หลาย ๆ วันที่ผ่านมาผมคิด ๆ ใคร่ครวญว่า เมื่อเราไปทำนาจริง ๆ แล้วมันจะเป็นยังไง
จะเหมือนคุณปู่มาโซโนบุ ได้ไหม
จะเหมือนอาจารย์แสวง ได้ไหม
หรือจะคุณลุงทองเหมาะดี
เหมือนคนกำลังหลงทางกับความคิด
แต่อันที่จริงชอบทั้งหมด คุณมาโซโนบุ คือแรงบันดาลใจแรกที่เป็นเสมือนแสงไฟที่นำมาจุดที่ปลายไส้เทียนแห่งจิตวิญญาณเราให้สว่างวาบขึ้นมาในความมืดแห่งความสับสน อาจารย์แสวง คุณเดชา อาจารย์ยักษ์ คุณลุงทองเหมาะ และท่าน ๆ ทั้งหลายอีกมากมายเปรียบดั่งสายลมที่พัดผ่านมาวูบวาบ แสงเทียนแห่งความคิดเอนไหวไปตามกระแสลมแห่งความรู้ของท่านทั้งหลาย ที่ไหลเรื่อยเข้าหา ความรู้ที่แม้จะทำให้จิตวาบไหวแต่ก็ช่วยเติมให้เปลวเทียนแห่งอุดมการณ์นั้นสว่างไสว มิดับมอดลง
กลับมานั่งคิดนั่งร่ายลำดับ จินตนาการว่าทำนาแล้วจะทำอย่างไรที่ไม่ต้องไปขึ้นกับปัจจัยภายนอก
ก็ได้ภาพร่างความคิดที่เลือน ๆ ลาง ๆ มาว่า
จะเริ่มจากหว่านเลยไม่ต้องไถ ทำ seed ball เมล็ดข้าวปนถั่ว พอถั่วสูงข้าวเริ่มโต จะเปิดน้ำใส่ ถั่วตายข้าวงามต่อ
ปุ๋ยยาจะไม่ใส่ อยากจะกินข้าว จากแม่โภสพดูแล จากแม่ธรณีอุ้มชู แม่คงคาเลี้ยงดูคอยป้อน ไม่ได้อยากกินยา กินปุ๋ย หญ้าจะขึ้น ถอนบ้าง ถ้าไม่ไหวก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวมันก็ต้องแก่ตาย
ข้าวออกรวงแล้ว ไม่ลืมทำขวัญข้าว ขอบพระคุณแม่ ๆ ที่ช่วยดูแลจนลูกได้ข้าวมาเลี้ยงชีวิต
จะเกี่ยวยังไง ทำน้อย ๆ จะเกี่ยวมือ ตากในนา หอบ มัด จะเอามาทำลอมข้าว ตีนวดเอาเม็ด
เสร็จสรรพได้เมล็ดข้าวมาจะเอาไปให้แม่กิน ให้แม่ได้เห็น ว่าถึงเราจะไม่มีโอกาสทำนาสืบต่ออาชีพของพ่อกับแม่ ลูกชาวนาก็ทำนาเป็น ทำนาได้ มีข้าวมาฝากแม่ มาให้แม่ได้กิน
กลับบ้านคราวนี้จะพาลูกหว่านข้าวในสวนข้างบ้านซะที
ไม่มีความเห็น