เกษตรกรรายย่อยและเศรษฐกิจพอเพียง
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์ (โดย มติชน วัน จันทร์ ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2551 หน้า 6)
......................
สัญญาณว่าโลกอาจขาดแคลนอาหารเกิดขึ้นจากสามปัจจัย
หนึ่งพื้นที่ซึ่งเคยใช้ปลูกพืชอาหารถูกเปลี่ยนไปปลูกพืชพลังงาน
และสองภาวะโลกร้อน ซึ่งทำให้ผลผลิตในบางเขตลดลง
และในระยะยาว การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจเป็นผลให้พื้นที่เพาะปลูก
ต้องย้ายจากที่เดิมไปสู่ที่ใหม่ ซึ่งต้องลงทุน (ในทุกความหมาย) เพิ่มขึ้นอย่างมโหฬาร
และสามประชากรโลกเพิ่มขึ้น
ราคาข้าวอาจไม่แพงเท่ากับที่ผ่านมา
เพราะความขาดแคลนข้าวเกิดขึ้นจากภัยพิบัติทางธรรมชาติเฉพาะถิ่นเท่านั้น
แต่ราคาข้าวก็จะไม่ถูกเหมือนเก่าอีกแล้ว
เพราะวัสดุอาหารนั้นดึงและกดราคากันอยู่ตลอดเวลา
หากข้าวสาลีและข้าวโพดขาดแคลน ก็จะดึงราคาข้าวให้สูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และอย่างน้อยข้าวโพดน่าจะผลิตได้ไม่พอสำหรับอาหารคนและสัตว์ต่อไปอีกนานพอสมควร
สัญญาณอาหารขาดแคลน เป็นความวิตกห่วงใยขององค์กรระหว่างประเทศ
และเป็นพลังใจให้แก่คำขวัญ ยุ้งฉางของโลก ในเมืองไทย
(ผมไม่ชอบคำว่า ครัวของโลก เพราะครัวไม่จำเป็นต้องมีวัสดุอาหารเอง
หากหาซื้อจากแหล่งอื่นๆ ได้เสมอ ตราบเท่าที่พ่อครัวมีฝีมือ)
นักธุรกิจอาหารข้ามชาติออกมาเสนอวิสัยทัศน์ที่เรืองรองด้านเศรษฐกิจแก่ผู้คน
ในภาวะน้ำมันแพงและเงินเฟ้อ... เราจะไปรอดอย่างดี
ถ้าธุรกิจอาหารข้ามชาติทำกำไรได้มากกว่านี้
อย่างไรก็ตาม... ในความเป็นจริง
สัญญาณขาดแคลนอาหารได้เกิดขึ้นในโลกมานานแล้ว
มีผู้คนนับเป็นร้อยล้านทั่วโลกที่ไม่เคยเข้านอนด้วยท้องที่อิ่มเลย
(เพิ่มเป็นกว่าพันล้านคน เพราะเงินเฟ้อและราคาพลังงานกับอาหารที่สูงขึ้น)
แม้แต่ในเมืองไทยซึ่งเป็น ยุ้งฉางของโลก ก็มีเด็กขาดสารอาหารเกือบล้านคน
แต่สัญญาณนี้ไม่กระเทือนผู้คนและองค์กรระหว่างประเทศพอที่จะออกมาโวยวาย
ไม่ใช่เพราะตัวเลขนั้นเล็กเกินกว่าที่จะไปวิตกห่วงใย
แต่เพราะตัวเลขนั้นประกอบด้วยคนที่ถูกกีดกันไปอยู่ชายขอบ
ทั้งในโลกและในสังคมของเขาเองต่างหาก
การที่คนจำนวนมากเข้าไม่ถึงอาหาร ก็เพราะเกษตรกรรมในหลายประเทศ
ถูกกำกับควบคุมโดยอุตสาหกรรมอาหารข้ามชาติขนาดใหญ่
การผลิตกระทำในเชิงพาณิชย์อย่างเข้มข้น
บริษัทข้ามชาติทำกำไรจากการขายอาหารไปยังตลาดที่มีกำลังซื้อ
ไม่ใช่ตลาดที่ขาดแคลนอาหาร (ซึ่งให้กำไรน้อยกว่ามาก)
ซ้ำร้ายการอุดหนุนพืชผลการเกษตรของประเทศอุตสาหกรรมก้าวหน้า
ตัดโอกาสเกษตรกรรายย่อยในประเทศที่ขาดแคลนอาหารในการผลิตเพื่อบริโภคภายใน
ยิ่งพืชอาหารถูกจัดการโดยบริษัทข้ามชาติ
เพื่อทำกำไรกันอย่างมโหฬารมากขึ้นเท่าไร อาหารก็จะยิ่งขาดแคลนมากเท่านั้น
แต่ก่อนจะถึงวันนั้น
ส่วนใหญ่ของอาหารที่เลี้ยงพลโลกอยู่ในวันนี้ ก็มาจากการผลิตของเกษตรกรรายย่อย
มากกว่าการผลิตเชิงพาณิชย์อย่างเข้มข้นภายใต้กำกับของบริษัทข้ามชาติ
แม้เกษตรกรรายย่อยต่างถือครองที่ดินขนาดเล็กก็ตาม
องค์การอาหารและเกษตรของสหประชาชาติประเมินว่า
ในซีเรีย เกษตรกรถือครองและใช้ที่ดินเฉลี่ยครอบครัวละ 0.5 เฮคแตร์ (3 ไร่) เท่านั้น
ในเมกซิโก 18 ไร่ ในเปรู 36 ไร่ ในอินเดียน้อยกว่า 6 ไร่
และในเนปาล น้อยกว่า 12 ไร่
ส่วนใหญ่ของอาหารในประเทศเหล่านั้น มาจากไร่นาขนาดเล็กเหล่านี้
และดังที่กล่าวแล้วว่า
บริษัทเกษตรข้ามชาติไม่ได้มุ่งผลิตอาหารเท่ากับมุ่งกำไร
ฉะนั้นอาหารจึงถูกส่งเลยปากของท้องที่หิวโหย ไปสู่ปากที่มีเงินในกระเป๋า แต่ท้องอิ่ม
ประเทศที่มีเงินในกระเป๋าซึ่งเป็นตลาดเป้าหมายของบริษัทยักษ์ใหญ่เกษตรข้ามชาติ
มีอาหารเหลือเฟือจนต้องทิ้งและทำลายไปวันละมากๆ
ไม่นานมานี้มีข่าวในทีวีว่า ที่เมืองอังกฤษ มีชายสองคนทดลองหากินกับอาหารในถังขยะ
และพบว่าเขาสามารถมีชีวิตอยู่รอดได้อย่างสบาย
โดยเลือกเก็บเฉพาะอาหารที่ยังไม่เสีย และไม่เปรอะเปื้อนสกปรกมาบริโภค
(เช่น น้ำผลไม้ในกล่องที่ยังไม่ได้เปิด)
ปรากฏว่าอาหารในลักษณะดังกล่าวมีในถังขยะของอังกฤษเป็นปริมาณมาก
สามารถเลี้ยงผู้คนได้จำนวนไพศาลทีเดียว
พูดอย่างตรงไปตรงมาก็คือ หากอาหารถูกผลิตโดยเกษตรกรรายย่อย
หากการจัดการผลิตและกระจายอาหารในโลกของเราเอื้อต่อการผลิตของเขา
โลกจะไม่ขาดแคลนอาหาร ...โลกจะไม่ขาดแคลนอาหารอย่างน้อยก็ในปัจจุบัน
แม้ในอนาคต การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศก็ตาม การเปลี่ยนแหล่งพลังงานก็ตาม
หรือแม้แต่การเพิ่มประชากรก็ตาม หากการผลิตยังอยู่ในมือเกษตรกรรายย่อย
ก็เป็นไปได้ว่าเขาสามารถปรับตัวรับกับความเปลี่ยนแปลงนั้นได้อย่างมีผลิตภาพสูงสุดอยู่นั่นเอง
เพราะในบรรยากาศทางเศรษฐกิจที่เอื้ออำนวย เช่น ราคาพืชผลที่ยุติธรรม
คงไม่มีใครสามารถทะนุถนอมทั้งผลผลิตและทรัพยากรธรรมชาติในไร่นา
ได้ดีไปกว่าเกษตรกรรายย่อยซึ่งเป็นเจ้าของไร่นาของตนเอง
ในประเทศไทย เกษตรกรรายย่อยกำลังอันตรธานไป
แม้ว่ารัฐธรรมนูญของเราบังคับให้รัฐดำเนินการทางเศรษฐกิจในลักษณะเศรษฐกิจพอเพียงก็ตาม
ทั้งนี้ เพราะไม่มีเงื่อนไขด้านอื่น นอกจากด้านอุดมการณ์
ที่จะช่วยให้เกษตรกรรายย่อยสามารถผลิตในเศรษฐกิจพอเพียงได้
นอกเหนือจากด้านอุดมการณ์ซึ่งเป็นเรื่องอัตวิสัยแล้ว
เศรษฐกิจพอเพียงยังต้องการปัจจัยที่เป็นภววิสัยภายนอกอีกหลายอย่าง
และสามอย่างต่อไปนี้ขาดไม่ได้เลย
ประการแรก เศรษฐกิจพอเพียงเป็นไปได้ในสภาพสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ระดับหนึ่ง
การปล่อยให้นิคมอุตสาหกรรม, โรงงาน, แหล่งท่องเที่ยว, เมือง และเขื่อน
