญ สิ่งที่ยังต้องคงอยู่คือต้นและราก หากเมื่อพายุลมสงบ ฟ้าใส ค่อย ๆ ผลิใบแตกยอดต่อไป วันพรุ่งจึงต้องผ่านให้ได้ เพื่อแตกยอดผลิใบต่อไป

     รากครับ ดินครับ พรุ่งนี้จงช่วยกันอย่างเข้มแข็งเพื่อพยุงต้นไว้ให้ได้นะครับ หากแต่อยากขอโทษใบและกิ่งที่ต้องสลัดทิ้ง เพื่อทำตัวให้ลู่ลม แต่จะทิ้งเมื่อประเมินแล้วว่าจำเป็น สัญญาว่าจะต้านไม่ตาม เพราะเชื่อว่าลมพายุเขาก็ต้องทำตามหน้าที่เขาที่เป็นหน้าที่ชีวิตของพายุ จะทำไงได้ ต่างคนต่างทำหน้าที่ในมุมมองต่อหน้าที่ที่แตกต่างกัน และสัญญาว่าทันทีที่ลมพายุชีวิตสงบแล้ว จะเร่งแตกยอดผลิใบใหม่ให้ทันการณ์ ขอโทษนะ! หากจะต้องทำร้ายกันบ้าง ก็เพื่อป่าแห่งโอกาสจะได้สมบูรณ์ต่อไป ขอให้เชื่อกัน ไว้ใจกัน

     ต้องผ่านไปจนได้เหมือนที่เคย ๆ ผ่าน ยอมรับว่าลมพายุแห่งชีวิตในครั้งนี้สาหัสนัก แต่จะไม่ผ่านได้อย่างไร ในเมื่อผ่านมาได้ตลอด และครั้งนี้มีต้นทุนแห่งโอกาสสะสมอยู่มากทีเดียว ความดีที่ทำให้ผืนป่าเขียวชอุ่มมาตลอดคงช่วยหนุนนำให้ผ่านไปได้ในวันรุ่ง...ดังเช่นวันวานที่ผ่านมา ไตรภาคีฯ ต้องเดินหน้า เพราะพิสูจน์แล้วว่า ชุมชนจะพัฒนาสุขภาพกันเองได้อย่างยั่งยืน ด้วยพื้นที่แห่งโอกาสของเราเอง

หมายเลขบันทึก: 30915เขียนเมื่อ 25 พฤษภาคม 2006 23:35 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มีนาคม 2015 08:31 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (25)

ขอบคุณ...ในกำลังใจที่ตนมีให้ตน..เสมอ..

พายุไม่เคยอยู่กับเรานาน

แสงสว่าง...ก็ใช่จะสว่าง...ตลอด

ความมืดก็ยังคือความมืด...

ชีวิตก็คือชีวิต...

แม้บางอย่าง...สูญสลาย..

หากแต่ตำนาน...อุดมการณ์..ยังกึกก้องให้..."คน"...รับรู้

คือกำลังใจ...ที่ไม่มีน้อยลง...

ให้คน..มนุษย์...และชีวิต

เพื่อเดินต่อ...บนเส้นทาง...แห่งความดีที่มุ่งมั่น...

 

เป็นกำลังใจให้ด้วยคนค่ะ ไม่ว่าเรื่องอะไร คุณชายขอบยังมีลมหายใจและจิตวิญญาณ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราก็ยังมี"โอกาส" ไม่เหมือนคนแสนดีบางคนเช่น คุณครูจูหลิง ผู้ซึ่งไม่มีใครสามารถสร้าง"โอกาส" ให้เธอได้ทำสิ่งที่เธอมุ่งหวังเพื่อสังคมและบ้านเมืองอีกแล้ว นอกจากปาฎิหารย์เท่านั้น

     ขอบคุณ Dr.Ka-poom ที่แวะเวียนเข้ามาเติมเต็มให้เสมอ ทั้งในวงวิชาการ การเรียนรู้ และจิตวิญญาณ

     ขอบคุณสำหรับพี่โอ๋ครับ ยอมรับเหตุการณ์ของ "คุณครูจูหลิง" ทำให้ผมเขียนบันทึกไม่ออก ขาดพลัง เพราะมองว่าทำไมนะคนเราไม่เลือกให้แรงใจกันตั้งแต่ตอนไม่เกิดความร้ายแรงขึ้น สังคมจะได้สงบสุข "คุณครูจูหลิง" น่าจะเป็นบทเรียนสำคัญ เหมือนหลาย ๆ ท่านที่ประสบเคราะห์กรรมในเหตุการณ์ความไม่สงบสำหรับการปรองดองในสังคมนี้

     สำหรับ "คุณครูจูหลิง" ทางทีมงานเครือข่ายไตรภาคีฯ กำลังคิดกันและตัดสินใจว่าจะต้องทำอะไรร่วมกันเพื่อให้กำลังใจ ขอภารกิจการประชุมเพื่อรวมพลคนพิการ เป็น สภาคนพิการทุกประเภทจังหวัดพัทลุง ผ่านไปได้ในวันที่ 30 พ.ค.49 นี้ ก็จะลงมือครับ ที่ต้องรอไปอีกนิดเพราะหน้าที่ชีวิตครับ ต้องทำตรงนี้ก่อน คนพิการอีกหลายท่านกำลังรอให้เกิดเวทีเพื่อสภาคนพิการทุกประเภทขึ้น เป็นการกำหนดแผนไว้ล่วงหน้า และต้องเตรียมในหลาย ๆ ส่วนทีเดียว

     ผมคอยแต่ให้แรงใจไปยัง "คุณครูจูหลิง" และคณะผู้ดูแล ผ่านบันทึกที่คนอื่นเขียน บอกตรง ๆ ว่าเขียนไม่ออกเลยครับ เศร้าเสียจนไม่คิดว่ามีขึ้นได้ในโลกนี้สำหรับเหตุการณ์เช่นนี้ เชื่อว่าความดีที่คุณครูทำไว้ อีกทั้งพลังภาวนาของเราทุกคน จะต้องส่งผลเป็นปาฏิหารย์ให้เกิดกับ "คุณครูจูหลิง" ครับ เชื่อเช่นนั้นครับ

  • คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้หรอกครับ
ตามมาส่งกำลังใจให้ค่ะ "ที่นี่"

     10.00 น. ผมกำลังเดินเข้าไปในพายุที่ว่า (ห้องประชุม) แต่ก็รู้สึกสบายใจจากกำลังใจที่ได้รับ ขอบคุณทุกท่านครับ แน่นอนจะเดินกลับออกมาอย่างสวยสดงดงาม ด้วยปัญญาเท่าที่มีอยู่

เป็นกำลังใจให้อีกคนครับ

ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจ

         "ก้าวไปเถิด    เพื่อนยา   ผู้กล้าแกร่ง

       จงก้าวไป         ด้วยแรง    แข็งขยัน

       ทางข้างหน้า    แม้พงป่า   หรือผาชัน

        จงฝ่าฟัน        จนกว่า     จะได้ชัย.."

      ผมจำกลอนบทนี้จนขึ้นใจมาเกือบ 20 ปี เพื่อนครูอาสาท่านหนึ่งเขียนติดไว้บนกระดานดำ ไม่รู้ว่าใครแต่ง แต่เมื่อได้นึกทวน..ทำให้มีกำลังใจ  ขอมอบไว้เป็นกำลังใจสำหรับคุณชายขอบและคนชายขอบทุกๆ ท่านต่อไปนะครับ

นิ่ง   เย็นยะเยียบ

ไม่เปิดเผย ซ่อนเร้น

นอนบนกองฟืน  ชิมดีสัตว์

พายุ  ลมฝนสงบ  ธัญพืชผลิใบ 

พี่ขจิต ผู้พร้อมไปด้วยมิตภาพ

     ขอบคุณพี่มากครับ สำหรับกำลังใจที่มีให้ไม่เสื่อมคลาย

พี่เม่ย

     ตามไปอ่านบันทึกที่พี่เขียนและมอบให้ แล้วตั้งแต่ตอนนั้น ขอบคุณพี่สาวที่แสนดีมากครับ

พี่ธวัช และ คุณแวะมา

     ขอบคุณครับ

พี่ธวัช และ คุณแวะมา

     ขอบคุณครับ

คุณสิงห์ป่าสัก... ผมได้นำกลอนนี้ไปใช้แล้วนะครับ ขอบคุณมากสำหรับสิ่งดี ๆ ที่มีให้เสมอ ขอบคุณในจิตไมตรีที่มีเสมอ
    แวะมา...มอบชาร้อน  แสนอร่อย  (จากแม่ขรี) ถ้วยนี้  แทนกำลังใจ   
   
    แม้ว่าจะพบอุปสรรค..แต่ มั่นใจว่า คนชายขอบ และคุณชายขอบ  จะยังคงความดี  คิดดี  ทำดี  ต่อไป   เหมือนชาถ้วยนี้     แม้จะชงจากร้านเล็กๆ  ดู "บ้านๆ"  แต่รส "ไม่ธรรมดา" เลย  
ปิติเกษมค่ะที่ได้อ่าน.. มาด้วยรักนัก
บัวกนกผลิบานวิมานสรวง หอมดั่งดวงทิพยชาติประดับสวรรค์ กนกพงศ์ ฝากนามเป็นนิรันดร์ แห่งหุบฝันฝนโปรยไพรในใจดวง เป็นตำนานเลือดโนราห์คนปักษ์ใต้ เป็นดั่งสายธาราแห่งเขาหลวง เป็นไม้งามไม้ไพรกุดั่นดวง ประดับสรวงฝากมาลาคำย้ำนิรันดร์ นิทราให้สนิทสถิตทอด ดาวโอบกอดเดือนเห่กล่อมนะจอมขวัญ ให้พรายแสงศรีกวีรักจักสืบทอดชั่วกัปป์กัลป์ ดั่งรอยธรรมรอยทองแห่งผองชน อวยพรให้*แผ่นดินเรา*ยังคงอยู่ ให้ร่มรัตน์ฉัตรคู่เคียงเวหน ให้*สายน้ำรักนิรันดร์*จากดินเดียวกันเกื้อกมล หวังชีพชนม์คนไทใจคงทอง... โปรยพิกุลหอมหอมดวงดอกไม้หวาน เหนือสายธารหุบเขาหลวงพร้อมลอยล่อง วิญญาณกวีแก้วรัตนโกสินทร์สู่แดนฝันอันเรืองรอง โลกแซ่ซร้องสดุดี..เป็นที่รัก...แห่งผืนดิน..!
บทกวีบทบนนั้นได้รจนาพลีไว้แด่*คนดี..กวีแก้ว* แห่งผืนดินแม่ค่ะคนดี เลือกมาเพียงเสี้ยวนึงค่ะ อ่านแล้วลบออกนะ ............... ส่วนเรื่องล่างนี้ยาวจัดค่ะ ทนอ่านนิ๊ดนะ *ธรณีกรรแสง* แล้ว.. เธอ...ก็กลับมา กับวันที่...ฟ้าทอแดดสวย กับสายลมระรวยระริน แห่งวันเริ่มต้นวสันตฤดู กับพายุพร่างพาสายฝนมาผสานผสมกับกลิ่นกายเธอ ที่ราวกับแม่ดวงดอกไม้ไพรอันแสนสวยใสฉ่ำเย็น.. ผม....ยืนนิ่งงันฝันงามเงียบ รอเธอ อยู่ณ..ที่ตรงนี้ ที่กระท่อมริมทะเลฝัน ที่เคยเป็นดั่งฉากรักนิรันดร์ อันแสนดายเดียวเหว่ว้า เฉกเช่นอดีตรักลับลาแรมร้างพรากจากแห่งสองเรา ที่ซ่อนซุกสุขซึ้งเหงาเปลี่ยว ในเงาใจกันและกันมานานวัน มานานปี มาจนถึงวันนี้นาทีนี้ 15 ปีเข้าไปแล้วที่รอคอย และ... ที่เธอเคยรจนาบทกวีบทหนึ่ง อย่างแสนซึ้งใจเอาไว้ว่า กระท่อมไพรบนเนินผาท้าสรวงสวรรค์ มีทะเลฝันตรงหน้าให้คว้าไขว่ มีดาวสวยทรายขาวหาดยาวไกล มีน้ำใจมีความรักมีดวงตะวัน.... ยามเช้านอนดูดวงดอกไม้มาทายทัก หวังยอดรักคืนอ้อมใจในอ้อมฝัน ลมทะเลเห่ครวญรำพึงรำพัน ดุจสวรรค์บนดินถิ่นรักเรา รอเรือหาปลาลำน้อยค่อยคืนฝั่ง ฝากใจหวังพรานทะเลคงไม่เหงา ใครบางคนเฝ้ารอมานานเนา คืนว่างเปล่าเขากลับมาหาเสียที ใจดายเดียวดูตะวันผันเรี่ยน้ำ ฟ้าสีครามงามดั่งทองอาบแสงสี จุดตะเกียงเขียนกลอนฝันมอบวันดี กระท่อมไพรนี้มีใจภักดิ์เฝ้ารักรอ แสงพริบพราวราวไฟในทะเลกว้าง แสนอ้างว้างห่างแค่ไหนใจไม่ท้อ กี่คืนฝันกี่วันปีที่รักรอ กระท่อมซอมซ่อผุพังฝังร่างนี้ที่รอรัก ..รอพรานทะเล! .......... ที่พาให้ผมหวนคิดไปถึงยามหนึ่งในราตรี ที่จันทร์ลอยดวง ดึกดื่นดายเดียว.. นะกระท่อมแห่งนี้ ที่ฟ้าระดะดาวพราวพร่างสุกใสแสนใกล้ ราวกับจะเอื้อมคว้าไขว่มาประดับใจได้ ที่ผมชอบให้คลื่นเคลียไคล้ ฝากเศร้างาม ผม... กำลังนับนาที...รอ.... เรือเฟอรี่ลำใหญ่...มาถึงฝั่งฝัน ที่กำลังแลเห็นจากโค้งอ่าวนี้ ที่กำลังฝ่าฟองคลื่นสีขาวแตกพรายกระจายรายรอบ ลำเรือ ที่กำลังหันหน้าวิ่งตรงเข้ามาอย่างช้าช้า ช้าช้า ให้หัวใจ ผม..ได้มีเวลา ย้อนรอยถอยหลังรำลึก คิดถึง ค่ำคืนหนึ่งที่ผ่านมา... และ... กับความทรงจำที่แสนหอมหวาน ในทุกยามย้อน ........... ผม...... ถือเป็นโชค..ยิ่งนัก ที่ได้พบได้รัก ได้รอเธอ ได้มารับราชการเป็นที่ดินอำเภอที่นี่ ที่ผมคิดว่า... *นี่คือบุพเพสันนิวาสพรหมบันดาลสวรรค์เมตตา* ให้...ผมได้มาพบกับนางใจนางในฝัน ที่นับจากนาทีแรกแต่นั้นมา... ผมมิเคยชายตาปันใจ และฝันถึงหญิงใดอื่นอีกเลยนอกเสียจาก เธอ...คนดี....ที่ผมแสนรักภักดี... ผม... ได้ยินเสียงรถจอด พร้อมกับ... เจ้าลิเดย์สุนัขที่แสนรักพันธุ์ไซบีเรี่ยนของผมเห่าขรม หากทว่า..ไม่นาน ราวกับเจ้าสุนัขแสนรู้คู่ใจผม จะพลันรับรู้ถึงพลังแห่งรักนี้ที่รอคอย ให้หยุดเงียบเสียงสนิท พร้อมกันกับ ที่ผม...ค่อยๆหันหลังไปอย่างช้าช้า จากทะเลตรงหน้าสีมรกต ที่ผมมายืนนิ่งพิงต้นมะพร้าวเอนเฝ้านับนาทีรอเธอ เธอ..ยังงามไสวเช่นเดิม... แม้วัยวันจะผันแปรไปนานปีก็ตามที แม้น..ร่างระหงจะยิ่งผอมบาง อย่างแสนน่าทะนุถนอมกว่าเดิม ผมเธอยังยาวสยายพัดร่ายรุ่ย ขับวงหน้านวลให้หวานเเจ่ม ราวกับแก้มถูกกรายล้อมด้วยรัศมีจันทร์ เธอ..คลี่ยิ้มอย่างดีใจ ตามด้วยเสียงหัวเราะใสใส ที่ทำไมหนอ... ผมมักจะใจอ่อนโยนทุกครายามได้ยิน *เราสบตากันนิ่งนาน..* โลกที่เคยราน...ราวรอหยุดหมุนนานนาที พอที่ผมจะเห็นหยาดน้ำผึ้งในเรียวตาเธออีกคราแล้ว ราวกับวันเวลาในอดีตย้อนรอย ถอยหลังในทุกคราครั้งที่เราพบกัน ที่มักจะมีหยาดน้ำใสซึ้ง ไหลหลั่งถะถั่งริน มาจากบึ้งใจแห่งความซ่านซึ้งแสนปิติ..เกษม... *กลับมาแล้วค่ะ คนดี ว่าไง อ้าวไม่กอดรับขวัญหน่อยเหรอไรคะ* มาค่ะ .... อย่ามัวเขินอาย อย่างเรานี่ไฟคงไม่ช๊อตๆๆแล้วดอกนะคะ จะนับนะคะ หนึ่งสอง สาม หากยังไม่เข้ามา เสียท่าชายชาตรีหมดเลย* *คนอะไรให้ผู้หญิงโผเข้าใส่ ...* ใช้ม่ายด้ายเธอแกล้งลากเสียงตลก และ.. นี่ละคือเสน่หาลีลาเธอ ที่ผมคิดว่าใครจะเลียนแบบมิได้ ไม่ว่าจะกระบวนท่าใด ที่มีผมเพียงนั้นได้รับเกียรติ เป็นดั่งชายเดียวในดวงใจที่พึงได้รับรักได้รู้รส ให้เธอได้พลีแสดงทุกบทบาทหมดจดถึงใจ และ....... ไม่ว่าจะเนิ่นนานสักเพียงใด หวานนั้นก็มิพลันกราย แม้นจะใช้เวลาสักแสนกาลกัป์ปกัลป์ ที่ผมจักตราจำไว้ อย่างมิมีวันเลือนลืม..ลืมเลือนทุกภพชาติ ถึงพิสวาทหวามเสน่หา *นิยามรักเหว่ว้าหากฝังจำแด่สองเรา* ผม.....ก้าวเดินช้าช้า ไปชิดใกล้เธอ แล้ว... ใช้มือแข็งแรง แฝงด้วยความรักความคิดถึงคะนึงหาเต็มห้องหัวใจ ล้นใจดวงนี้ที่แสนอบอุ่นอ่อนหวานอ่อนโยน ค่อยๆลูบไล้เรียวแก้มลูบผมเธออย่างเบามือ... ในท่ามสายลมทะเล ที่กำลังหยอกล้อพ้อคลื่นพัดพร่าง มาเคลียไคล้ดวงดอกลีลาวดีหอมกรุ่นในมือ ที่กำลังบรรจงเสียบริมแก้มรับขวัญ และ สองแขนอันรัดรึง ค่อยๆตรึงร่างเธอไว้ในอ้อมกอดอย่างแนบแน่น อย่างแสนรักอย่างกับกลัวการพรากจาก อย่างกอดเด็กน้อย ผู้หลงทางกลับบ้าน ที่เพิ่งพานพบ เธอซบบ่าผมแล้วสะอื้นไห้อย่างเงียบๆ ระหว่างเรา มีเพียงเงาทางมะพร้าวที่ทอดโอบ มีเพียงสายลมโบกโบยมารับรู้ มีเพียงคลื่นคลอทรายซัดหาดเห่กล่อม ราวหลอมละลายใจให้เป็นหนึ่งเดียว ให้ผมรู้เพียงว่า.. ในชีวิตลูกผู้ชายหนึ่งนี้ ผมกำลังพลีชีวิตจิตวิญญาณ อย่างทะนุถนอมแม่จอมใจเทพีไพรของผม อย่างแสนอ่อนหวานแผ่วเบา อย่างมิเคยทำกับใครมาก่อนเลย ผม...แนบคางสากกับเรือนผมหอมกรุ่น กับร่างน้อยๆในวงแขน อ้อนแอ้นอวลด้วยพลังแห่งไฟฝัน กับวันนี้นาทีนี้ที่รอคอย... และ... ผมรู้ดีว่า ... นี่คือ... * จันทร์ ณ กลางใจ...อาทิตย์อุทัย ณ กลางจิต* ที่หวนคืนย้อนกลับมา ส่องสว่างนำทางใจนำทางชีวิตผมไปตราบนิรันดร์ *ดั่งคำมั่นสัญญา* คำมั่นสัญญา ถึง ม้วยดิน สิ้นฟ้า มหาสมุทร ไม่ สิ้นสุด ความรัก สมัครสมาน แม้ อยู่ใน ใต้หล้า สุธาธาร ขอ พบพาน พิศวาส ไม่คลาดครา แม้น เนื้อเย็น เป็นห้วง มหรรณพ พี่ ขอพบ ศรีสวัสดิ์ เป็นมัจฉา แม้ เป็นบัว ตัวพี่ เป็นภุมรา เชย ผกา โกสุม ปทุมทอง แม้ เป็นถ้ำ อำไพ ใคร่เป็นหงษ์ จะ ร่อนลง สิงสู่ เป็นคู่สอง ขอ ติดตาม ทรามสงวน นวลละออง เป็น คู่ครอง พิศวาส ทุกชาติไป แม้ เป็นถ้ำ อำไพ ใคร่เป็นหงษ์ จะ ร่อนลง สิงสู่ เป็นคู่สอง ขอ ติดตาม ทรามสงวน นวลละออง เป็น คู่ครอง พิศวาส ทุกชาติไป... ............. ที่เธอบอกว่า.... กลับมาเที่ยวนี้... จะมาฝังฝากร่างเคียงผืนพสุธามาตุภูมิบ้านเกิด อยากมาพัฒนา ปรารถนามาทำสิ่งแสนดีแสนงามฝากไว้ในโลกหล้า ก่อนจะถึงวันแห่งตะวันลา ที่ราวดวงดอกไม้แห่งชีวี จะพากันพลีปลิดปลิว ลิ่วลอยโรยร่วงควะคว้างลงกรายพื้นให้หอมงาม... ผม... ค่อยๆกระซิบริมเรียวแก้ม *เหนื่อยมั้ยพักก่อนนะ* ค่ำนี้ เราจะมานอนนับดาวริมทะเลฝันคุยกันนะครับ แล้ว.. จะมีบาบีคิว ที่ผมเตรียมไว้ต้อนรับ ที่ตั้งใจไว้ว่าจะเชิญแขกมานับพัน หากคุณไม่ห้ามไว้* *แต่.... เอาเท่าที่คุณต้องการนะครับ น้องปลัดอำเภอน้องชายคนดีที่คุณรัก กับพัฒนากร ที่คุณบอกว่าจะมีอะไรคุยด้วย เพราะนานแล้วมิได้พบเจอ* *คนดี... แล้ว...อย่ามัวตื่นเต้น จนไม่เป็นอันทำอะไรนะครับ นอนพักมากๆ เตรียมตัวให้พร้อมเอาไว้ คืนนี้ผมอาจจะกวนคุณจนฟ้าสาง ไม่ให้หลับนอนนะครับ มีเรื่องเล่ามากมายจะเล่าให้ฟังนะครับ* ผม... ต้องกลับไปทำงานก่อน นะ เย็นๆจะกลับมา และเข้าไปดูบนหัวนอนนะครับ ผมมีอะไรฝากไว้ให้... แล้ว.... อย่าพานร้องไห้อีกนะครับ เพราะเที่ยวนี้ เราคงไม่พรายพลัดพรากจากกันอีกแล้วใช่ไหมยอดรัก มา..มะ ให้ผมหอมแก้มหน่อยนะ ผม...จะได้ไปทำงาน และวันนี้ใครๆคงประหลาดใจหากเห็นผมคนเศร้าใจซื่อ ทำงานไปยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปด้วยอิ่มใจเสียเหลือเกินแล้ว... และ ผมทราบดีว่า นาทีที่เธอเห็นที่นอนสีขาวนวลนุ่มน่านอน เห็น ดวงดอกพุดซ้อนอรชรอ่อนหวาน ที่บานพราวตระการเต็มโถดิน...เธอจะต้องยิ้มดีใจ จนอยากร้องไห้ .................. ............. นั่น............!!!! คือ....วันที่เธอกลับมา และ... กับราตรีนี้ เมื่อวันเวลาผันผ่านมานานเดือน.. คืนที่ฟ้าไร้สิ้นแสงดาว แม้นดุเหว่าก็เลิกครางครวญ ใบไม้หยุดโบกระบัด ลมหยุดพัดนิ่งสนิท ทุกสรรพชีวิตราวร่ำไห้ คืนที่เธอ... บอกกับผมว่า... เธอจะใช้รีสอรท์*ทะเลขวัญ* ปันพลีน้ำใจแด่มิ่งมิตรน้องพี่และผืนดินเกิด เพื่อให้ใจดวงงามดวงประเสริฐ ที่รอเวลาคิดคืนน้ำใจรัก จากดวงกมล ให้... แด่ทุกคนบนผืนดินถิ่นนี้ ที่นับวันจะเร่าร้อน ด้วยไฟกิเลส ตัณหา ถูกผลาญพร่าด้วยอารยธรรม ที่บ่าโหมมากับการท่องเที่ยว โดยมิยอมรับรู้ถึง มหันตภัยร้าย ที่กำลังย่างกรายหมายฝากมรณะแด่ทุกผองชน ให้ได้เตรียมกมลรับ ได้รู้จักทำความดี ได้พลีน้ำใจแด่ทุกใครทุกคนที่ชิดใกล้... ก่อนวันที่จะสายเกิน ........ ณ..ราตรี ใน รีสอร์ทแห่งนี้ ที่เธอกลับมาเทุ่มถอดใจเนรมิตร ตัดสินใจหันหลังลาเมืองกรุง ที่เธอชอบกระซิบบอกว่า เธอมีชีวีราวปลาผิดน้ำเสมอมา ที่ที่เธอมาบุกเบิก ที่ดินผืนงาม ที่ลาดเอียง ลดหลั่น อิงแอบภูเขา มีหินงาม ที่ธรรมชาติให้มา แยกกระจัดกระจายไป..... ราววิมานไพรวิมานวนา ราวสวรรค์หล้า อัญมณีสีรุ้งพุ่งพราวพราย ณ กลางเกาะ ที่เธอ..คนดี ใช้เวลาแค่ไม่นาน มาเนรมิตรผืนดินนี้ *ให้กลายกลับเป็นดั่งสวนสวรรค์ สรวงสวรรค์ * คืนที่เธอ จัดรีสอร์ทงามของเธอให้แสนคึกคัก และ.. ประดับประดา ด้วยแสงไฟพราวพร่างจากโคมรายรอบ ที่สาดส่องไปตามทิวมะพร้าวงาม ดอกไม้จากสวน...ถูกนำมา....ประดับประดา รัดร้อยเป็นช่องาม..ตามมุมต่างๆ..... ซุ้มไม้หอมเลื้อยสวย เป็นพวงพุ่ม มะลุลี มะลิพวง รสสุคนธ์ สายน้ำผึ้ง หวานบานฉ่ำราวกับนัดกันไว้ แล้วให้คนเฒ่า คนแก่ ใช้ภูมิปัญญา และฝีมือชาวบ้าน ที่สามารถใช้ใบมะพร้าวมาสานถักทอเป็นลวดลาย ละอองามล้ำ เป็นรูปดอกไม้ รูปสัตว์ต่างๆ และลูกตะกร้อแสนงาม แขวนเรียงราย ตามต้นไม้รายรอบ คืนที่เธอกระซิบบอกว่า ให้ผมเชิญแขกคนสำคัญ ที่มีพลังในการหยุดยั้งทำลายสิ่งแวดล้อม แห่งบ้านเกาะถิ่นเกิด ของเธอ...มาสักสองสามร้อยคน เพราะเธอมีอะไรจะบอกกล่าว และจักร่ายบทกวีแสนตราตรึงซึ้งใจให้ฟัง พร้อมกับที่.. จะฝากความหวังกลับไป... *ให้ร่วมใจรวมใจสามัคคีกันสร้างพลังทำสิ่งดีงาม* เพื่อรู้รักษ์บ้านเกิดเมืองนอน และ จักมีผลกระทบสะท้อน ไปถึงระดับชาติระดับโลก ที่จะลบโศกแล้งไร้.. เธอ ... บอกว่าเธอจะขอใช้เวลาแค่ไม่นานนาทีเอง ที่จะพลีใจด้วยหยาดเลือดแห่งรักในผืนดินนี้ที่ก่อกายให้ชีวิต ได้ตามลิขิตฝันจนพลันเป็นจริง... ผม.. อดเป็นห่วงเธอไม่ได้เพราะมีสัญญาณ เตือนภัยถึงเธอ *บัตรสนเท่ห์*คำขู่ที่ได้รับหลายใบตั้งแต่เธอกลับมา และ มาเพียรทำหน้าที่อนุรักษ์ป่าไพร รวมทั้งการบุกรุกโค่นไม้ทำลายป่าต้นน้ำลำธาร ที่นับวันจะแห้งเหือดไป เพราะ... ความไม่เข้าใจถึงภัยแล้งไร้ตามมา... หากเกาะนี้สิ้นไร้แหล่งน้ำจืด เธอ..