เด็กวัฒฯ
สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดกำแพงเพชร คนวัฒนธรรม

วัฒนธรรมการเมืองของไทย


การแก้ปัญหาการเมืองไทยนั้นจะต้องทำให้ประชาชนเข้าใจ ในการเมืองอย่างแท้จริงว่าการเมืองนั้นมีความสำคัญต่อประเทศอย่างมากเพราะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างเศรษฐกิจที่ดี

           นาน ๆ  ข้าพเจ้าจะได้ดูละครทางทีวีซักที  เพราะเบื่อเนื้อหาในละครที่มักจะเป็นเรื่องทะเลาะวิวาทแย่งผู้ชายหรือพระเอก  การแสดงความอิจฉาริษยากัน  การเอารัดเอาเปรียบหรือขี้โกงซึ่ง ๆ  หน้า  ดูแล้วเกิดความหงุดหงิดรำคาญใจ  จึงหันไปดูอย่างอื่นดีกว่า  แต่เผอิญวันหนึ่งในครอบครัวเขาดูละครทีวีเรื่องหนึ่งอยู่  คือเรื่องปลาบู่ทอง  เลยหยุดลงนั่งดูไปด้วย  ผลก็เป็นไปแบบเดิม ๆ  คือหงุดหงิดในความโง่แบบ  บริสุทธิของนางเอก  เนื้อหาที่ดูคือเอื้อยได้เข้าวังเพื่อเป็นนางสนมของเจ้าชายแห่งเมืองพาราณสี  ซึ่งก็ได้รับการกลั่นแกล้งจากแม่พระเอกก็คือเจ้าชายนั่นแหละ  ที่สั่งให้คนสนิทหรือลูกน้องกลั่นแกล้งต่าง ๆ  นานา  ที่มันน่ารำคาญใจก็คือ  ความโง่ของนางเอกที่ยอมให้เขากลั่นแกล้งอยู่ได้  ครั้งแล้วครั้งเล่าแทนที่จะต่อสู้หรือพยายามต่อสู้บ้าง  หรือขอให้คนอื่นช่วย  เจ้าชายก็อยู่แค่นั้นแต่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย  ฟังแต่คนสนิทของแม่  ( มเหสี )  รายงานอย่างเดียว  นางเอกก็ไม่ยอมบอกให้รู้  ยอมให้เขาแกล้งคงหวังจะเอาความดีชนะความชั่วตามสูตรสำเร็จของละครไทยนั่นเอง

 

 

          ละครเรื่องนี้สะท้อนอะไรออกมาบ้าง  ในสังคมไทย  เอื้อยถูกมเหสีรังแก  แต่ไม่ยอมพูด  เหมือนคนไทยส่วนใหญ่  ที่ยอมรับชะตากรรมไม่ยอมบอกความจริงที่เกิดขึ้นในวิถีชีวิตแห่งตน  ในสังคมไทยคนไทยถูกปลูกฝังให้เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน  จะด้วยเหตุนี้หรือเปล่าที่ทำให้คนไทยไม่กล้าพูดกล้าแสดงออก  ซึ่งเป็นการเข้าใจผิดกับความหมายของการอ่อนน้อมถ่อมตน  วิถีชีวิตของคนไทยตั้งแต่เด็กจะถูกสอนให้เชื่อฟังผู้ใหญ่  รู้กาลเทศะ  ไม่ว่าผู้ใหญ่จะผิดหรือถูก  ก็ต้องนิ่งเฉย  ซึ่งก็คือการยอมรับโดยปริยาย  ถ้าพูดก็จะถูกว่าเป็นคนแข็งกระด้าง  ไม่รู้การะเทศะ  ผู้ใหญ่ไม่ชอบ  ก็จะชอบได้อย่างไรเมื่อไปเถียงหรือวิพากษ์วิจารณ์ผู้ใหญ่  ถ้าอยากเป็นที่รักของผู้ใหญ่ก็ต้องปรับพฤติกรรม  เชื่อฟังผู้ใหญ่แต่โดยดีตามคติ  เดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด  นั่นแหละ

 

                                พอเติบโตขึ้นมาเข้าโรงเรียน  จากการที่ได้ปลูกฝังในวัยเด็ก  จึงไม่กล้าพูด  กล้าแสดงความคิดเห็น  ครูบางคนก็ชอบอยู่แล้ว  ( ก็คนไทยนี่ครับ )  ที่นักเรียนว่านอนสอนง่าย  บอกอะไรก็เชื่อไปหมด  ไม่โต้แย้ง  เรียนรู้เรื่องหรือไม่  ก็ไม่บอก  นิ่งอย่างเดียวอาจยิ้มไปด้วย  ครูก็แสนดี  การที่เด็กแสดงออกอย่างนี้ก็คือการรับรู้เข้าใจไปหมด  ก็สอนเก่งนี่  นักเรียนไม่ถามถือว่าเข้าใจ  รู้เรื่องดี  ถ้าจะมีนักเรียนคิดนอกกรอบมาบ้าง  ก็ถูกตักเตือนว่า  ไม่สนใจฟัง  คิดอะไรแผง ๆ  เป็นตัวปัญหาของห้องเรียน  อาจโดนเพื่อนว่า  ก็เพื่อนจะเอาใจครู  วัฒนธรรมการประจบประแจงเริ่มเกิดขึ้น  หนัก ๆ  ก็เป็นการประจบสอพลอไปโดยไม่รู้ตัว 

        พอย่างเข้าสู่วัยทำงาน  ประสบการณ์ชีวิตที่ได้รับมาถูกนำมาใช้  ถ้าอยากเจริญก้าวหน้าก็ต้องเชื่อผู้นำ  จึงไม่แปลกการทำงานในหน่วยงานต่าง ๆ  โดยเฉพาะในระบบราชการ  ความคิดเห็นต่าง ๆ  ที่ออกมามันก็คือความคิดเห็นของหัวหน้างานนั่นแหละ  เป็นลูกร้องไม่มีสิทธิที่จะพูดหลอก  พูดออกไปถ้าไม่ตรงความคิดของหัวหน้า  ก็อาจไม่มีอนาคต  ไม่เจริญก้าวหน้าในอาชีพ  เผลอ ๆ  อาจตกงานในที่สุด  ฉะนั้นงานที่จะทำออกมาก็ต้องเป็นไปตามแนวคิดของหัวหน้า  ผลงานไม่ดีก็ต้องพยายามพูดชี้แจงว่าดี  ข้อมูลสถิติต่าง ๆ  ก็มักจะถูกปั้นแต่งให้มันดีกว่าความเป็นจริง  เพื่อรายงานหน่วยเหนือต่อไป  หลอกกันมาเป็นทอด ๆ  จากหมู่บ้านสู่จังหวัด  จากจังหวัดสู่ประเทศ  ระดับรัฐมนตรีก็ได้แต่นั่งยิ้มในผลงานที่ออกมา  ประชาชนจึงมักเห็นข้อมูลที่ตรงกันข้ามเสมอ  เช่น  หมู่บ้านนี้ปลอดคนไม่รู้หนังสือ  เพียงเวลาไม่กี่ปีต้องมาเริ่มต้นโครงการรักการอ่านกันใหม่  หมู่บ้านนี้ปลอดยาเสพติค  แต่มีข่าวจากด่านตำรวจโชว์ฝีมือการจับกุมยาเสพติดได้เรื่อย ๆ  ประเทศไทยเศรษฐกิจกำลังดีขึ้น  เมื่อไปคุยกับพ่อค้า  กลับบ่นขายไม่ได้เลย  ร้านอาหาร  โรงแรม  เงียบไม่ค่อยจะมีคนมาใช้บริการ  นี่แหละเขาเรียกว่าเศรษฐกิจดีล่ะ  นักเรียนไทยเก่ง  เรียนสอบผ่านยกชั้น  แต่พอสอบโดยข้อสอบมาตรฐานกลางของประเทศ  ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนตกทั้งประเทศ  ข้ออ้างที่ใช้กันคือข้อสอบไม่ดี  ไม่ครอบคลุม  วัดไม่ตรงจุด  นักเรียนเลยสอบไม่ได้  ไม่เคยโทษตัวนักเรียน  ครูผู้สอน  นโยบายของผู้บริหารโรงเรียน  ระบบการทำงานในวงการศึกษา

