นาน ๆ ข้าพเจ้าจะได้ดูละครทางทีวีซักที เพราะเบื่อเนื้อหาในละครที่มักจะเป็นเรื่องทะเลาะวิวาทแย่งผู้ชายหรือพระเอก การแสดงความอิจฉาริษยากัน การเอารัดเอาเปรียบหรือขี้โกงซึ่ง ๆ หน้า ดูแล้วเกิดความหงุดหงิดรำคาญใจ จึงหันไปดูอย่างอื่นดีกว่า แต่เผอิญวันหนึ่งในครอบครัวเขาดูละครทีวีเรื่องหนึ่งอยู่ คือเรื่องปลาบู่ทอง เลยหยุดลงนั่งดูไปด้วย ผลก็เป็นไปแบบเดิม ๆ คือหงุดหงิดในความโง่แบบ บริสุทธิของนางเอก เนื้อหาที่ดูคือเอื้อยได้เข้าวังเพื่อเป็นนางสนมของเจ้าชายแห่งเมืองพาราณสี ซึ่งก็ได้รับการกลั่นแกล้งจากแม่พระเอกก็คือเจ้าชายนั่นแหละ ที่สั่งให้คนสนิทหรือลูกน้องกลั่นแกล้งต่าง ๆ นานา ที่มันน่ารำคาญใจก็คือ ความโง่ของนางเอกที่ยอมให้เขากลั่นแกล้งอยู่ได้ ครั้งแล้วครั้งเล่าแทนที่จะต่อสู้หรือพยายามต่อสู้บ้าง หรือขอให้คนอื่นช่วย เจ้าชายก็อยู่แค่นั้นแต่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ฟังแต่คนสนิทของแม่ ( มเหสี ) รายงานอย่างเดียว นางเอกก็ไม่ยอมบอกให้รู้ ยอมให้เขาแกล้งคงหวังจะเอาความดีชนะความชั่วตามสูตรสำเร็จของละครไทยนั่นเอง
ละครเรื่องนี้สะท้อนอะไรออกมาบ้าง ในสังคมไทย เอื้อยถูกมเหสีรังแก แต่ไม่ยอมพูด เหมือนคนไทยส่วนใหญ่ ที่ยอมรับชะตากรรมไม่ยอมบอกความจริงที่เกิดขึ้นในวิถีชีวิตแห่งตน ในสังคมไทยคนไทยถูกปลูกฝังให้เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน จะด้วยเหตุนี้หรือเปล่าที่ทำให้คนไทยไม่กล้าพูดกล้าแสดงออก ซึ่งเป็นการเข้าใจผิดกับความหมายของการอ่อนน้อมถ่อมตน วิถีชีวิตของคนไทยตั้งแต่เด็กจะถูกสอนให้เชื่อฟังผู้ใหญ่ รู้กาลเทศะ ไม่ว่าผู้ใหญ่จะผิดหรือถูก ก็ต้องนิ่งเฉย ซึ่งก็คือการยอมรับโดยปริยาย ถ้าพูดก็จะถูกว่าเป็นคนแข็งกระด้าง ไม่รู้การะเทศะ ผู้ใหญ่ไม่ชอบ ก็จะชอบได้อย่างไรเมื่อไปเถียงหรือวิพากษ์วิจารณ์ผู้ใหญ่ ถ้าอยากเป็นที่รักของผู้ใหญ่ก็ต้องปรับพฤติกรรม เชื่อฟังผู้ใหญ่แต่โดยดีตามคติ เดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด นั่นแหละ
พอเติบโตขึ้นมาเข้าโรงเรียน จากการที่ได้ปลูกฝังในวัยเด็ก จึงไม่กล้าพูด กล้าแสดงความคิดเห็น ครูบางคนก็ชอบอยู่แล้ว ( ก็คนไทยนี่ครับ ) ที่นักเรียนว่านอนสอนง่าย บอกอะไรก็เชื่อไปหมด ไม่โต้แย้ง เรียนรู้เรื่องหรือไม่ ก็ไม่บอก นิ่งอย่างเดียวอาจยิ้มไปด้วย ครูก็แสนดี การที่เด็กแสดงออกอย่างนี้ก็คือการรับรู้เข้าใจไปหมด ก็สอนเก่งนี่ นักเรียนไม่ถามถือว่าเข้าใจ รู้เรื่องดี ถ้าจะมีนักเรียนคิดนอกกรอบมาบ้าง ก็ถูกตักเตือนว่า ไม่สนใจฟัง คิดอะไรแผง ๆ เป็นตัวปัญหาของห้องเรียน อาจโดนเพื่อนว่า ก็เพื่อนจะเอาใจครู วัฒนธรรมการประจบประแจงเริ่มเกิดขึ้น หนัก ๆ ก็เป็นการประจบสอพลอไปโดยไม่รู้ตัว
พอย่างเข้าสู่วัยทำงาน ประสบการณ์ชีวิตที่ได้รับมาถูกนำมาใช้ ถ้าอยากเจริญก้าวหน้าก็ต้องเชื่อผู้นำ จึงไม่แปลกการทำงานในหน่วยงานต่าง ๆ โดยเฉพาะในระบบราชการ ความคิดเห็นต่าง ๆ ที่ออกมามันก็คือความคิดเห็นของหัวหน้างานนั่นแหละ เป็นลูกร้องไม่มีสิทธิที่จะพูดหลอก พูดออกไปถ้าไม่ตรงความคิดของหัวหน้า ก็อาจไม่มีอนาคต ไม่เจริญก้าวหน้าในอาชีพ เผลอ ๆ อาจตกงานในที่สุด ฉะนั้นงานที่จะทำออกมาก็ต้องเป็นไปตามแนวคิดของหัวหน้า ผลงานไม่ดีก็ต้องพยายามพูดชี้แจงว่าดี ข้อมูลสถิติต่าง ๆ ก็มักจะถูกปั้นแต่งให้มันดีกว่าความเป็นจริง เพื่อรายงานหน่วยเหนือต่อไป หลอกกันมาเป็นทอด ๆ จากหมู่บ้านสู่จังหวัด จากจังหวัดสู่ประเทศ ระดับรัฐมนตรีก็ได้แต่นั่งยิ้มในผลงานที่ออกมา ประชาชนจึงมักเห็นข้อมูลที่ตรงกันข้ามเสมอ เช่น หมู่บ้านนี้ปลอดคนไม่รู้หนังสือ เพียงเวลาไม่กี่ปีต้องมาเริ่มต้นโครงการรักการอ่านกันใหม่ หมู่บ้านนี้ปลอดยาเสพติค แต่มีข่าวจากด่านตำรวจโชว์ฝีมือการจับกุมยาเสพติดได้เรื่อย ๆ ประเทศไทยเศรษฐกิจกำลังดีขึ้น เมื่อไปคุยกับพ่อค้า กลับบ่นขายไม่ได้เลย ร้านอาหาร โรงแรม เงียบไม่ค่อยจะมีคนมาใช้บริการ นี่แหละเขาเรียกว่าเศรษฐกิจดีล่ะ นักเรียนไทยเก่ง เรียนสอบผ่านยกชั้น แต่พอสอบโดยข้อสอบมาตรฐานกลางของประเทศ ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนตกทั้งประเทศ ข้ออ้างที่ใช้กันคือข้อสอบไม่ดี ไม่ครอบคลุม วัดไม่ตรงจุด นักเรียนเลยสอบไม่ได้ ไม่เคยโทษตัวนักเรียน ครูผู้สอน นโยบายของผู้บริหารโรงเรียน ระบบการทำงานในวงการศึกษา
คราวนี้หันมาที่การเมืองบ้าง มีคำกล่าวที่ว่า วัฒนธรรมการเมืองคือส่วนย่อยของวัฒนธรรมสังคม เราจะพิจารณาองค์ประกอบของวัฒนธรรมการเมืองของแต่ละสังคมได้ โดยดูจากความคิด ค่านิยม ทัศนคติของพลเมืองที่มีต่อระบบการเมืองการปกครองในสังคมของตนเอง เมื่อวิถีชีวิตของคนไทยถูกกำหนด ถูกปลูกฝังมาอย่างนี้ จึงเป็นเรื่องไม่แปลกที่นักเรียนสอบไม่ผ่านก็เป็นเพราะข้อสอบไม่ดี ระบบการเมืองมีปัญหา ก็เพราะรัฐธรรมนูญไม่ดี ไม่คิดไปโทษวิถีชีวิตของคนไทย โทษนักการเมืองขาดคุณธรรม โทษระบบการทำงานของพรรคการเมืองที่ไม่สามารถตรวจสอบคนที่จะส่งเข้ารับการเลือกตั้ง ปัญหาซื้อสิทธิ์ขายเสียง ปัญหาทุจริตคอรัปชั่น ปัญหานักการเมืองขาดคุณธรรมจึงมีอยู่ทั่วไป แต่ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองกลับมองไม่เห็น หรือเห็นก็ไม่คิดจะแก้ มองข้ามปัญหาไปหมด ก็นั่งคอยดูรายงานเท็จที่หน่วยงานเสนอขึ้นมาตลอดเวลานั่นแหละ ถ้ามีใคร หรือหน่วยงานไหนรายงานตามความจริง หัวหน้า ผู้บริหาร หรือจะเป็นผู้นำก็แล้วแต่ จะยอมรับไม่ได้ การแก้ปัญหาก็ไปลงโทษคนรายงาน หรือไม่ก็หน่วยงานนั้น โดยไม่คิดจะเข้าไปช่วยกันแก้ปัญหาอย่างกัลยาณมิตร ช่วยด้วยอัชฌาสัยที่ดีงาม พร้อมจะให้ความช่วยเหลือในการแก้ปัญหา แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่มันจะได้ข้อมูลที่แท้จริงเล่าครับ ซึ่งก็เข้ากับวิถีชีวิตของคนไทย ที่ไม่กล้าที่จะพูดความจริงกับหัวหน้า หรือผู้ใหญ่ การประจบสอพลอจึงมีอยู่ทั่วไปในหน่วยงานต่าง ๆ ถ้ารักจะก้าวหน้าในชีวิตการทำงาน ก็ต้องหัดไว้ แล้วหัวหน้าจะสนับสนุนให้ได้ดีไปเอง
เราปฏิเสธไม่ได้ว่า การเมืองมีส่วนสำคัญกับการดำเนินชีวิต เป็นส่วนหนึ่งของสังคม แม้หลายคนจะเอือมระอากับสภาพการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทยแต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้วัฒนธรรมทางการเมืองที่ประชาชนไทยมีความเข้าใจในการเมืองน้อยและไม่ค่อยสนใจ จากการสำรวจความคิดเห็นของคนไทยจากเอเบ็คโพล คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่รู้เลยว่ารัฐธรรมนูญ ปี 2540ต่างจากรัฐธรรมนูญ ปี 2550 อย่างไร จึงเป็นวัฒนธรรมทางการเมืองแบบคับแคบไม่มีความรอบรู้ในข้อมูลข่าวสารซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ส่วนคนที่รู้และเข้าใจดีแต่ไม่สนใจที่จะเข้ามาดำเนินกิจการทางการเมืองเพราะเบื่อนักการเมืองและประชาชนที่มุ่งหาประโยชน์ ใส่ตน ( ชอบให้มีการซื้อสิทธิขายเสียง ) และทำตามความต้องการโดยไม่อยากทำงาน ( ขี้เกียจ คิดใกล้ คิดสั้น ๆ ชอบสบาย หวังแต่พึ่งโชคชะตา ) เป็นวัฒนธรรมการเมืองแบบไพร่ฟ้า ที่ขาดคือวัฒนธรรมการเมืองแบบมีส่วนร่วมในการสนใจ ( ศึกษา ฟังวิพากษ์วิจารณ์วิเคราะห์ ) การสนับสนุน ( การไปใช้สิทธิ,การร่วมรณรงค์ ) การปฏิบัติการทางการเมือง (เป็นสมาชิกผลักดันนโยบาย ร่วมถอดถอนฝ่ายการเมือง ) ซึ่งไม่คอยจะมี
จะเห็นได้ว่าโอกาสในการพัฒนาการเมืองไทยในอนาคตอันใกล้ ยังคงไม่พัฒนาเท่าใดนัก เพราะนโยบายการศึกษาที่ขาดประสิทธิภาพ ขาดการต่อเนื่อง ขาดการวัดผลอย่างจริงจังและยังมุ่งเฉพาะการศึกษาในระบบยังขาดการนำเสนอภายนอกระบบที่ได้ผลเด่นชัด ให้แก่ประชาชนทุกวัยได้มีการสนใจศึกษา การอ่าน การฝึกพูดโต้ตอบ กล้าแสดงออกในสังคมด้วยสิ่งที่มีเหตุผล ถูกต้องตามค่านิยมและวัฒนธรรม กล้าคิดนอกกรอบบ้างแต่อยู่ในขอบเขต
สรุป...การแก้ปัญหาการเมืองไทยนั้นจะต้องทำให้ประชาชนเข้าใจ ( รู้,สามารถอธิบายได้เป็นคำพูดหรือเขียน ปฏิบัติได้ ) ในการเมืองอย่างแท้จริงว่าการเมืองนั้นมีความสำคัญต่อประเทศอย่างมากเพราะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างเศรษฐกิจที่ดี ( มีงานทำทั้งภาคประชาชน ธุรกิจ รัฐ ) เรียกว่ากินดี อยู่ดี การสังคมที่ดี ( มีความปลอดภัยและมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สิน )เรียกว่าอยู่ดีและการพัฒนาเทคโนโลยี่ที่ดี ( การสร้างความรู้สู่ความคิดสร้างสรรค์และนำจิตสำนึกที่ดีให้เกิดแก่ประชาชน ) นำไปสู่การมีสุขทั้งกายและจิตซึ่งการให้ประชาชนเข้าใจนั้นก็คือการพัฒนาการศึกษานั่นเองต้องมีนโยบายการศึกษาที่เร่งด่วนให้กระจายทุกภาคส่วนที่ได้รับความร่วมมือจากสื่อต่างๆที่เพิ่มช่องทางการศึกษาที่ไม่ใช่มีแต่เฉพาะที่สถาบันการศึกษาเท่านั้นให้ประชาชนทุกเพศทุกวัยทุกกลุ่มชนได้เข้าถึงการศึกษาแต่ละกลุ่มด้วยความเท่าเทียมกัน
จากละครพื้นบ้านเรื่อง ปลาบู่ทอง ทำให้เข้าใจวิถีชีวิตของคนไทย เข้าใจวัฒนธรรมสังคม และเข้าใจวัฒนธรรมการเมืองในที่สุด ชีวิตของเอื้อย นางเอกปลาบู่ทอง ที่โง่ซ้ำซาก กับการที่จะพัฒนาการเมืองไทยยุคใหม่ สำหรับผมคงต้องทน ยอมรับในสิ่งที่ตนเองไม่ชอบ จนเหมือนกับเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน และหวังว่ามันคงจะปรับเข้าสู่สมดุลในไม่ช้า
โดย...วันชัย กลิ่นหอม นายกสมาคมสื่อสารมวลชน ฯ
ไม่มีความเห็น