สาระจากการประชุมสัมมนาพระสังฆาธิการ


โลกร่มเย็น

            วันนี้อาตมาได้เข้าร่วมการประชุมสัมมนาพระสังฆาธิการตามมติมหาเถรสมาคมที่  ๑๔๓/๒๕๔๖  คณะสงฆ์จังหวัดนครสวรรค์ ภาค ๔ หนเหนือ  ณ ห้องประชุมอาคาร ส. มหารัชฯ  วิทยาลัยสงฆ์นครสวรรค์  วันที่  ๑๒  กันยายน  ๒๕๕๒  มีพระสังฆาธิการเข้าร่วมประชุมจำนวน   ๙๐๘  รูป  มีสาระที่น่าสนใจตามที่ได้จดบันทึกไว้ ดังต่อไปนี้

           เจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์  เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ  ประธานในพิธีได้กล่าวเปิดประชุมไว้ว่า

            “โลกร่มเย็น”  เป็นหัวข้อเรื่องที่จะพูดในวันนี้  โลกมนุษย์  มนุษย์เราเป็นโลกอันหนึ่ง  เบื้องต้นต้องทำตัวเราให้ร่มเย็นก่อน  แล้วจึงไปบอกไปสอนญาติโยมของเราให้ร่มเย็นตามได้  พวกเราทำได้  อยู่แต่ว่าจะทำหรือไม่ทำเท่านั้นเอง  แต่...จะสอนเขาต้องสอนตัวเองก่อน  พระพุทธเจ้ากล่าวบอกไว้

            การให้  ๓ ประการ  ๑)  ให้ธรรม    ๒)  ให้ทาง   ๓)  ให้วาง  ทั้ง  ๓ ประการนี้สามารถทำโลกให้ร่มเย็นได้  ถ้าทุกคนปฏิบัติอยู่ใน  ๓  อย่างนี้

            ๑.  ให้ธรรม   หมายถึง  ให้ธรรมะกับญาติโยมให้มุ่งสามัคคีและอวิหิงสา

           ๒. ให้ทาง   หมายถึง  ให้ทางดำเนินชีวิต  เพื่อให้เลี้ยงชีวิตของทุกๆ คน   โดยมุ่งเอาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ  และสัมมาชีพ

          ๓.  ให้วาง  หมายถึง  การเว้น - เลิก - ละ - ลด หรือการมีศีล  ๕  เป็นหลักปฏิบัติ

          การให้ทั้ง  ๓  ประการนี้  จะทำให้เกิดความร่มเย็นกับชาวโลกได้

          ๑. ให้ธรรม   ก็คือ เวลาเราไปเทศน์ไปสอนเขาให้มีความสามัคคี  มีความรักใคร่ปรองดอง  เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน  เป็นสามัคคีธรรม  แสดงออกซึ่งความสามัคคีกัน

          สามัคคี  เป็นประการสำคัญของมนุษย์เรา ต้องผนึกกำลังกัน  รักใคร่กัน อย่าว่า  อย่ากล่าวร้ายกัน  เพราะ  “ความสามัคคีมีที่ไหน  ความสำเร็จอยู่ที่นั่น”  ยกตัวอย่าง  ให้เอาหญ้าคามา  ๑  กำมือ  ถ้าเราดึงออกมาเพียงหนึ่งเส้น  ให้คนหัก  มันก็จะสามารถหักออกได้อย่างง่ายดาย ถ้าเราเพิ่มหญ้าคาเป็น  ๒  เส้น  ๓  เส้น  แล้วให้คนลองหักดู  มันก็จะหักยากขึ้นตามลำดับ  แต่...ถ้าเราส่งหญ้าคาทั้งกำมือนั้น  ให้คนหัก  คนก็จะไม่สามารถหักมันออกด้วยกำลังแห่งตนได้  จากเรื่องนี้ ฉันใด  จึงต้องสามัคคีกันทั้งพวกเราเองและญาติโยมทั้งหลาย

          สิ่งที่มีมาถึงวงการคณะสงฆ์เรา  หรือญาติโยมของเรา  จากข่าวสารต่างๆ ที่เกิดขึ้น อย่าเพิ่งไปปักใจเชื่อต้องไตร่ตรองให้รอบคอบ  เช็คข่าวให้แน่นอนเสียก่อน  เพราะจากการตรวจสอบถึงความจริงแล้ว  มีพวกเราโดนกลั่นแกล้งอยู่มากมายในปัจจุบันนี้

         ฉะนั้นจึงต้อง  สามัคคีกันไว้  มีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นในตำบล  ในเขตการปกครองของพวกเรา  ต้องปรึกษาผู้บังคับบัญชาก่อน  จะได้ช่วยกันพิจารณา  ยกเรื่องการหาหลักฐานกลั่นแกล้งพระ  เคยมีอยู่  แต่กว่าพวกเราจะรู้ความจริง  เราก็ต้องเสียพระที่ดีไปแล้ว  เพราะกระบวนการต่างๆ  มันชักช้าเกินไป  พวกเราจึงต้องสามัคคีกันไว้  รักกันเข้าไว้  ดังที่

          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ  ทรงรับสั่งไว้ว่า   ให้รู้รักสามัคคี 

         อวิหิงสา  หมายถึง การไม่เบียดเบียนกันให้ได้รับความเดือดร้อนด้วยกาย  วาจา  ใจ  ทำให้เขาเดือดร้อนทางกาย  ด้วยการตบตี ทำร้าย  ทางวาจา  ด้วยคำพูดด่าว่าเสียดสีต่างๆ  และทางใจ  ก็คือ การคิดจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ในเรื่องที่ไม่ดีต่างๆ  จะทำให้พวกเรามีความทุกข์  อยู่ด้วยกันอย่างไม่มีความสุข  ครอบครัวใดมีอวิหิงสา  ก็จะอยู่อย่างเป็นสุข แต่ครอบครัวใดไม่มีอวิหิงสา ก็จะอยู่กันด้วยความทุกข์  เรื่องเบียดเบียนกันเป็นประกันของมนุษย์  ไม่เบียดเบียนกันและสามัคคีธรรม  จึงประเสริฐที่สุด

          ๒.  ให้ทาง  หมายถึง  ชี้ทางในการดำเนินชีวิต  เพราะว่าคนเราและสัตว์โลกอยู่กันต้องมีทางดำเนินชีวิต  จะทำอะไร  จะเลี้ยงชีวิตอย่างไร  สัตว์ทั้งหลายดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยอาหาร 

          ดังนั้น  พระเราจึงต้องชี้แนะญาติโยมในเรื่องการดำเนินชีวิตอย่างไร  เศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ  พวกเราและญาติโยมทั้งหลายรู้จักกันดี 

          เศรษฐกิจกิจพอเพียงนั้นอย่างไร  เอาง่ายๆ  ก็ต้อง   รู้จักกิน -รู้จักใช้ -รู้จักเก็บ  และรู้จักหา  เป็นความจริงในปัจจุบันนี้  วันหนึ่ง  เดือนหนึ่งเราหาเงินได้วันละ-เดือนละเท่าไร  หามาได้แล้ว  อย่าใช้ให้หมด  ให้มันมีส่วนเหลืออยู่บ้าง  เช่น  หามาได้  ๑๐๐  บาท  ใช้ไปแล้วให้เหลือสัก  ๑  บาทก็ยังดี  เก็บส่วนที่เหลือนั้นไว้  เพราะหลายวันเข้าเงินที่เหลือนั้นมันก็จะมากขึ้นๆ  เป็นลำดับ  ต้องไม่ฟุ่มเฟือยจนเกินไป

          เศรษฐกิจไม่ดี  เงินทองไม่พอใช้  มันอยู่ที่คน  มันขึ้นอยู่กับคนคนนั้น  คน...ต้องรู้จักใช้  อย่าใช้ให้เกินหา  ยกตัวอย่างเช่นคนดำแร่  ทำงานวันหนึ่งเย็นก็ได้เงินมา  ก็ใช้จนหมด  คิดเพียงว่าวันพรุกนี้ไปทำงานอีกก็จะได้เงินใหม่  วันรุ่งขึ้นก็ไปทำงาน ได้เงินมาก็ใช้จนหมดไป  การทำอย่างนี้ใช้ไม่ได้

          อีกประการหนึ่ง  อาหารการบริโภคประจำวัน  แนะนำให้ญาติโยมปลูกผัก  ทำสวนครัวอย่างละนิดละหน่อย  ปลูกเข้าไว้  ก็จะได้ผลผลิตมารับประทานเป็นอาหารทุกวันๆ  ไม่ต้องไปซื้อเขากิน ได้อาหารที่ปลอดสารพิษ  เพราะเราปลูกเองและไม่ต้องใช้จ่ายทรัพย์ เป็นต้น

          เมื่อก่อนนี้มีโครงการให้วัดปลูกต้นไม้วัดละ  ๑๐  ต้น  เพื่ออะไร  ก็เพื่อให้วัดของเรานั้น  ได้ร่มเงาอาศัย  ทำวัดให้ร่มรื่น  เป็นที่อยู่ของนกกา  เป็นที่พักผ่อนของญาติโยม  เป็นการนำญาติโยมให้รักษาธรรมชาติ

          มาพูดเรื่องปลูกผักกันดีกว่า  ไม่ว่าจะเป็น ตะไคร้  ใบกระเพรา  สะระแหน่  หัวระพา  พริก  มะเขือ  ปลูกเองกินเอง  ปลอดสารพิษไม่เป็นภัยแก่ร่างกาย  ใครมีที่น้อยก็ใช้กระถาง   ปลูกในกระถาง หรือวงล้อยางรถยนต์ ก็ได้  ดกด้วย เก็บกินเท่าไรก็ไม่หมด  ให้พวกเราไปช่วยแนะนำญาติโยม  ถ้าแนะนำแล้วญาติโยมไม่ทำ  ผมอนุญาตให้ไปช่วยโยมทำได้  ทำได้เลยไม่ต้องกลัวใคร  เพราะการทำอย่างนี้มันจึงจะพอเป็นพอไป  ชี้ทาง = เศรษฐกิจพอเพียง

          อีกอย่างก็  สัมมาชีพ  หมายถึง  อาชีพอันชอบธรรม  อย่าเลือกงาน  เป็นคนไม่เลือกงาน  ต้องสู้งานจึงจะมีงานทำ  ทำได้ทุกอย่างในงานที่ชอบธรรม  เรื่องอันไม่ชอบธรรมทั้งหลาย  อย่าทำ

          ๓.  ให้วาง   หมายถึง  สิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย  สิ่งที่เป็นความชั่วทั้งหลาย  เช่น  บุหรี่  สุรา  ยาเสพย์ติด  สิ่งเสพติดทั้งหลาย  ให้เลิกละเสีย  คณะสงฆ์เราก็เหมือนกันมีการรณรงค์กันไม่ให้สูบบุหรี่  ผมเคยไปในต่างประเทศบางประเทศ  จะไม่เห็นพระสูบบุหรี่เลย  ถามว่า..เขาสูบกันไหม..  สูบ  แต่เขาสูบเป็นที่เป็นทาง  แอบสูบ  ไม่สูบในที่เปิดเผย  ต้อง...เว้น  - เลิก -  ลด  -  ละ  ในสิ่งเหล่านี้

          ญาติโยมของเราทำมาหากินได้  หน้านาก็ทำนา  พอเลิกนาก็ต้มเหล้ากิน  มันจะไปเหลืออะไร  ทำนาแต่ละครั้งก็ได้ไม่เท่าไร  บางครั้งก็ไม่คุ้มกับทุนที่ลงไป  จึงอยากให้ทุกคนตั้งอยู่ในศีล  ๕  ไม่ฆ่าสัตว์  ไม่ลักทรัพย์  ไม่ประพฤติผิดในกาม  ไม่พูดเท็จ  และไม่ดื่มสุราเมรัย  ทั้งหลาย

          จึงจะสามารถทำโลกให้ร่มเย็นได้ด้วยการให้  ทั้ง  ๓  ประการนี้  คือ ให้ธรรม  ให้ทาง  และให้วาง  ดังกล่าวมา  ความร่มเย็นก็จะเกิดแก่ชาวโลกทั้งหลาย

          แต่....ก่อนจะไปสอนญาติโยมเขา  ท่านทั้งหลาย  (ภิกษุผู้เข้าร่วมประชุม)  ต้องทำ ต้องปลูกให้มันเกิดมีในตัวในตนของเราเสียก่อนปฏิบัติให้เกิดในตัวของเราก่อน  จึงไปสอนผู้อื่นภายหลัง  เพราะเมื่อเราปฏิบัติอยู่แล้วไปสอนเขา  มันสามารถยืนยันได้แน่นอน  เปรียบด้วยคนขายยา โฆษณาสรรพคุณยาว่า  ยานี้กินแล้วอ้วนถ้วนแข็งแรง  แต่คนขายผอมกระหร่อง  แล้วใครจะไปเชื่อถือ

          ถ้าพวกเราทั้งหลาย และญาติโยมทั้งหลายทำได้  ใน  ๓  ประการที่กล่าวมานี้  โลกร่มเย็นแน่นอน จึงให้พระสังฆาธิการทั้งหลายนำไปใช้และนำไปปฏิบัติสืบต่อไป...ฯ

 

บันทึกเมื่อวันที่  ๑๒  กันยายน  ๒๕๕๒

เวลา  ๐๙.๐๐  น. -  ๑๑.๐๐ น.

 

หมายเลขบันทึก: 299403เขียนเมื่อ 21 กันยายน 2009 10:21 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 09:35 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท