เป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยได้อะไร


การเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยไม่ควรอยู่บนฐานความคิด “ได้อะไร” ควรอยู่บนฐานความคิด “ให้อะไร” แก่สังคมมากกว่า

          ในวงสนทนากับคนในวงการธุรกิจระดับผู้ใหญ่คนหนึ่ง    ท่านถามว่านายกสภามหาวิทยาลัยได้เงินเดือนเป็นแสนไหม   ท่านกล่าวว่า ได้ข่าวว่าได้ไปเมืองนอกทุกปีใช่ไหม    และถ้าเดินทางในประเทศก็เบิกค่าตั๋วเครื่องบินได้ใช่ไหม


          ทำให้ผมตกใจมาก    ว่ามีคนคิดว่าเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยมีผลประโยชน์ส่วนตัวมาก

          เมื่อปี ๒๕๕๐ ตอนที่มีกระแสคัดค้านการที่มหาวิทยาลัยจำนวนหนึ่งจะออกนอกระบบราชการ    มีคนเข้ามาให้ความเห็นใน บล็อก นี้ว่า    ต่อไปเมื่อมหาวิทยาลัยออกนอกระบบราชการ นายกสภาก็จะมีเงินเดือน ๘ แสน

          ตอนนี้ผมเป็นนายกสภามหาวิทยาลัยมหิดลที่ออกนอกระบบราชการแล้ว    ประกาศยืนยันได้เลยว่า ไม่มีผลประโยชน์ใดๆ แตกต่างจากตอนอยู่ในระบบราชการสำหรับนายกสภาและกรรมการสภามหาวิทยาลัยเลย  

          กรรมการสภามหาวิทยาลัยที่ผมเคยเป็นมากว่า ๑๐ แห่ง ไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศด้วยเงินของมหาวิทยาลัยเลย   ในฐานะที่ผมเป็นกรรมการในที่ต่างๆ มากมาย ผมไม่เคยไปขอให้ที่ใดออกเงินค่าเดินทางไปต่างประเทศเลย    มีคำเล่าลือ ว่าผู้บริหารมหาวิทยาลัยบางแห่งนิยมจัดให้กรรมการสภามหาวิทยาลัยไปต่างประเทศ    โดยหาทางจัดให้มีเหตุผลในการเดินทางดังกล่าว    ซึ่งผมก็เคยอ่านบทความเล่าเรื่องการเดินทางของกรรมการสภาฯ แบบนี้ในหนังสือพิมพ์    แต่ผมยืนยันได้ว่า มหาวิทยาลัยที่ผมเป็นหรือเคยเป็นกรรมการสภาฯ ไม่เคยจัดเช่นนี้เลย

          การเดินทางต่างๆ ไม่ว่าทางเครื่องบินหรือทางอื่น ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัว เราไม่เคยขอเบิกจากทางมหาวิทยาลัย    ที่จริง แม้เรื่องของมหาวิทยาลัย ที่เขาเชิญกรรมการสภาฯ เข้าร่วม เราก็ไม่เคยขอเบิก   แต่ทางมหาวิทยาลัยเขาจัดการให้ ตามระเบียบที่กำหนดไว้  

          ถามว่า เมื่อไม่มีผลประโยชน์เป็นเงิน (ไม่ได้ลาภ) กรรมการสภามหาวิทยาลัยได้ประโยชน์อะไร 

          คำตอบคือ ได้ยศและสรรเสริญครับ   ถือเป็นเกียรติ ที่ได้รับเชิญเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัย    ยิ่งเป็นของมหาวิทยาลัยที่เขาพิถีพิถันเชิญเฉพาะคนที่มีความรู้ความสามารถสูง ยิ่งเป็นเกียรติ   ผมรักษาเกียรตินี้โดยไม่เคยส่งสัญญาณใดๆ ว่าอยากเป็น    และเมื่อเป็นแล้วก็รักษาเกียรตินี้ไว้โดยไม่ทำตัวให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยนั้น    และไม่ใช้ตำแหน่งหน้าที่นี้เป็นเครื่องต่อรองหาผลประโยชน์ส่วนตัว 

          แต่นั่นไม่ใช่ผม   ผมไม่สนใจเรื่องยศและสรรเสริญมากเท่ากับเรื่องการเรียนรู้    สภามหาวิทยาลัยเป็น “โรงเรียน” ของผม    ผมโชคดีที่ได้มีโอกาสเข้า “โรงเรียน” นี้มากว่า ๓๐ ปี    ทำให้ได้เรียนรู้เรื่องราว และหลักการต่างๆ มากมาย   โดยที่ความรู้เหล่านี้ไม่มีในตำรา    ที่ประชุมสภามหาวิทยาลัยทุกแห่งเป็นเสมือนเวทีฝึกฝนตนเองของผม   ผมเตรียมตัวไปดูดซับความรู้ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้เต็มที่ในที่ประชุมสภามหาวิทยาลัย 

          สภามหาวิทยาลัยที่มุ่งแต่จะจัดประชุมแบบอนุมัติกิจการตามกฎหมายเป็นหลัก   จะเป็นการประชุมที่ไม่สนุกสำหรับผม   เป็นการประชุมที่มีการเรียนรู้น้อย   หากสภามหาวิทยาลัยใดอยู่ในสภาพเช่นนี้ ผมจะแสดงความจำนงไม่ขอเป็นต่อ เมื่อเขาติดต่อเชิญเป็นในวาระถัดไป

          สรุปว่า เป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยได้หลายอย่างแตกต่างกันไปตามมหาวิทยาลัย    แต่ที่ถูกต้อง การเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยไม่ควรอยู่บนฐานความคิด “ได้อะไร”   ควรอยู่บนฐานความคิด “ให้อะไร” แก่สังคมมากกว่า
   
          คนที่อยู่ในข่ายได้รับเชิญเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยควรเป็นคนที่ไม่ต้องการแสวงหาผลประโยชน์จากตำแหน่งหน้าที่นี้   แต่เป็นคนที่ต้องการรับใช้ หรือให้แก่สังคม เพราะตนเองได้มามากพอแล้ว

 
วิจารณ์ พานิช
๒๐ ก.ย. ๕๒
สถานีรถไฟชุมพร
                
หมายเลขบันทึก: 300314เขียนเมื่อ 24 กันยายน 2009 09:58 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน 2012 11:01 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

กราบเรียนท่านอาจารย์หมอวิจารณ์ ที่นับถือ

  • กรรมการสภามหาวิทยาลัย หลายท่านที่เคยสัมผัส ท่านเป็น "ผู้ให้ จริงจริง"ครับ 
  • ส่วนเรื่องไป ตปท ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นครับ
  • ผมพบว่ากรรมการสภามหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ เน้นว่าส่วนใหญ่เสียสละและตั้งใจทำงานมากครับ
  • ส่วนเรื่องไปต่างประเทศ เดี๋ยวขอถามอาจารย์หมอ JJ ก่อนครับ
  • มองจากชาวบ้านธรรมดา เขารับรู้หรือเข้าใจกันอย่างที่คุณหมอตกใจค่ะ
  • ไม่เพียงแวดวงวิชาการ แต่เป็นแวดวงข้าราชการทั้งหมดที่เขามองกัน
  • จริงหรือเปล่าก็ไม่ทราบ แต่ทัศนคติทั่วไปของสังคมเป็นเช่นนั้น
  • คุณหมอเป็นคนใหญ่ที่ไม่ทำตัวใหญ่ มีเกียรติจากข้างใน และอุทิศชีวิตให้กับการเรียนรู้ จึงตกใจเป็นธรรมดาค่ะ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้

กราบเรียนท่านอาจารย์หมอวิจารณ์

   ผมได้ข้อคิดอะไรจากบันทึกนี้

  1. จาก "ผมไม่สนใจเรื่องยศและสรรเสริญมากเท่ากับเรื่องการเรียนรู้" เรื่องนี้ผมได้ซึมซับเรื่องนี้จากท่านอาจารย์หมอและนำมาปฏิบัติ จากการไปเป็นวิทยากร ซึ่งบางครั้งแม้ไม่มีค่าตัว (เชิญภายใน) ผมก็ยินดีรับเชิญ และทุ่มเทให้กับงาน บางทีต้องใช้เวลารวมนับเป็นวันๆ แต่ผมก็ทำงานให้เต็มที่ เพราะตั้งใจไปเรียนรู้นี่เอง...การเรียนรู้นี่มันสนุกมากครับ
  2. จากเรื่อง ฐานความคิด "ให้อะไร" มากกว่า "ได้อะไร" นี่ผมก็ปวารณาตัวว่า หากมีใครเชิญผมไปเป็นวิทยากรที่ไหน ถ้าเห็นว่ามีผู้รับที่เหมาะสม ผมก็จะไม่ปฏิเสธเลย พยายามจัดหาเวลาให้ได้ลงตัวครับ
  3. และเรื่อง "ให้อะไร" ผมเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา คิดว่า ผมเป็นอาจารย์ที่ "มีแต่ให้" ครับ..นึกถึงเพลง...."พี่มีแต่ให้" ครับ

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท