หลังจากกลับมาทำงานเป็นวิสัญญีพยาบาล เราได้ประสบการณ์ใหม่สุด ๆ ทั้งสถานที่ทำงาน เพื่อนร่วมงานที่มีแต่ผู้ทรง (ศีล) วัยวุฒิ การทำงาน การอยู่เวร การหมุนเวียนปฏิบัติงานในการให้ยาระงับความรู้สึกแต่ละแผนกเช่น ศัลกรรมทั่วไป ศัลกรรมเด็ก ศัลกรรมประสาท ศัลกรรมตกแต่ง ศัลกรรมระบบทางเดินปัสสาวะ ศัลกรรมทรวงอกและหลอดเลือด ศัลกรรมกระดูกและข้อ การผ่าตัดทางสูติ-นรีเวช การผ่าตัดจักษุ การผ่าตัดโสต ศอ นาสิก บอกได้เลยว่าโรงพยาบาลในระดับตติยภูมิแห่งนี้เป็นสถานที่ที่สั่งสมความเชี่ยวชาญทางคลีนิค ได้เป็นอย่างดี
แต่เมื่อการทำงานแบบเดิมๆ (routien) ที่ทำมา 5 ปี มันยังทำให้เรารู้สึกว่าเรายังขาดอะไรอีกหรือป่าวในชีวิตซึ่งจำได้ว่าเราจะต้องเรียนต่อปริญญาโท (ถ้ามีโอกาส) และแล้วโอกาสก็เป็นของผู้แสวงหา (เสมอ) เราสอบได้เรียนต่อในหลักสูตรปริญญาโท สาขาการพยาบาลผู้ใหญ่ ภาค (พิศดาร) พิเศษที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น เรียนวัน ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ งานเยอะและเรียนหนักเอาการเลย การบ้านเยอะ แต่เชื่อมั้ย.. ด้วยพื้นฐานของการเรียนวิสัญญีทำให้เราได้เปรียบเพื่อนๆ ในบางวิชา เช่น patho & phamacology โดยสามารถทำคะแนนได้ดีและทำให้เรามองคนไข้ได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น ตอนเรียนไม่รู้หรอกว่าจะเอาไปปรับคุณสมบัติอะไรบ้าง รู้แค่อยากเรียน สิ่งนี้เป็นแรงผลักดันให้เราต้องก้าวไป เรียนไป ถ้าเกิดอาการท้อก็หยุดและหา social support หรือ หาที่ปรึกษาสักคน เช่น รุ่นพี่ ที่เรียนสาขาเดียวกับเราเพราะน่าจะช่วยเราได้ จากประสบการณ์ของเค้าไง ต้องตอบโจทย์นี้ได้แน่นอน และนอกจากนี้ต้องได้อาจารย์ Advisor ที่พูดคุยกันได้ มองเห็นในแบบเดียวกัน ต้องขยันเข้าหาแลกเปลี่ยนพูดคุย ส่งงานตามเวลาอย่าเหลวไหล เพราะ สอนกันแบบ Adult learning จริงๆ มีกลุ่มเพื่อนที่รู้ใจสัก 3 - 4 คน ช่วยๆกันเรียน ช่วยกันทำงาน รับรอง จบภายใน 2 ปี แน่นอน เรื่องยากๆ ในชีวิต ที่สามารถพิชิตได้ด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจ
หลังจากนั้นพักผ่อนสัก 1 - 2 ปี พักสมอง แต่ระหว่างนี้ก็สืบค้นข้อมูลทางอิเล็กโทรนิกมานั่งอ่าน นั่งแปล เล่น ๆ ไม่ได้เก่งหรอกนะ อ่านเรื่อยๆ ทำให้เราเกิดความคิด เปิด โลกทัศน์ ให้ตัวเราเอง แบบว่านอกจากกะลานี้แล้ว ยังมีโลกที่กว้างใหญ่อีกนะ แล้วลองคิดดูว่าอยากพัฒนาอะไรในงานที่เราทำอยู่บ้าง เช่น นำดนตรี เพลง มาใช้ในการพยาบาลในระยะผ่าตัด (case SB) การพัฒนาแนวทางการจัดการความปวดหลังผ่าตัด การพัฒนานวตกรรมต่างๆ ที่ผลลัพธ์ของงานนั้นๆ ลดค่าใช้จ่าย ลดภาวะแทรกซ้อน ลดระยะเวลาของการนอนโรงพยาบาล ถ้าว่างลองทำดู พัฒนาจากงานประจำไปสู่การทำวิจัยเล็กในหน่วยงาน ทั้งนี้ต้องสร้างสัมพันธภาพ และลดความเป็นตัวตนลงเพื่อไม่ให้เกิดความแตกต่างนัก สร้างการยอมรับในศักยภาพของเราและพัฒนาร่วมกัน เมื่อผลงานดังกล่าวเชิงจะเข้าท่า เหมือนฟังดูดี จากนั้นก็ลองสมัครสอบเป็นผู้ปฏิบัติการขั้นสูงสาขาการให้ยาระงับความรู้สึก ได้เลย ผลสอบอยู่ในใจ (แอบลุ้นจนตัวโก่ง) ถ้ามีงานที่ชัดเจน หรือมีความเชี่ยวชาญที่ชัดเจน นั่นหละ 90% เป็นของคุณแล้วหละ อีก 10 % เผื่อไว้สอบใหม่ปีหน้าละกัน เอาน่า.. ไม่มีใครรู้จักเราดีเท่าตัวเราหรอก มั่นใจได้ สู้ ๆ คนอื่นยังสอบได้ ต้องมีวันของเรามั่งหละ
ไม่มีความเห็น