ที่ชอบหันมาเว้าวอน ให้ผมเพียรใช้ตำแหน่งหน้าที่เพื่อรณรงค์ ช่วยกันพิทักษ์รักษาทั้งป่า ทั้งการแผ้วถางทำลายต้นมะพร้าว นับหมื่นนับพันต้นเพียงเพื่อมาสร้าง กระท่อมที่ไร้ชีวิต และจักพาให้คนในเกาะ และนักท่องเที่ยวราวสถิตทะเลทรายในไม่ช้า รวมทั้งไปขัดขาขัดผลประโยชน์ใครบางคนที่เราไม่รู้ตัว ที่กำลังเมามัวบุกรุกเขตวนอุทยานสร้างรีสอร์ทบนยอดภู ผม... ตามใจเธอ .. ทั้งๆที่ผมประหวั่นว่าภัยร้ายกำลังประชิดคืบใกล้มายังเราสอง อย่างมองไม่เห็นตัว เมื่อผมได้รับบัตรสนเท่ห์ แสนน่ากลัว เช่นกันให้ระวังตาย ระวังเงาหัวไว้ให้ดี.. หากยังทำตัวเป็นคนดีแสนมีอุดมการณ์อุดมคติสูงส่ง มิรู้ปลงรู้หยุดขวางทาง..ทำลาย และ...แล้ว... ในราตรีนี้ ที่ฟ้าไร้สิ้นแสงดาว... แม้นดุเหว่าก็เลิกครางครวญ ใบไม้หยุดโบกระบัด ลมหยุดพัดนิ่งสนิท ทุกสรรพชีวิตราวร่ำไห้ คืนที่เธอร่ายรำพัน.. ถึงบทความพร้อมแผนภูมิทั่วโลก ที่กางพร้อมชี้ให้เห็นจริงถึงสัจจธรรม ที่กำลังกรายกล้ำทำร้ายโลกทำลายเราทุกคน หากยังมิไหวกมลรู้บทเรียน... ที่เธอนำมากล่าว ให้รับทราบกันถ้วนหน้า พร้อมเน้นย้ำถึงความหวังอันแสนสว่างจ้า ที่จักร่วมด้วยช่วยกันเททุ่มพลังใจแห่งรักสามัคคี เยียวยาเกาะนี้...เกาะที่แสนงามราวสรวงสวรรค์ ราวภาพฝันของปอลโกแกง มาร่วมแรงรวมใจ มาพิทักษ์ไพร และเยาวชน มิให้หลงผิดติดยา หรือถูกมอมเมา ด้วยพลังแห่งกิเลสตัณหาแห่งความอยากได้ใคร่มี จนพาตัวไปหลงทำสิ่งมิดีมิชอบประกอบกรรมหลายทาง เพียงเพื่อสนองตามร่างไร้คิดจิตวิญญาณไร้สำนึก ไปตามกระแสโลกโศกมิรู้สิ้นรู้จบทบทวีทุนนิยม และ.... ในท่ามกลางแสงตะเกียง เทียนทอที่เธอจุดพร่างไสว เพื่อเพียรประหยัดน้ำมันจากพลังงานไฟฟ้า ตามนโยบายรัฐบาล เธอแย้มยิ้ม..หวานเศร้า หากให้งามเร้ารัดรึงตรึงใจผมเป็นยิ่งนัก ที่เห็นเธองามเกินงาม กว่าหญิงใด ตรงที่จิตดวงใสดวงทิพย์นี้ ที่คิดรู้ทันเท่าเฝ้านึกรับผิดชอบต่อส่วนรวม ราวมีอัญมณีใจอันฉายฉานโชติช่วง ที่ผมอยากไขว่คว้ามาประดับใจ ที่ผมสงสัย ว่าสวรรคสรวงทิพยวิมานสถานใดประทานพรให้เธอมา เธอยิ้มหวาน.... กล่าวช้าช้าชัดชัดอย่างมีลูกล่อลูกชน ปนให้ฮาเฮไม่นึกเบื่อ.. ใช้เวลานานประมาณเกือบหนึ่งชั่วโมง ที่แสนซึ้งตรึงตราใจไปกับบรรยากาศแสนงาม กับเสียงเร้าใจ เศร้าสะเทือน หากเต็มไปด้วยพลังแห่งความเชื่อมั่นศรัทธา *ในพลังแห่งธรรม ธรรมชาติ ดิน น้ำลมไฟ ไปกับ*ความฝันอันสูงสุด ที่ยินดีจะมอบโลกที่ดีกว่าให้แก่ผืนดินเกิด...มาตุภูมิแม่ .................!!!!!!!!!! ...................!!!!!! ก่อนที่เราทุกคน จะต่างตกตะลึง... ด้วยเสียงดังสนั่น ราวฟ้าผ่าเปรี้ยงด้วยเสียงกัมปนาทบาดใจ ใจแทบขาด ลงมาตรงหน้า เมื่อ.....!!!!!! กระสุนนัดหนึ่ง...วิ่งฝ่าความมืดทะลุทะลวงเข้ามา พร้อมเสียงกรีดร้องอย่างตกใจจากทั่วทิศทาง..! นัดแรก..! แทรกเข้าไปเจาะตะเกียงให้ดับวูบไป.... นัดที่สอง..!!! คงเจาะเข้าไปกลางหัวใจแสนงามของเธออย่างแม่นยำ.....!!!! ที่ณ..บัดนี้....! .....ร่างนั้น..! ยังอ่อนอุ่นอยู่ในอ้อมโอบผม ที่กำลังร่ำไห้อย่างมิอายฟ้าดิน...... พร้อมกับสายฝนพรมพรำหนักขึ้นๆ.......ราวรับรู้สะเทือน น้ำตาผมกับน้ำตาฟ้า... ไหลหลั่งรินมิสิ้นสาย ผสานกันไปกับหยาดเลือดรักและร่างเธอที่เริ่มหนาวเหน็บ! เธอ..... กำลังหลับตาพริ้ม... อย่างนิ่งงามอย่างเงียบงันราวฝันดี แสนดี..... ราวไม่รับรู้สิ่งใด..... ราวกับจะพลีวางทุกสิ่ง ให้จักตราจำตอกสลักไว้ณ..กลางใจ..ณ เบื้องหลัง ให้หัวใจผม ปานแหลกสลายยับ.... อยากดับดวงใจไปกับร่างรักอันแสนน่าเวทนาแห่งเธอ....! ................ ................. เสียง... เธอราวกระซิบแสนเศร้าหวานแว่วแผ่วมา.... กับฟ้าสีกำมะหยี่ ที่กำลังคลี่คลุมโอบกอด...รัดร้อย กับดาวสร้อยเดือนเสี้ยว ที่สลัวมัวหม่นในม่านหมอกแห่งสายฝนเย็นเยียบ... กับเสียงเพรียกแห่งพงไพร*วิมานวนา* ที่กำลังหยุดระบัดใบไหวกิ่ง.... ราวนิ่งงันขวัญหาย....รับรู้โศกสะเทือน....!!!
ทำไมวางตัวอักษร เว้นวรรคอย่างดีให้น่าอ่านแล้วทำไมติดกันยาวย้วยยังกะรถไฟแบบนี้คะ ด้วยรัก..และไม่เข้าใจระบบค่ะ
หยดน้ำ.. พาร่างในผ้าซิ่นลายดำสลับแดงราวสาวล้านนา กับเสื้อผ้าเปลือกไหมสีนวลไข่ไก่ไหล่ล้ำ ค่อยๆเดินช้าๆ ไปตาม..*เส้นทางสายสวน*สายฝันสวรรค์งาม เพื่อไปวัด... เส้นทางที่... ยังพร่างไปด้วยแมกไม้ใบระยิบ พลิกพรายพร่างฟ้อนอ้อนสายแสงตะวัน ยามสะท้อนเสียดยอดออดอ้อนเวิ้งฟ้า เส้นทางที่... พาให้หัวใจดวงนิดดวงน้อยของหยดน้ำ ยิ่งนวลใสนวลใยยิ่งแสนงามสงบสุข หยดน้ำ... แหงนเงยมองยอดไม้แล้วแย้มยิ้มยินดี ที่เกาะที่เธอรักแสนรักนี้ ยังคงมีพันธุ์ไม้เมืองร้อนนานาพรรณ ที่พากันขึ้นเซาะซอนซ่อนซ้อนสลับราวป่าดงดิบณ..กลางเกาะ งามอย่างพงพฤกษ์ไพรแสนเฉิดฉันท์ราวสวรรค์สรวง ที่ยังพาให้ดวงใจได้รับพลังสดกระจ่าง ราวกับยังมีอัญมณีทิพย์เขียวไสไพรมณีซุกซ่อน มิร้อนแล้งไร้ดั่งโลกรายรอบ.... เธอจึ่งรำลึกนึกถึงบทกวีที่แสนงามพอกัน ที่พากันไหลหลั่งมาประโลมใจในนาทีนี้ ................ วุ้งเวิ้งชะวากผา.....................................ฆนแผ่นศิลาสลอน ช่องชานชโลธร......................................ชลเผ่นกระเซ็นสาย ปรอยปรอยประเลห์เห-........................ มอุทกพะพร่างพราย ซาบซ่านสราญกาย................................กระอุร้อนก็ผ่อนซา ท่อธารละหานห้วย................................ ก็ระรวยระรินวา- รีหลั่งถะถั่งมา........................................บมิขาดผะขาดผัง ไม้ไล่สล้างชม........................................ขณะลมกระพือวัง- เวียงเสียงก็เสียดดัง.............................. ดุจซอผสานสาย แสนสาธรารมณ์.................................... จรชมก็ชวนสบาย ใจหงอยก็ค่อยหาย................................ หฤหรรษเหิมหาญ เซิงสนสล้างพฤก-............................... ษพิลึกลดามาลย์ บงบุษยาบาน.........................................ระบุดอกระดาษไพร ฉุนโฉมระงมฆาน..................................สุวมาลย์จรูงใจ ส่งก้านตระการใบ..................................พิศล้วนพิไลพรรณ ริ้วริ้วพระพายพา....................................สุรภีละเวงวัน ผึ้งภุมรีสัญ-.............................................จรสูบสุเกสร ร้องร่อนวะว่อนเชย................................รสเรณุกำจร เกลือกบุษบากร..................................... ระกะกลีบกระหึ่มเสียง ที่มา อิลราชคำฉันท์ โดยพระยาศรีสุนทรโวหาร (ผัน สาลักษณ์) วิเวกการะเวกร้อง.......................รงมสวรรค์ เสนาะมิเหมือนเสนาะฉันท์.......... เสนาะซึ้ง ประกายฟ้าสุริยาจันทร์..................แจร่มโลก เมฆพยับอับแสงสอึ้ง......................อร่ามแท้ประพันธ์เฉลย สรวงสวรรค์ชั้นกวีรุจีรัตน์ ผ่องประภัสรพลอยหาวพราวเวหา พริ้งไพเราะเสนาะกรรณวัณณนา สมสมญาแห่งสวรรค์ชั้นกวี อิ่มอารมณ์ชมสถานวิมานมาศ อันโอภาสแผ่ผายพรายรังสี รัศมีมีเสียงเพียงดนตรี ประทีปทีฆรัสสะจังหวะโยน รเมียรไม้ใบโบกสุโนกเกาะ สุดเสนาะสำเนียงนกที่ผกโผน โผต้นนั้นผันตนไปต้นโน้น จังหวะโจนส่งจับรับกันไป เสียงนกร้องคล้องคำลำนำขับ ดุริยศัพท์สำนึกเมื่อพฤกษ์ไหว โปรยประทิ่นกลิ่นผกาสุราลัย เป็นคลื่นในเวหาสหยาดยินดี ที่มา หนังสือสามกรุง นิพนธ์ พระราชวรวงค์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ พิกุลบุนนาคบาน.......................กลิ่นหอมหวานซ่านขจร แม้นนุชสุดสายสมร...................เห็นจะวอนอ้อนพี่ชาย เต็งแต้วแก้วกาหลง...................บานบุษบงส่งกลิ่นอาย หอมอยู่ไม่รู้หาย.........................คล้ายกลิ่นผ้าเจ้าตราตรู มลิวันพันจิกจวง........................ดอกเป็นพวงรวงเรณู หอมมาน่าเอ็นดู........................ชูชื่นจิตคิดวนิดา ลำดวนหวนหอมตรลบ...............กลิ่นอายอบสบนาสา นึกถวิลกลิ่นบุหงา..................... รำไปเจ้าเศร้าถึงนาง .......................... หยดน้ำ.. เห็นต้นระกำ..ลูกสีแดงสุกก่ำห้อยย้อยขึ้นเป็นกอ ที่คงอยากพ้อเพื่อนมนุษย์ว่า *ไฉนมาตั้งชื่อพิลึกไร้มงคลแบบนี้ให้ ทั้งๆที่ใครๆยังมิทันได้ชิมหวาน ก็พานพาให้หลงเชื่อเบื่อคำว่าระกำ..ว่าจักทำให้ช้ำใจเสียก่อนแล้ว... และ ... นั่นกระท้อนต้นใหญ่ใบดกสูงเสียดฟ้า ที่ทิ้งลูกเหลืองทองผ่องสุก ให้หลุดร่วงหล่นปนเปรอะไปกับผืนดิน ที่นกกาก็คงกินมิหมด ถึงยอมปล่อยคว้างอย่างมิเหลียวแล และ... แม้กระทั่งมนุษย์ ในเกาะแห่งเศรษฐกิจการท่องเที่ยวแสนดี ที่ทุกวันนี้ คงไม่ค่อยมีคนละเมียด มานั่งคว้านมานั่งทำกระท้อนทรงเครื่องฤาแช่อิ่ม ด้วยคงคิดว่าเปล่าเปลืองเสียเวลา.. หาได้ซึ้งค่าที่จักสืบทอด ภูมิปัญญาการแกะสลักผลไม้ไทย อันมีฝีมือละมุนละม่อมละเมียด ที่แสนเลิศวิไลให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ดั่งบทเห่เรือชมเครื่องคาวหวาน บทพระราชนิพนธ์ โดย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ เห่ชมผลไม้ ผลชิดแช่อิ่มโอ้ เอมใจ หอมชื่นกลืนหวานใน อกชู้ รื่นรื่นรสรมย์ใด ฤๅดุจ นี้แม่ หวานเลิศเหลือรู้รู้ แต่เนื้อนงพาลฯ ผลชิดแช่อิ่มอบ หอมตรลบล้ำเหลือหวาน รสไหนไม่เปรียบปาน หวานเหลือแล้วแก้วกลอยใจ ตาลเฉาะเหมาะใจจริง รสเย็นยิ่งยิ่งเย็นใจ คิดความยามพิสมัย หมายเหมือนจริงยิ่งอยากเห็น ผลจากเจ้าลอยแก้ว บอกความแล้วจากจำเป็น จากช้ำน้ำตากระเด็น เป็นทุกข์ท่าหน้านวลแตง หมากปรางนางปอกแล้ว ใส่โถแก้วแพร้วพรายแสง ยามชื่นรื่นโรยแรง ปรางอิ่มอาบซาบนาสา หวนห่วงม่วงหมอนทอง อีกอกร่องรสโอชา คิดความยามนิทรา อุราแนบแอบอกอร ลิ้นจี่มีครุ่นครุ่น เรียกส้มฉุนใช้นามกร หวนถวิลลิ้นลมงอน ชะอ้อนถ้อยร้อยกระบวน พลับจีนจักด้วยมีด ทำประณีตน้ำตาลกวน คิดโอษฐ์อ่อนยิ้มยวน ยลยิ่งพลับยับยับพรรณ น้อยหน่านำเมล็ดออก ปล้อนเปลือกปอกเป็นอัศจรรย์ มือใครไหนจักทัน เทียบเทียมที่ฝีมือนาง ................ หยดน้ำ....ยืนนิ่งๆกลางสะพานเล็กๆ ที่ทอดผ่านลำธารสายงามในอดีต ที่ณ..บัดนี้... รกเรื้อด้วยดงหญ้า ดงไม้นานาพันธุ์ เถาวัลย์พันเกี่ยวเลี้ยวลดแทรกซอนเซาะไซ้ไผ่กอ ที่กำลังเสียดสีด้วยแรงลมพัดผ่านแผ่วผิวหวิวแว่ว ให้เกิดเสียงดนตรีธรรมชาติ ที่ดูราวกับไร้ใครสนใจเหลียวแลอยากฟัง...ในวันนี้ณ..วันนี้..!. ในมโนนึกของหยดน้ำ.. ได้ยินเสียงตัวเอง และเด็กๆร้องเพลงเสียงหวานใสลอยลมมา และ.... ก่อนที่จะพากันกรูเกรียวขึ้นไปคว้าเถาวัลย์โหนเหนี่ยว ทิ้งตัวลงยังธารน้ำสายใสใหลเย็น ณ.เบื้องล่าง นั่นภาพเด็กผู้หญิงตัวน้อยๆ แก้มอิ่มพรื้มเพราชมพูพริ้งพราว ผมเปียลีบลู่กวัดแกว่งไปมา ยามใบหน้าแหงนเงยหัวเราะเริงร่าแสนสนุก และ.. เรือนผมถูกแตะแต้มด้วยรวงละอองเกสรพราว กราวร่วงจากดวงดอกจิกสีชมพูพริ้งพร่างพรมห่มหอมงามให้ เธอ....หัวเราะเสียงดัง ก่อนที่จะพากันแข่งกับเพื่อนๆ กรูขึ้นบนตลิ่งครั้งแล้วครั้งเล่า และเฝ้าคว้ากิ่งเถาวัลย์โหนตัว อย่างแสนสราญบานเบิกใจเป็นที่สุด เป็นความสราญใจสนุกสนาน ที่ทำให้หัวใจและร่างเธอได้พร่างด้วยกระแสสายน้ำเย็นใส อย่างยากจะเลือนลืม...ลืมเลือน.... ในทรงจำ..... เธอจะค่อยๆลอยตัวเหนือสายน้ำ ด้วยการทำร่างให้เบาสบายราวไร้น้ำหนัก และ... ให้สายน้ำซัดร่าง พาไปตามเส้นทางสายคดเคี้ยวสู่ทะเลเบื้องล่างแลละลิบ ด้วยเวิ้งน้ำหม่นมัวสลัวรางในม่านฝน ที่ยามนั้นด้วยกมลดวงใจใสเยาว์ เธอหาได้หวาดกลัว..หวั่นเกรงไม่ ราวเธอมั่นใจเกินร้อยว่า *คืบก็ทะเลศอกก็ทะเลคือเพื่อนใจ* ที่จักไม่มีวันทำร้ายกรายกล้ำเธอ และกลืนชีวาเพื่อนเธอผู้ใด หากชีวาชีวิตใคร ยังไม่ถึงคราวถึงฆาต ถึงเวลาชะตาขาด เธอจะเฝ้านอนดูท้องฟ้า และให้สายน้ำสายฝนในบางครานั้น.... ซัดพาร่างลอยละล่องไปเรื่อยๆเอื่อยๆอวลงาม ด้วยดวงดอกโพธิ์ทะเลสีเหลืองละมุนที่ขึ้นอยู่ริมตลิ่ง และ... เฝ้าดูพวงเงาะ ห้อยย้อยแดงดกไปทั่วราวกิ่งอย่างยั่วแย้มให้เด็ดมาชิม ที่เธอ...ไม่กล้าเหนี่ยวกิ่งเก็บมากิน เพราะกลัวคำสาปแช่งของเจ้าของสวน เธอ..แย้มยิ้มกับฟ้ากว้าง กับสายน้ำเย็นฉ่ำ กับระร่ำรื่นแห่งธารน้ำ สายสงบสุข ที่ทำ ให้หัวใจอิ่มใส เย็นงามตาม วิถีไพร และ กับการกลับมาในวันนี้ที่พาลพาให้ น้ำตาเธอคนดี ปริ่มตา เมื่อกาลเวลาล่วงผ่านเลย... เธอ...จึงแหงนเงยขึ้นซ่อนหยาดน้ำตา พร้อมกระซิบกับฟ้ากว้าง กับความดายเดียวแห่งฟ้าดิน ที่แสนรับรู้รอยอาลัยถวิลในดวงใจอ้างว้าง ว่า... เธอยังมิสิ้นอาวรณ์ในเงางามสงบ แม้ในยามนี้ที่กลับมาพบโลก และวิถีผู้คนที่แปรไป ในคลองตา...เธอ... เห็นทุเรียนต้นใหญ่สูงเสียดฟ้า แผ่เรียวกิ่งกว้าง ใบกระจ่างในพรายแดดสีทอง ทอทอดลอดโลมไล้ให้แสงเงาพริบพร่าง ที่ ณ บัดนี้ ห้อยลูกเล็กๆ ใหญ่น้อย ไปตามกิ่ง แน่นขนัด รอเวลาทิ้งตัวหลุดร่วง หรือให้เจ้าของสวนมาเก็บไป ทุเรียนสวนที่หอมอร่อย รสชาติแปลกดี ที่ ณ บัดนี้ เธอ พิสวาสเพียงผลงามแปลก หนามแทงแยก ตะปุ่มตะป่ำ ทั้งลูกเล็กๆ ที่น่ารักนัก ที่ธรรมชาติหยิบยื่นมาให้ ไม่ว่าสี รูปพรรณ หรือรสชาติอย่างชาญฉลาด อย่างเกินที่จะเข้าใจในมหัศจรรย์รักนี้ที่ธรรมชาติแลฟ้าดินประทาน ................ และ..นั่น!... อีกภาพ...ที่เธอตราจำไว้ในเงางามแห่งดวงใจ ภาพ.... บึงบัวสีขาวไสวกลางสวน เคียงเนินทรายดอกพราว ภาพใบบัวแผ่กว้างเขียวไพลเขียวพรายแผ่กระจายบานลอยเต็มบึง และ... ในท่ามแสงตะวันรอนอ่อนสร้อยเศร้าซึ้ง กับเรือลำน้อยสีน้ำเงิน เด็กหญิงแก้มอิ่มพริ้มเพราในชุดกระโปรงบานฟ่องสีขาวนั่งกลางลำ และ.. มีเด็กชายผิวคล้ำเปลือยร่างท่อนบน กำลังลอยคอช่วยเข็นเรือลำน้อย ให้เจ้าหญิงที่มี...*มงกุฏสายบัว*ล้อมวงหน้านวลใส ค่อยๆใช้พายพาไปกลางธารใสไหลเย็น เธอ... คนที่มีเขาคอยเคียงข้างมิร้างแรมไกล ไปไหนไปกัน อย่างพี่ชายอย่างผู้พิทักษ์ อย่างเพื่อนรักที่รู้ใจที่เข้าใจ อย่างคนที่รอให้ที่พักพิงพึ่งใจ คอยเอาใจราวเจ้าหญิงในทุกวันเวลา หากเธอต้องการ ราวข้าทาสผู้ภักดีพลีรัก ที่ขอแค่เห็นรอยแย้มยิ้มยินดีจากเธอ...ก็เป็นพอ..ก็พอใจปิติใจ.... เขา... ค่อยคอยเอื้อมเก็บบัวดอกนั้นดอกนี้เท่าที่เธอบัญชาการ ด้วยน้ำเสียงหวานใสอย่างออดอ้อน อย่างที่รู้ดีว่าเขานั่นยินดีพลีทำทุกสิ่งให้ ยกเว้น...ดาวเดือน เธอ..ยิ้มหวานใสไร้เดียงสา เมื่อเขาคว้าบัวมาได้มากมาย ให้เธอนำมากองไว้กลางตักเธอ อย่างไม่กลัวเปียกปอน เธอยกขึ้นจุมพิตช้าๆ ตรงกลางกลีบเกสรหวานบานพราว อย่างมิหวั่นเกรงภู่ผึ้งภมรจะพากันร่ำร้องอิจฉา และ เพียรบอกให้เขาทำตาม เขาปรามด้วยเสียงพี่ชายกำราบน้องคนดื้อ บอกให้ระวังว่าเสื้อสวยจะเลอะหมดแล้วด้วยโคลนเลน หากเธอยิ่งแกล้งได้แกล้งดีแทนที่จะเชื่อฟัง กลับทำท่าเอนตัวให้เขาอกสั่นขวัญหาย คล้ายจะกลับกระโดดลงไปในน้ำ...คว่ำเรือเสียแทน แล้วแย้มยิ้มหัวเราะเสียงดัง เมื่อเห็นท่าทางอันแสนน่าตลกตกใจของเขา เธอร้องเพลงขับขานเสียงหวานใส ลอยไปกับฟ้าสีเงินกระจ่าง ในท่ามบึงบัวและเรือสีน้ำเงิน.. บทเพลงที่ยังคงฝังใจจำมาจนวันนี้... เรือลำหนึ่ง .... หากชีวิต เปรียบดังทะเล ฉัน คงคล้าย เป็นเรือ ล่องไป ให้ลมพาพัดไป ไร้ ทิศทาง สุดขอบฟ้า กว้างใหญ่ ใคร รู้ บ้าง สุดท้ายหนทาง จะร้าย หรือดี มีความหวัง ฝั่ง อันแสนไกล เห็น เพียงแสงรำไร อ้างว้าง จะมีใครสักคน หรือ ไม่มี หากคืนไหน ไร้ ดาว เหงา ทุก ที ชีวิตก็อย่างนี้ อยากมี ความหมาย เราคงเป็นดั่งเรือน้อย ลำหนึ่ง ในทะเลแห่งชีวิต กว้างใหญ่ ฟ้า คลื่นลมซัดมา ก็ หวั่น ไหว ในใจมีแต่จุดหมาย คือฝั่ง มันจะไกลสักเพียงไหน ต้องไป แม้ ว่าในหัวใจ ไม่มีใครเลย ฉัน ก็คงเป็นแค่เพียง ผงฝุ่นในสายลม ไม่มี ไม่มีความหมายใด ไม่ มี ใคร มรสุม พัด ผ่าน ทาน ไว้ ได้ ชีวิตวันต่อไป ไม่มีใคร รู้ เราคงเป็นดั่งเรือน้อย ลำหนึ่ง ในทะเลแห่งชีวิต กว้างใหญ่ ฟ้า คลื่นลมซัดมา ก็ หวั่น ไหว ในใจมีแต่จุดหมาย คือฝั่ง มันจะไกลสักเพียงไหน ต้องไป แม้ ว่าในหัวใจ ไม่มีใครเลย เราคงเป็นดั่งเรือน้อย ลำหนึ่ง ในทะเลแห่งชีวิต กว้างใหญ่ ฟ้า คลื่นลมซัดมา ก็ หวั่น ไหว... ........................ และ... ในหนาวน้ำตา.. กับวันนี้..ที่กลับมา เมื่อเธอคนดี... ย้อนรอยรำลึกซึ้งค่าแห่งน้ำใจภักดีบูชาใสงาม ที่เขาเคยพร่างรินให้กับเธออย่างมิรู้สิ้นรู้จบ ทบทวีคูณตราบจนวันลาร่าง ภาพเด็กชายน้อยผู้แสนรักเธอรักมั่น คงแสนเหน็บหนาวในวันนั้นในบึงนั้น หากทำไมเล่า....! เธอจึงเห็นเพียงรอยยิ้มกว้างอย่างแสนรักภักดิ์พลี อย่างแสนดีแสนเสียสละด้วยความอดทนเสมอมา ที่เธอแสนซึ้งค่าอย่างในยามนี้ที่แสนสายเกิน... คนดี..หยดน้ำ... ขอพลีน้ำตานะนาทีนี้นะดวงใจ ขอให้... มวลเมฆและ ดวงดาวบนฟากฟ้ากว้าง...กล่อมเห่คุณ... ให้นำทางไปพบสวรรค์พราว...ราวเรียวรุ้งอย่างที่คุณวาดหวัง... และ เพียรเฝ้าเพียงสร้างกรรมดีแด่ทุกผู้คน ตราบจนนาทีสุดท้าย ที่ ร่างไร้สิ้นลม แลดวงวิญญาณของคุณถูกห้อมห่มด้วยสายฝนพรำ ในวันที่เครื่องบินตก....อย่างเหน็บหนาว ราว ดวงใจหยดน้ำฝนและหยาดน้ำตานางฟ้าร่ำไห้พอกัน ผู้หญิงที่คุณแสนรักรอมานานวัน ได้มาปันพลีโอบเอื้ออ้อมภักดิ์ให้อ้อมตักไออุ่น ในอ้อมกอด...พร้อมปิดเปลือกตานะยอดรัก.. และ... หวังวอนฟ้าดิน... ได้กล่อมคุณ... ให้นิทราหลับสบาย...ฝันดี...ไปนานเนานิรันดร์.... จนกว่า.. จะถึงวันที่เราสองจะได้พบกันอีก..ใช่ไหมเล่าคนดีที่รัก และ... หยดน้ำ...ยังคงวาดหวัง ให้...ดวงดาราบนฟากฟ้า... ทำหน้าที่แทนดวงตาแห่งรักภักดีแห่งดวงใจคุณ เฝ้าหมุนละมุนมาคอยส่องนำทางใจ เฝ้าปกป้องคุ้มผองภัย แด่*เด็กผู้หญิงน้อย**เจ้าหญิงน้อยๆ* ที่... คุณรักแสนรัก...ภักดิ์แสนภักดิ์....ดั่งดวงใจไปตราบชั่วกาล.... ... ................................... http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4258.html ณ....วันนี้ ละครทีวี เรือนมยุรา ญ.... ดังมี สิ่งใดมาดลใจฉัน ดังใจ โอ้เอยเฝ้าคอยเธอนั้น นานแสนนาน ฮืม จึงมาเจอกัน คล้ายบางสิ่งผูกพัน ร้อยใจเราร่วมกัน ช..... ดังมี สิ่งใดมาดลใจฉัน ดวงใจ โอ้เอย มีเพียงเธอนั้น นับวัน ฮืมจนแรกเจอกัน ใจฉันเพียงต้องการ แต่เธอตลอดมา ช.... ฝากคำสัญญา ฝากวาจา รักเธอไม่เสื่อมคลาย ญ.... หมื่นพันสัญญา ร้อยวาจา หนึ่งเดียวที่เข้าใจ ช.... รอคอย ผ่านวันเนิ่นนานเพียงไหน ญ.... คืนวัน ผ่านไปไม่มีความหมาย พร้อม นับวันนี้เธออยู่ภายในใจ และหวังเพียงได้ครอง รักจนตราบนานตลอดไป ช.... ฝากคำสัญญา ฝากวาจา รักเธอไม่เสื่อมคลาย ญ.... หมื่นพันสัญญา ร้อยวาจา หนึ่งเดียวที่เข้าใจ ช..... รอคอย ผ่านวันเนิ่นนานเพียงไหน ญ.... คืนวัน ผ่านไปไม่มีความหมาย พร้อม.... นับวันนี้เธออยู่ภายในใจ และหวังเพียงได้ครอง รักจนตราบนานตลอดไป นับวันนี้เธออยู่ภายในใจ และหวังเพียงได้ครอง รักจนตราบนานตลอดไป...
ในอีกนามปากกานึงค่ะแบบสาวนาอ่านแล้วลบนะคะเพราะย้วยจัดค่ะและคงไม่ค่อยเกี่ยวกับงานนะเพียงมาฝากคำ..
คืนนี้.... ฝนพรำตลอดเวลา ให้สาวนานอนดายเดียวเหว่ว้า ดูม่านฝนในมุ้งขาว กับ ละอองไอฝนเย็นๆ ที่ปล่อยให้พัดพรายผ่านเข้ามา ให้ได้ความสดชื่น ได้กลิ่นละอองเกสรดอกไม้ป่า และดอกไม้ไทยนานาพรรณ ใกล้ชายคา... มะลิลามะลิซ้อนโมกอรชร ดวงดอกมะลิวัลย์จันทร์กระพ้อ กอราตรีระร่ำรสสดเศร้า เคล้าคลอให้ยิ่งหนาวใจ และกับกลิ่นหอมหอม หวานหวานของดอกจำปีจำปา มาตามพรายฝนพร่าง.. ในท่ามกลางแสงตะเกียงอันริบหรี่.. สาวนา ชอบฤดูฝนแม้นจะไร้คนในฝัน มานอนออดอ้อนให้ไออุ่นละมุนทรวง มาฟังเสียงหยาดฝนร่วงกระทบรวงข้าว และชายคาจาก เปาะๆแปะๆไปด้วยกันก็ตามที ********** สาวนา..คนซื่อ จึงจำรำงับ ดับความคิดถึงคะนึงหาอ้ายด้วยการ หมุนหาเพลงไทยลุกทุ่งไพเราะๆฟัง จะเข้าท่าเข้าทีจะดีกว่า ที่จะนอนฝันดายเดียวเดียวดาย ******** ฝนเดือนหก รุ่งเพชร แหลมสิงห์ : : Key F โอ๊บ โอ๊บ ย่างเข้าเดือนหก ฝนก็ตก พรำพรำ กบมันก็ร้อง งึมงำ ระงมไปทั่ว ท้อง นา ฝนตกทีไรคิดถึงขวัญใจ ของข้า แม่ดอกโสน บ้านนา น้องเคยเรียกข้า พ่อดอกสะเดา ย่างเข้าเดือนหก ฝนก็ตก โปรยโปรย หัวใจพี่ร้อง โอยโอย คิดถึงแม่ดอก บานเช้า ฝนตกลงมา คิดถึงขวัญตา น้องเจ้า ไม่เจอะหน้าน้อง แม้เงา หรือลืมรักเราเสียแล้วแก้วตา ถามว่าฝนเอย ทำไมจึงตก ตอบว่าฝนตกเพราะกบมันร้องเรียกฝนบนฟ้า ถามว่าพี่เอยทำไมร้องไห้ และหลั่งน้ำตา ตอบว่าหัวใจ ของข้า คิดถึงแก้วตา จึงร้องไห้ ย่างเข้าเดือนหก ฝนก็ตก ปรอยปรอย พี่ยังมาหลง ยืนคอย น้องจนพี่ปวด หัว ใจ ฝนตกพรำพรำ พี่ยิ่ง ระกำ หมองไหม้ พี่ต้องตากฝน ทนหนาวใจ น้องจากพี่ไปเมื่อเดือนหกเอย ถามว่าฝนเอย ทำไมจึงตก ตอบว่าฝนตกเพราะกบมันร้องเรียกฝนบนฟ้า ถามว่าพี่เอยทำไมร้องไห้และหลั่งน้ำตา ตอบว่าหัวใจ ของข้า คิดถึงแก้วตา จึงร้องไห้ ย่างเข้าเดือนหก ฝนก็ตก ปรอยปรอย พี่ยังมาหลง ยืนคอย น้องจนพี่ปวด หัว ใจ ฝนตกพรำพรำ พี่ยิ่ง ระกำ หมองไหม้ พี่ต้องตากฝน ทนหนาวใจ น้องจากพี่ไปเมื่อเดือนหกเอย... ******** ฟังเพลงแล้ว สาวนาจึงไล้แสงตะเกียงเคียงหัวนอน ให้โชนขึ้นเพื่อ อ่านหนังสือ*ธรรม*และ สวดมนต์ภาวนาแผ่เมตตา ให้แก่ทุกสรรพสัตว์ในหล้าโลกนี้ ที่ได้ยินข่าวว่า ยังมีการรบราฆ่าฟันกันอยู่ทุกหัวระแหง มีแต่ความแรงร้อนไปทั่ว กลั้วด้วยหยาดน้ำตาของผู้สูญเสีย และ หลวงพ่อเพียรเทศน์ ให้รู้เท่าทัน ให้ระลึกรู้ว่า ชีวิตคนเรานั้นแสนสั้นนัก มิพักต้องรีบพากันตาย ใช้วิธี แบบโหดเหี้ยมใหดร้ายทารุณ และ ยิ่งทำให้โลกละมุนแล้งไร้ สิ้นไร้ความเมตตามากขึ้นๆ มีแต่กิเลสตัณหาความอยาก ที่จะช่วงชิงความเป็นใหญ่เป็นโต จนพาโลกไปสู่สงครามสู่ความขัดแย้งทางการมือง ที่ทำอย่างไรคิดอย่างไร สาวนาก็คิดได้คิดดี คิดตามอย่างที่หลวงพ่อสอนว่า มนุษย์มนามากมาย ช่างใช้ชีวิตเปล่าเปลืองเสียเวลาเสียนี่กระไร น่าที่จะหันมาทำความเข้าใจกัน หันหน้ามาใช้สติปัญญาแก้ปัญหา รู้รักสามัคคีรักษาสิ่งแวดล้อมโลกจะเข้าท่าเข้าทีจะดีกว่า เหมือน อนาคตท่านผู้หญิงหมายเลขหนึ่ง ของคนฝรั่งอเมริกา ที่สาวนาได้ยินจาก วิเคราะห์ข่าวเช้าวันหนึ่งทางวิทยุว่า เธอ..ร่ำรวยมหาศาล หากยังขัดห้องน้ำเอง และเป็นตัวของตัวเองทุกเรื่องราว เท้าติดดิน ที่สำคัญเธอเป็นนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโลก มิได้เสวยสุขทิ้งโศกไว้ให้คนจน คนชั้นกลางนักวิชาการรับมือแก้ปัญหาไปลำพัง สาวนาจึงหวังแบบลมๆแล้ง แบบสาวบ้านป่าบ้านนอก อยากบอกให้ชาวโลกได้รับรู้ ตามประสาชาวบ้านๆว่า เลิกบ้าวัตถุที่กินไม่ได้เสียที น่าที่จะหันมาพัฒนา มาปลูกพืชพันธุ์แบ่งปันกันกินจะดีกว่า มาถวิลคิดว่าโลกกำลังจะอดตาย เด็กๆมากมายกำลังจะอดตาย อย่างเด็กในแอฟริกาและบังคลาเทศ เนื่องจากภัยพิบัติมากมายมากมี และ ไม่นานช้าโลกนี้อาจจะถึงกาลเวลา น้ำท่วมฟ้าปลากินดาว และอาจจะราวทะเลทรายเพราะ สิ้นไร้วงจรดินน้ำลมไฟไม่ปรกติสุข โรค..ระบาดก็มิพลาดที่จะตามมา ซึ่งเบื้องหลังนั้น นักวิชาการ แพทย์ทั่วโลกต่างพากันแสนโศกใจ เมื่อตามรับมือกับโรคใหม่ๆแทบไม่ทัน อย่างที่สาวนาได้ยินได้ฟังจากข่าววิทยุ และ จากที่ หลวงพ่อนักพัฒนา เพียรพยายาม บอกชาวบ้าน ถึงโครงการเรียบง่ายหากงดงาม โครงการ*ป่ารักษ์น้ำ* และทั้งห้ามและขอร้อง ให้ช่วยกันเลิกทำลายป่าเสียที ที่นะบัดนี้จะเหลือเพียงหยิบมือเดียวแล้ว หากไม่ช่วยกันแลเหลียวและคิดว่าเป็นธุระของตัว หลวงพ่อบอกว่าเราชาวป่าชาวบ้าน ยังมีความคิดจิตใจ ดีกว่า ข้าราชการหรือคนในเมืองบางคน ที่วนหาแต่เรื่องวัตถุมาสะสมมาเครียด และคิดแต่จะคอรัปชั่นโกงกินแผ่นดิน เราถึงจะเป็นชาวนาชาวดิน แต่ยังมีใจดวงใส ดวงมิสิ้นคุณธรรม มิห้ำหั่นราวไร้มโนธรรมเอารัดเอาเปรียบใคร ไม่ทำลายผืนดินและทรัพยากรชาติ และจงสร้างภาคภูมิใจก่อนจะตาย ดีกว่า ว่าไม่เสียชาติเกิด อย่าเอาแต่ได้ ไร้สำนึก.. จงระลึกรู้ ที่จะแสดงกตัญญุตาต่อผืนดินเถิด ที่จะประเสริฐกว่า..