ทำลายสิ่งแวดล้อมที่เอื้อในการผลิตของเศรษฐกิจพอเพียงโดยไม่บันยะบันยังเช่นนี้
เศรษฐกิจพอเพียงก็จะเป็นเพียงอุดมการณ์ตลอดไป
ประการที่สอง เศรษฐกิจพอเพียงต้องการตลาดทางเลือกที่เป็นธรรม
แม้ว่าเกษตรกรผลิตเพื่อเลี้ยงตนเองก่อน แต่ไม่ได้หมายความว่า
เขาอาจอยู่ได้โดยไม่ต้องการตลาดเลย
แต่ตลาดที่มุ่งจะกดราคาพืชผลเพื่อป้อนให้แก่ผู้บริโภค
ที่ไม่ห่วงใยทั้งสุขภาพของตนเอง และสุขภาพของสิ่งแวดล้อมเช่นนี้
เศรษฐกิจพอเพียงก็อาจเป็นไปได้แก่คนจำนวนน้อยนิดเดียวเท่านั้น
เกษตรกรส่วนใหญ่ซึ่งควรได้เป็นเจ้าของไร่นาของตนเอง
ไม่สามารถปฏิบัติการด้วยเศรษฐกิจพอเพียงได้
ประการที่สาม เศรษฐกิจพอเพียงต้องการความรู้ในการผลิตเช่นเดียวกับเศรษฐกิจทุนนิยม
ความรู้ดังกล่าวกำลังหายไปหรือไม่ถูกสร้างเสริมขึ้นใหม่
อีกทั้งไม่เป็นส่วนหนึ่งในการศึกษาทั้งแบบที่เป็นและไม่เป็นทางการ
หนทางไปสู่เศรษฐกิจพอเพียงของเกษตรกรรายย่อยจึงวกวน กว่าจะบรรลุได้
เกินกว่าที่ส่วนใหญ่ของเกษตรกรพร้อมจะเข้าไปเสี่ยง
คำถามก็คือ รัฐที่อ้างว่าส่งเสริมเศรษฐกิจพอเพียง ได้ทำอะไรเพื่อสร้างเงื่อนไขเหล่านี้
ให้เศรษฐกิจพอเพียงเป็นไปได้บ้าง?
เมื่อเกษตรกรรายย่อยในประเทศไทยล้มหายตายจากไปจนเกือบหมด
แม้ประเทศไทยอาจส่งออกข้าวได้มากที่สุดในโลก
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีภาวะขาดแคลนอาหารในเมืองไทย
ยิ่งการผลิตตกอยู่ภายใต้การกำกับของบริษัทเกษตรข้ามชาติมากเท่าไร
อาหารจะถูกส่งเลยปากของท้องคนไทยที่หิวโหยออกไป
ดังภาวะข้าวยากหมากแพงที่เราเผชิญในต้นปีนี้ชี้ให้เห็นว่า
มีคนไทยจำนวนเพิ่มมากขึ้นที่เข้าไม่ถึงอาหารในปริมาณที่เพียงพอในแต่ละวัน
หลักประกันมิให้ภาวะขาดแคลนอาหารเกิดในเมืองไทย
คือหันมาทำนุบำรุงและปลูกสร้างเกษตรกรรายย่อยให้มาก
ไม่ใช่โดยการโฆษณาเศรษฐกิจพอเพียง
แต่โดยการทำให้เงื่อนไขทางภววิสัยที่เป็นจริงเกิดขึ้นและดำรงอยู่
เพื่อให้เศรษฐกิจพอเพียงเป็นไปได้นอกลมปาก
.................
อ่านเพื่อการใคร่ครวญ และตั้งคำถามกับสิ่งที่เคยรู้ และเคยพบเห็น
เพื่อให้เกิดความหลากหลายของความคิด.
สวัสดีค่ะ
เห็นด้วยกับอาจารย์นิธิ ท่านกล่าวไว้ไม่เกินความจริงเลยสักนิด (ปกติของเข้าไปอ่านบทความของท่านในมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน) ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นแค่เรื่องการทำนาก็แล้วกันนะคะ
อยากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้ใคร่ครวญ ข้อคำถามนี้จังเลยค่ะ
เฮ่อ.. ติดนิสัยชอบเหน็บแนบรัฐบาลค่ะ.... ไม่ดีเลยนะคะ ทำตัวให้เขาเกลียดขี้หน้าอีกแล้ว..
ขอให้สุขภาพแข็งแรงนะคะ ระลึกถึงค่ะ
แวะมาเยี่ยมค่ะ สบายดีไหมคะ...คำนี้น่าคิด...
เอาไปโพต์ไว้ที่เว็บของท่านนากยก คงจะดีนะคะ..
ขอให้สุขภาพแข็งแรงนะคะ
สวัสดีค่ะ
ขอบคุณครูคิมที่เข้ามาแลกเปลี่ยนค่ะ