       คราวนี้หันมาที่การเมืองบ้าง  มีคำกล่าวที่ว่า  วัฒนธรรมการเมืองคือส่วนย่อยของวัฒนธรรมสังคม  เราจะพิจารณาองค์ประกอบของวัฒนธรรมการเมืองของแต่ละสังคมได้  โดยดูจากความคิด  ค่านิยม  ทัศนคติของพลเมืองที่มีต่อระบบการเมืองการปกครองในสังคมของตนเอง  เมื่อวิถีชีวิตของคนไทยถูกกำหนด  ถูกปลูกฝังมาอย่างนี้  จึงเป็นเรื่องไม่แปลกที่นักเรียนสอบไม่ผ่านก็เป็นเพราะข้อสอบไม่ดี  ระบบการเมืองมีปัญหา  ก็เพราะรัฐธรรมนูญไม่ดี  ไม่คิดไปโทษวิถีชีวิตของคนไทย  โทษนักการเมืองขาดคุณธรรม  โทษระบบการทำงานของพรรคการเมืองที่ไม่สามารถตรวจสอบคนที่จะส่งเข้ารับการเลือกตั้ง  ปัญหาซื้อสิทธิ์ขายเสียง  ปัญหาทุจริตคอรัปชั่น  ปัญหานักการเมืองขาดคุณธรรมจึงมีอยู่ทั่วไป  แต่ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองกลับมองไม่เห็น  หรือเห็นก็ไม่คิดจะแก้  มองข้ามปัญหาไปหมด  ก็นั่งคอยดูรายงานเท็จที่หน่วยงานเสนอขึ้นมาตลอดเวลานั่นแหละ  ถ้ามีใคร  หรือหน่วยงานไหนรายงานตามความจริง  หัวหน้า  ผู้บริหาร  หรือจะเป็นผู้นำก็แล้วแต่  จะยอมรับไม่ได้  การแก้ปัญหาก็ไปลงโทษคนรายงาน  หรือไม่ก็หน่วยงานนั้น  โดยไม่คิดจะเข้าไปช่วยกันแก้ปัญหาอย่างกัลยาณมิตร  ช่วยด้วยอัชฌาสัยที่ดีงาม  พร้อมจะให้ความช่วยเหลือในการแก้ปัญหา  แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่มันจะได้ข้อมูลที่แท้จริงเล่าครับ  ซึ่งก็เข้ากับวิถีชีวิตของคนไทย  ที่ไม่กล้าที่จะพูดความจริงกับหัวหน้า  หรือผู้ใหญ่  การประจบสอพลอจึงมีอยู่ทั่วไปในหน่วยงานต่าง ๆ  ถ้ารักจะก้าวหน้าในชีวิตการทำงาน  ก็ต้องหัดไว้  แล้วหัวหน้าจะสนับสนุนให้ได้ดีไปเอง

          เราปฏิเสธไม่ได้ว่า  การเมืองมีส่วนสำคัญกับการดำเนินชีวิต  เป็นส่วนหนึ่งของสังคม  แม้หลายคนจะเอือมระอากับสภาพการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทยแต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้วัฒนธรรมทางการเมืองที่ประชาชนไทยมีความเข้าใจในการเมืองน้อยและไม่ค่อยสนใจ  จากการสำรวจความคิดเห็นของคนไทยจากเอเบ็คโพล  คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่รู้เลยว่ารัฐธรรมนูญ  ปี  2540ต่างจากรัฐธรรมนูญ  ปี  2550  อย่างไร  จึงเป็นวัฒนธรรมทางการเมืองแบบคับแคบไม่มีความรอบรู้ในข้อมูลข่าวสารซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ  ส่วนคนที่รู้และเข้าใจดีแต่ไม่สนใจที่จะเข้ามาดำเนินกิจการทางการเมืองเพราะเบื่อนักการเมืองและประชาชนที่มุ่งหาประโยชน์ ใส่ตน ( ชอบให้มีการซื้อสิทธิขายเสียง )  และทำตามความต้องการโดยไม่อยากทำงาน  ( ขี้เกียจ   คิดใกล้   คิดสั้น ๆ   ชอบสบาย  หวังแต่พึ่งโชคชะตา )  เป็นวัฒนธรรมการเมืองแบบไพร่ฟ้า  ที่ขาดคือวัฒนธรรมการเมืองแบบมีส่วนร่วมในการสนใจ  ( ศึกษา  ฟังวิพากษ์วิจารณ์วิเคราะห์ )   การสนับสนุน  ( การไปใช้สิทธิ,การร่วมรณรงค์ )  การปฏิบัติการทางการเมือง  (เป็นสมาชิกผลักดันนโยบาย  ร่วมถอดถอนฝ่ายการเมือง )  ซึ่งไม่คอยจะมี

       จะเห็นได้ว่าโอกาสในการพัฒนาการเมืองไทยในอนาคตอันใกล้  ยังคงไม่พัฒนาเท่าใดนัก  เพราะนโยบายการศึกษาที่ขาดประสิทธิภาพ  ขาดการต่อเนื่อง  ขาดการวัดผลอย่างจริงจังและยังมุ่งเฉพาะการศึกษาในระบบยังขาดการนำเสนอภายนอกระบบที่ได้ผลเด่นชัด  ให้แก่ประชาชนทุกวัยได้มีการสนใจศึกษา  การอ่าน  การฝึกพูดโต้ตอบ  กล้าแสดงออกในสังคมด้วยสิ่งที่มีเหตุผล  ถูกต้องตามค่านิยมและวัฒนธรรม  กล้าคิดนอกกรอบบ้างแต่อยู่ในขอบเขต
         สรุป...การแก้ปัญหาการเมืองไทยนั้นจะต้องทำให้ประชาชนเข้าใจ  ( รู้,สามารถอธิบายได้เป็นคำพูดหรือเขียน  ปฏิบัติได้ )  ในการเมืองอย่างแท้จริงว่าการเมืองนั้นมีความสำคัญต่อประเทศอย่างมากเพราะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างเศรษฐกิจที่ดี  ( มีงานทำทั้งภาคประชาชน  ธุรกิจ  รัฐ )  เรียกว่ากินดี  อยู่ดี  การสังคมที่ดี  ( มีความปลอดภัยและมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สิน )เรียกว่าอยู่ดีและการพัฒนาเทคโนโลยี่ที่ดี  ( การสร้างความรู้สู่ความคิดสร้างสรรค์และนำจิตสำนึกที่ดีให้เกิดแก่ประชาชน )  นำไปสู่การมีสุขทั้งกายและจิตซึ่งการให้ประชาชนเข้าใจนั้นก็คือการพัฒนาการศึกษานั่นเองต้องมีนโยบายการศึกษาที่เร่งด่วนให้กระจายทุกภาคส่วนที่ได้รับความร่วมมือจากสื่อต่างๆที่เพิ่มช่องทางการศึกษาที่ไม่ใช่มีแต่เฉพาะที่สถาบันการศึกษาเท่านั้นให้ประชาชนทุกเพศทุกวัยทุกกลุ่มชนได้เข้าถึงการศึกษาแต่ละกลุ่มด้วยความเท่าเทียมกัน

       จากละครพื้นบ้านเรื่อง  ปลาบู่ทอง  ทำให้เข้าใจวิถีชีวิตของคนไทย  เข้าใจวัฒนธรรมสังคม  และเข้าใจวัฒนธรรมการเมืองในที่สุด  ชีวิตของเอื้อย  นางเอกปลาบู่ทอง  ที่โง่ซ้ำซาก  กับการที่จะพัฒนาการเมืองไทยยุคใหม่  สำหรับผมคงต้องทน  ยอมรับในสิ่งที่ตนเองไม่ชอบ  จนเหมือนกับเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน  และหวังว่ามันคงจะปรับเข้าสู่สมดุลในไม่ช้า

                                 โดย...วันชัย  กลิ่นหอม  นายกสมาคมสื่อสารมวลชน ฯ

หมายเลขบันทึก: 306861เขียนเมื่อ 19 ตุลาคม 2009 10:37 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 21:44 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท