ชุนชนวิทยาศาสตร์ : วิทยาศาสตร์กระแสเศรษฐกิจพอเพียง
วันนี้ (24 ส.ค.48) คุณอ้อม (อุรพิณ ชูเกาะทวด) กับผมไปร่วมการเสวนาเรื่อง “นานาทัศนะ : ชุมชนวิทยาศาสตร์” ซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งในงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ จัดที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี การเสวนานี้จัดโดย สวทช.
ทางผู้จัดมีแนวความคิดที่ยอดเยี่ยมมาก ผมคัดลอกมาจากเอกสารบางส่วนดังนี้ “ชนบทไทยในขณะนี้กำลังถูกกระแสความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเช้าไปกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การเลือกใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาดจะช่วยให้ชุมชนรอดพ้นจากกระแสดังกล่าวนี้ และในบางสถานการณ์ยังสามารถนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อพัฒนาชุมชนของตนเองได้.... นอกจากนี้หากชุมชนสามารถสร้างการเรียนรู้ในทุกเรื่องของชุมชนด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ก็คาดว่าจะยิ่งทำให้ชุมชนมีความเข้มแข็ง พึ่งตนเองได้....”
ผมมีนิสัยที่ทั้งดีและไม่ดีอยู่ในตัวหลายอย่าง อย่างหนึ่งคือชอบเถียง ตอนเด็ก ๆ ก็เถียงออกมาเป็นคำพูด (จึงโดนผู้ใหญ่ตีทุกวัน) ตอนนี้แก่แล้ว จึงเถียงในใจกับตัวเอง ผมเถียงเรื่องนี้ว่า ชุมชนต้องไปไกลกว่าเลือกใช้เทคโนโลยี คือต้องเลือกเอามาปรับปรุงให้กลายเป็นเทคโนโลยีของตนเอง ซึ่งก็คือการเรียนรู้ของชุมชน แต่ผมคิดว่าการเรียนรู้ของชาวบ้านไม่ได้ใช้วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ แต่ใช้วิธีลองผิดลองถูก เมื่อลองถูกจึงจดจำไว้ใช้ต่อและบอกต่อ ผมจึงมองว่านักวิทยาศาสตร์/นักวิชาการต้องเข้าไปเรียนรู้ความรู้/เทคโนโลยีที่ชาวบ้านสร้างขึ้นจากการลองผิดลองถูก แล้วช่วยสร้างความรู้เพื่อสร้างคำอธิบายว่าทำไมวิธีการที่ชาวบ้านคิด/พัฒนาขึ้นจึงใช้การได้ดี ซึ่งจะช่วยให้ชาวบ้านสามารถทดลองหาวิธีการที่ยกระดับขึ้นไปอีกได้
การเสวนาโดยวิทยากร 6 ท่าน (ดังรูป) พุ่งไปที่ความรู้ ความเชื่อ ภูมิปัญญา ความสามารถของชุมชนในการเลือกเทคโนโลยีมาใช้ คือค่อนไปทางนามธรรม โดยที่เราจะได้ฟังข้อคิดเห็นดี ๆ มากมาย
แต่ผมกลับมองต่าง มองต่างมุม เพราะผมอยากได้ฟังการเสวนาว่า ทำอย่างไรวิทยาศาสตร์สมัยใหม่จึงจะเป็นประโยชน์ต่อคนในชนบท หรือในชุมชน
ผมได้ยกตัวอย่างป้าใจมา ปราชญ์ชาวบ้าน จ.พิจิตร ที่ผมเคยเล่าในบล็อกไว้แล้ว (click) เพื่อชี้ให้เห็นว่าชาวบ้านที่เป็นปราชญ์เรียนรู้โดยการดูดซับความรู้จากภายนอก แต่เมื่อรับรู้แล้ว ไม่เชื่อ ทำตามแบบเดิม เอามาคิดและหาทางทดลองหาวิธีการที่เหมาะสมต่อตัวเอง เป็นตัวอย่างวิธีสร้างความรู้หรือเทคโนโลยีโดยชาวบ้านเอง โดยการลองผิดลองถูก ในที่สุดได้ความรู้หรือเทคโนโลยีใหม่ที่เป็น know how แต่ไม่มี know why คือไม่เป็นความรู้เชิงวิทยาศาสตร์สมัยใหม่
ผมได้ยกตัวอย่าง การที่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่เข้าไปต่อยอดความรู้ของชาวบ้าน อย่างที่ รศ. ดร. ก้าน จันทร์พรหมา เข้าไปที่โรงเรียนชาวนาสุพรรณบุรี เอาจุลินทรีย์ที่นักเรียนโรงเรียนชาวนาไปเก็บจากป่ามาเลี้ยงและขยายพันธุ์ ดร. ก้านเก็บเอาตัวอย่างจุลินทรีย์ของชาวนาไปเพาะเชื้อแยกชนิด ตามที่เคยเล่าไว้แล้ว (click) และส่งผลการต่อยอดความรู้กลับไปให้นักเรียน รร.ชาวนา ทำให้นักเรียน รร.ชาวนาเกิดความเข้าใจเห็นรูปธรรมของจุลินทรีย์ เท่ากับเป็นการต่อยอดความรู้ หมุนเกลียวความรู้ซึ่งกันและกันระหว่างการสร้างความรู้โดยชาวบ้าน ซึ่งสร้างจากการทดลองและการปฏิบัติจริงในชีวิตของตน กับการสร้างความรู้เชิงวิทยาศาสตร์สมัยใหม่
หัวใจคือ คนในวงการวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ต้องเข้าไปในชุมชนชนบท เข้าไปเรียนรู้ร่วมกับชาวบ้าน และดูดซับความรู้ที่ชาวบ้านร่วมกันสร้างขึ้น เอามาศึกษาต่อด้วยวิธีการวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ โดยต้องอย่าเข้าไปด้วยความคิดว่าชาวบ้านไม่มีความรู้ ต้องเข้าไปด้วยความคิดว่าชาวบ้านมีความรู้ แต่เป็นความรู้ปฏิบัติ ต้องไปหาให้พบ และเข้าไปช่วยต่อยอดด้วยวิธีการวิทยาศาสตร์สมัยใหม่
ที่จริงยังมีประเด็นสำคัญ ๆ ที่เสวนากันมากมาย แต่ที่ผมติดใจมากมาจากข้อสรุปของคุณเคียงดิน ชาติบุญนิยม จากกลุ่มสันติอโศก ว่าการเรียนรู้ของชาวบ้านต้องทำโดยการรวมกลุ่ม ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะเวลานี้ชาวบ้านมีความมั่นใจตนเองน้อยเต็มทีที่จะเรียนรู้ สร้างความรู้เอง การรวมกลุ่มจะช่วยแก้ปัญหา
คณะผู้เสวนา บรรยากาศในห้องประชุม
วิจารณ์ พานิช
24 ส.ค.48
ไม่มีความเห็น