การฆ่าฟันกัน ทุกหย่อมหญ้าอย่างไร้เหตุผล เพราะมัวเมาหลงอัตตา ความบ้าอำนาจที่จะแย่งชิงสิ่งที่มิใช่ของตัว สาวนา.. คิดอะไรไกลตัวมากแล้ว เลยพยายามนั่งสมาธิจะดีกว่า ขอแค่คิดว่า เพียงเราทุกคนทำหน้าที่ตัวเองอย่างดีที่สุด อยู่ในโลกนี้อย่างมาโอบเอื้อแบ่งปันพึ่งพิงพึ่งพา ก็น่าจะสมถะเพียงพอพอเพียงแล้ว เหมือนสาวนา ที่คืนนี้ขอนอนหลับเอาแรงพักผ่อน ไว้ลุกขึ้นมาทำนาทำไร่ ให้ได้ผลพอเพียงเพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงไปยังผู้อื่น และ หวังไว้แค่ว่า.. เช้ามาจะไปเก็บเห็ดในป่า หาเลี้ยงชีพชอบประกอบกิจประกอบกิน ที่หากยังมีสิ้นผืนดินมิสิ้นแรงสิ้นชีพ อาจจะได้ประกอบกาย ได้ปลูกข้าวเลี้ยงชีวิตชาวเมือง แทนเปล่าเปลืองวัตถุ ที่ได้แต่ถือแต่หามาไว้ ประเทืองประทับประดับบารมี หากชีวีหากินได้ไม่.. สาวนาหัวใจสะออน จึงขอนอนหลับไม่ฝัน หากจะฝัน ก็ขอแค่ให้ฝันเห็นแค่เห็ดเห็ดเห็ดและเห็ดเพียงนั้น เพราะสองวันมานี้อากาศอ้าว ฝนทิ้งช่วงมาสองสามวัน เห็ดโคนอันแสนอร่อยราคาแพง คงจะพากันแทงขึ้นมาจากรังปลวก เต็มไปหมดแล้ว.. เห็ดโคนที่จะมีจะมาราวเดือน8ถึงเดือน11 และราคาเห็ดก็กิโลละตั้งหลายร้อยบาท ว่าแล้วสาวนาก็จะพลาดได้อย่างไรกันเล่า จำต้องพาร่างและหัวใจน้อยๆ ราวลอยล่องท่องไปในทะลเห็ดเห็ดเห็ด สีสวยสล้างนะกลางป่าเขียวไพล พาใจนอนคิดคิดคิดไปจนเข้าสู่นิทรา.อย่างแสนสุข ........................ เช้าแล้ว น้ำค้างแก้วหยาดสายระริน แว่วๆ เสียงไก่เถื่อนขันเทือนไปทั้งป่า ฟ้าหลัวๆเริ่มรุ่งรางสว่างจ้ารำไรๆ นกไพรร้องหาคู่ ดุเหว่ายังร้องเพลงหวานแว่วแผ่วเพลงเดิมเดิม มาเติมต่อให้ หัวใจสาวนาอิ่มเอม เริ่มบรรเลงงานกิจวัตรประจำวันจนแล้วเสร็จ.. สาวนา.. ค่อยๆพาตัวเองเดินไปตามเส้นทางสายเล็กๆ ที่ทอดขึ้นไปสู่ภูอันแน่นทึบไปด้วย ต้นไม้ใหญ่ๆที่ยังสานใบปกคลุมกัน สาวนารู้ว่าภายใต้ป่าใหญ่ไพรกว้างอันรกเรื้อนั้น ที่ยังมีเถาวัลย์หญ้ามอสเขียวครึ้ม จะมีรังปลวกที่อพยพหนีทิ้งไป ทิ้งรังไว้ให้เห็ดโคนเติบโตใต้ดินลึก ที่มีใบไม้ทับถมห่มคลุมผืนดิน ให้มีความชื้นพอเหมาะพอดี ที่กะเปาะเห็ดจะแตกดอกระดะออกมา และเพราะเหตุที่ว่า กว่าจะหาพบต้องใช้ประสบการณ์สูง อย่างสาวนา ที่จะรู้ว่านะจุดไหนในดินที่จะมี เช่นตามพื้นดิน หรือขอนไม้ผุในหน้าฝน ซึ่งเห็ดจะปนกันมากมาย มีสีแตกต่างกัน เช่น สีแดง สีเหลือง สีดำ และยังมากมายหลายพันธุ์ จนกระทั่งบางทีสาวนา ก็ขอบคุณฟ้าดินเหมือนกัน ที่ราวสวรรค์มีตา พาให้ชาวบ้านป่าบ้านดอยได้ดำรงชีพชอบ ด้วยการเก็บของป่าที่มากับฤดูกาล แม้การเก็บเห็ดจะมีให้ปีละครั้ง แต่ก็แสนคุ้มค่าเพราะราคาดี แม้นจะมีดินคลุกปน ต้องทนเอาไปทำความสะอาด ก่อนจะปรุงอาหารให้มีรสชาติหวานหอม และ อาชีพหาของป่าหรือว่ามาเก็บเห็ดนี้ ใช่ฟ้าจะประทานมาให้ใครทำได้ เพราะเห็ดบางชนิดกินแล้วถึงตายได้ ต้องเลือกเก็บหรือกินเฉพาะเห็ดที่รู้จัก และหากมีสีสดๆมักจะมีพิษ บางทีต้องอาศัยความสังเกตคอยเฝ้าดู ว่าแมลงสัตว์กินไหม ถ้าสัตว์กินได้คนถึงจะกินได้ แต่ต้องมั่นใจเต็มร้อย ต้องค่อยๆศึกษาดู เพราะว่าอย่างนกกินได้ แล้วอาจจะไปกินอะไรอีกอย่างมาแก้กัน ใช่จะกินตามไป ไม่ดูตาม้าตาเรือ และ ต้องจดจำจากคนโบร่ำโบราณ ที่ผ่านการหาของป่ามายาวนาน ใช่ว่า..ผลไม้ของป่าทุกอย่างจะเก็บกินสุ่มสี่สุ่มห้าได้หมด นี่คือเรื่องงามงดงดงามของชีวิตชาวนาชาวป่า ที่เกิดมาต้องหาเพียรเสาะหาหาอาหารมากินเอง ใช่จะกระเตงไปสั่งตามร้านได้ซะที่ไหนล่ะ และ นี่คือชีวิตคนไพรคนป่า ที่เกิดมาต้องเพียรยังชีพ ด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเองตามมีตามเกิด ที่ประเสริฐ กว่าพวกนั่งโต๊ะในห้องแอร์เย็นๆ ที่คอยแต่จะคดโกง เป็นพรสวรรค์พรแสวงแขนงหนึ่ง ที่ธรรมชาติให้มาแบบไม่เลือกที่รักมักที่ชัง และ ให้มนุษย์ได้สำนึกว่าอย่ามาเบียดเบียน ทำลายปล่อยให้ทุกอย่างโอบเอื้อ ซึ่งกันและกัน และกับวันนี้ สาวนา..แสนดีใจที่ เก็บเห็ดได้เต็มตะกร้า พาให้หัวใจสาวนาอิ่มเอิบราวเห็ดโคนโดนฝนเลย ในท่ามกลางสายลมแรง กับละอองฝนโปรยปราย ให้อากาศแสนเยียบเย็น สาวนาค่อยๆเร้นร่างหลบหนาว เข้าไปภายใต้ร่มไม้ใบบัง และทำไมนะสาวนา ถึงละหลั่งรินน้ำตา เมื่อคิดไปว่า.. อ้ายคนดีคนที่ชอบเห็ด.. ป่านนี้ให้ใครเด็ดดวงใจไปครอบครองเสียแล้ว ให้ไปทำอาหารเห็ดจานเด็ดจานอร่อย ปรุงปรนป้อนปาก จนลืมสาวนาคนยาก ผู้สาว ผู้จงรักภักดี.!!! ********* ความรักเหมือนเห็ดละโง้ก ศิริพร อำไพพงษ์ : : Key C ความรักของผู้ชาย คิดไปเหมือนเห็ดละโง้ก ยามฝนตกเห็ดละโง้ก ก็เริ่มจะบาน เริ่มจะโตเป็นไข่ ใหญ่มาก็ตูมแล้วบาน ใช้เวลาไม่นาน ดอกที่บานก็เริ่มโรยรา เหมือนรักพี่ แค่เพียงสบตา แล้วก็มา สัญญาว่าจะรักมั่น ครั้นผู้หญิงใจอ่อน ใจอ่อนถอดตัวไม่ทัน รักไม่เคยข้ามวัน ใจพี่นั้นก็เริ่มเปลี่ยนแปร ลำ ใจชายแน่ หัวใจพลิกแผงมีแดงหรือบ่ ลืมไวกะด้อหน้ออ้ายซางเป็น ใจน้องเต้นเห็นพี่ทำทรง เลยตกลงฮักมักชายจริงแท้ เลยมาแพ้ชายแปรเป็นอื่น วันคืนกะด้อใจก็เปลี่ยนผัน ใจอ้ายนั่นมันมักลืมไว ซางมาคือกันหลาย วางเห็ดในโอ้ง ฝนตกล่ะยังไม่ทันเท่าใด ก็กลายเป็นไข่ขึ้นมา แล้วก็จูมดังว่า ต่อมาก็บานเป็นใบ ต่อจากนั้น เก็บมันก็แกงกินไป เก็บไม่ทันเมื่อไหร่ ดอกใบร่วงหล่นลงดิน ลำ ถือขมิ้นตั๋วกินตั๋วเก่ง ถือขมิ้นตั๋วกินตั๋วเก่ง ยามมักกระเด่งเด่งเข้าไม่หาย บาดห่าได้บ่เห็นไข่เห็นโต กระลืมไวพะโล้หน่ายโตชายเด้ หวังเอาเท่คือเห็นในไข่ บัดว่าไข่แตกแล้วมีตั้งแต่หนอน สาวเดือดฮ้อนย้อนได้พี่คือเห็ด มาลืมไวใจเด็ด ว่าแม่นเห็ดอยูในโคก ว่าแม่นเห็ดอยู่ในโคก ความรักดังเห็ดละโง้ก ยามฝนตกกะโสกโหลกโสกเลก บานแล้วเก็บไม่ทัน เห็ดเหล่านั้น ก็เนาตายเอดเลด ความรักดังเห็ดละโง้ก ยามฝนตกกะโสกโหลกโสกเลก บานแล้วเก็บไม่ทัน เห็ดเหล่านั้น ก็เนาตายเอดเลด ความรักดังเห็ดละโง้ก ยามฝนตกกะโสกโหลกโสกเลก บานแล้วเก็บไม่ทัน เห็ดเหล่านั้น ก็เนาตายเอดเลด...
อ่านจบ แล้วคงตาลายเลย เพราะก๊อบมาจากเวบค่ะ ยังไม่วางวรรคตอนค่ะ จริงๆ บรรทัดสั้นๆค่ะ ทำให้น่าอ่านกว่านี้นะ ลบด้วยและจะยุติการลงอีกแล้วค่ะ เด๋วตกใจว่ามากมายจัง นี่แค่เศษเสี้ยวนึงค่ะคนดี รีบลบนะคะ
พิธีมอบรางวัลเกียรติคุณทางการแสดงครั้งที่ 3/2548 สนับสนุนและอนุเคราะห์โดย หอภาพยนตร์แห่งชาติ กรมศิลปากรวันศุกร์ ที่ 25ส.ค. 2549 ณ โรงภาพยนตร์ หอภาพยนตร์แห่งชาติ ท่าวาสุกรี รางวัลเกียรติคุณสดุดีนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมในบทนำ ได้แก่ ลลนา สุลาวัลย์ จาก "วัยอลวน 4 ตั้ม-โอ๋ รีเทิร์น"

เมื่อพายุพัดผ่านไป ฟ้าจะแจ่มใสขึ้นค่ะ

^___^

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท