มนุษย์ทุกคนย่อมเกิดมาพร้อมกับสิทธิธรรมชาติ (natural rights) ประการหนึ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดซึ่งไม่มีผู้ใดปฏิเสธได้นั่นคือ “สิทธิที่จะมีชีวิต (right to life)” จึงอาจกล่าวได้ว่าสิทธิที่จะมีชีวิตจึงเป็นสิทธิมนุษยชนที่สำคัญลำดับแรกของการให้ความคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เนื่องจากผู้ทรงสิทธิเช่นว่านั้น ก็คือ มนุษย์ทุกรูปทุกนามที่ดำรงชีวิตอยู่ในสังคมนั่นเอง ดังนั้น มนุษย์จึงมีสิทธิที่จะได้รับความเคารพในชีวิตจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกันที่จะไม่ถูกพรากชีวิตของตน ถูกทำร้าย ตลอดจนการนำชีวิตของบุคคลไปจำหน่ายจ่ายโอนให้บุคคลใด ดังนั้น รัฐย่อมต้องมีบทบาทสำคัญในการให้ความคุ้มครองสิทธิที่จะมีชีวิตผ่านกลไกทางด้านนโยบายและกฎหมายทั้งในระดับระหว่างประเทศและระดับภายในประเทศมิให้มีการฝ่าฝืนสิทธิในเนื้อตัวร่างกาย และสิทธิในการดำรงชีวิตอยู่อย่างปกติสุขของบุคคลเพื่อความสงบเรียบร้อยภายในรัฐและเป็นการส่งเสริมสิทธิตามธรรมชาติของมนุษย์หรือสิทธิมนุษยชนให้ประชาชนดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีและได้รับความเคารพในฐานะที่เป็นมนุษย์
อย่างไรก็ดี มนุษย์ทุกคนเมื่อมีการเกิดย่อมมีการตายเป็นสิ่งที่คู่กันเสมอตามกฎแห่งธรรมชาติซึ่งไม่อาจปฏิเสธได้ และเมื่อถึงคราวที่มนุษย์ต้องเผชิญหน้ากับความตายโดยทนทุกข์ทรมานจากโรคร้ายหรืออาการบาดเจ็บที่ไม่อาจรักษาให้หายเป็นปกติได้ด้วยเครื่องมือทางการแพทย์สมัยใหม่ และผู้ป่วยตกอยู่ในภาวะ “ฟื้นก็ไม่ได้ ตายก็ไม่ลง”[1] แต่เป็นเพียงการยืดความตายหรือยืดชีวิตของบุคคลให้ขยายออกไปเท่านั้น ผู้ป่วยดังกล่าวจึงอยู่ในสภาพเหมือนเจ้าหญิงหรือเจ้าชายนิทราที่นอนรอความตายด้วยความทุกข์ทรมาน จึงมีปัญหาเกิดขึ้นว่ามนุษย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่มีอาการหนัก ใกล้จะตายและหมดโอกาสในการรักษาให้ฟื้นขึ้นมามีสิทธิที่จะตายอย่างสงบและตายอย่างมีศักดิ์ศรีหรือไม่ สิทธิที่จะตายนั้นถือเป็นสิทธิมนุษยชนประเภทหนึ่งหรือไม่ บุคคลผู้มีสิทธิที่จะตายอย่างสงบมีใครบ้าง บุคคลที่ทำให้ผู้อื่นตายอย่างสงบนั้นมีใครบ้างซึ่งเมื่อได้กระทำการหรืองดเว้นกระทำการแล้วจะไม่ก่อให้เกิดความรับผิดตามกฎหมายอาญาและไม่ขัดกับเจตนารมณ์ของผู้ป่วยที่ใกล้จะตายที่ได้แสดงเจตนาล่วงหน้าไว้
เหตุที่มีคำถามมากมายเนื่องจากในแต่ละสังคมที่มนุษย์จะใช้สิทธิที่จะตายอย่างสงบได้โดยชอบหรือไม่นั้นย่อมมีความแตกต่างกันไป ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับอยู่กับพื้นฐานทางสังคม ความเชื่อ ศาสนาและวัฒนธรรมที่เป็นเบ้าหลอมและสร้างความเข้าใจที่สำคัญเกี่ยวกับการทำให้ตายอย่างสงบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากแพทย์เป็นผู้ช่วยให้ผู้ป่วยที่สิ้นหวังตายอย่างสงบหรือปล่อยให้ผู้ป่วยตายอย่างสงบแพทย์จะมีความผิดตามกฎหมายไม่ว่าตามกฎหมายระหว่างประเทศในเรื่องสิทธิที่จะมีชีวิตหรือกฎหมายภายในของรัฐโดยเฉพาะอย่างยิ่งโทษตามกฎหมายอาญาหรือไม่ หากผู้ป่วยหรือญาติผู้ป่วยที่มีอำนาจแสดงเจตนาแทนได้แสดงเจตนาโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายว่าจะใช้สิทธิปฏิเสธที่จะรับการรักษา (right to refuse medical treatment) เพื่อให้ได้ตายอย่างมีศักดิ์ศรี (dying with dignity) แต่แพทย์ได้ทำการรักษาคนไข้ต่อไปจะเป็นการขัดเจตนารมณ์ที่แท้จริงของผู้ป่วยหรือไม่
การทำให้ตายอย่างสงบ (euthanasia) มาจากภาษากรีกคำว่า “eu” ซึ่งแปลว่า ดี (good or noble) กับคำว่า “thanatos” ซึ่งแปลว่าตาย (death) เมื่อรวมคำทั้งสองคำเข้าด้วยกันแล้วย่อมหมายความถึง “การตายดี” หรือ “การตายโดยสงบ” แต่ทว่ารากศัพท์ภาษากรีกดังกล่าวก็ไม่ได้ช่วยทำให้เข้าใจความหมายของคำว่า “euthanasia” ได้กระจ่างแต่อย่างใด ตัวอย่างเช่น ในประเทศเนเธอร์แลนด์ การทำให้ผู้ป่วยตายโดยสงบมีความหมายที่แคบมากเนื่องจากหมายถึงการที่แพทย์ทำให้ชีวิตของผู้ป่วยสิ้นสุดลงตามความประสงค์ของผู้ป่วยเท่านั้น กล่าวคือ แพทย์เท่านั้นที่มีสิทธิกระทำ และได้มีการใช้ภาษาอังกฤษคำว่า “mercy killing” แทนคำว่า “euthanasia” จึงมีผู้แปลคำนี้ว่า “การุณยฆาต” ซึ่งหมายความถึง การฆ่าด้วยความประสงค์ที่จะให้ผู้นั้นพ้นจากความทุกข์ทรมาน[2]
ดังนั้น การทำให้ตายอย่างสงบ (euthanasia) จึงหมายถึงการทำให้บุคคลยุติการมีชีวิตของเขาโดยไม่ทุกข์ทรมาน ทุรนทุราย โดยไม่เดือดร้อน ทั้งตนเองและผู้อื่น การจะตายได้อย่างสงบจึงควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของความสมัครใจของผู้ที่ตายนั่นเอง[3] หรือนักกฎหมายบางท่านเรียกว่า การฆ่าด้วยความเมตตา (mercy killing)[4]
สำหรับสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องกับสิทธิที่จะตายอย่างสงบประกอบด้วย
1) สิทธิส่วนบุคคล (right to privacy or right of privacy) หมายถึง ความชอบธรรมประจำตัวของแต่ละบุคคลที่จะเป็นอิสระจากการล่วงละเมิดโดยไม่มีเหตุจากบุคคลอื่น หรือรัฐอันได้มีการรับรองและคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญนั้น สิทธินี้เป็นสิทธิขั้นมูลฐานที่สำคัญยิ่งของมนุษย์[5]
2) สิทธิที่จะมีชีวิต (right to life) หมายถึง ความชอบธรรมของมนุษย์ทุกรูปทุกนามในความสามารถที่จะดำรงชีวิตของตนได้อย่างมีศักดิ์ศรี รวมทั้งมิให้ผู้ใดเข้ามาพรากหรือจำหน่ายจ่ายโอนความมีชีวิตไปจากตนได้
ส่วนกฎหมายภายในของประเทศไทยนั้น ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชาอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550[6] ได้รับรองสิทธิขั้นพื้นฐานของปวงชนชาวไทยไว้ เช่น
มาตรา 4[7] “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง”
มาตรา 26[8] “การใช้อำนาจโดยองค์กรของรัฐทุกองค์กร ต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพ ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้”
มาตรา 28[9] “บุคคลย่อมอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือใช้สิทธิและเสรีภาพของตนได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน
บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้ สามารถยกบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้เพื่อใช้สิทธิทางศาลหรือยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คดีในศาลได้
บุคคลย่อมสามารถใช้สิทธิทางศาลเพื่อบังคับให้รัฐต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติในหมวดนี้ได้โดยตรง หากการใช้สิทธิและเสรีภาพในเรื่องใดมีกฎหมายบัญญัติอย่างละเอียดแห่งการใช้สิทธิและเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้แล้ว ให้การใช้สิทธิและเสรีภาพในเรื่องนั้นเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ”
เมื่อพิจารณาตามรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวแล้วไม่ปรากฏว่ามีการรับรองสิทธิที่จะตายไว้ในฐานะสิทธิขึ้นพื้นฐานของปวงชนชาวไทยแต่อย่างใด
อย่างไรก็ดี การตายตามวิธีตามธรรมชาติเริ่มได้รับการยอมรับมากขึ้นในสังคมไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพิจารณาจากมาตรา 12 ของพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550[10] ซึ่งบัญญัติว่า
“บุคคลมีสิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตน หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้
การดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
เมื่อผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขได้ปฏิบัติตามเจตนาของบุคคลตามวรรคหนึ่งแล้วมิให้ถือว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดและให้พ้นจากความรับผิดทั้งปวง”
เมื่อพิจารณาจากบทบัญญัติดังกล่าวจะเห็นได้ว่า บทบัญญัติดังกล่าวมุ่งให้ความคุ้มครองการกระทำของแพทย์กรณีผู้ป่วยได้ทำหนังสือแสดงเจตนาว่าไม่ประสงค์จะพึงพาเครื่องมือของแพทย์ในการยืดชีวิต ว่าไม่เป็นความผิดและให้แพทย์พ้นจากความรับผิดทั้งปวง แต่ก็คุ้มครองเพียงเฉพาะกรณีผู้ป่วยไม่ขอรับบริการจากรักษาจากแพทย์ (ให้แพทย์ยุติการรักษา) และกรณีที่แพทย์ได้รับหนังสือจากผู้ป่วยเท่านั้น โดยไม่ได้กล่าวคุ้มครองถึงกรณีที่แพทย์ทำให้ผู้ป่วยตายจากการกระทำโดยตรง เช่นการฉีดยา และกรณีที่ผู้ป่วยแสดงเจตนาแต่ไม่ได้ทำเป็นหนังสือ หรือ ให้ผู้มีอำนาจตามกฎหมายแสดงเจตนาแทนผู้ป่วยแต่อย่างใด ดังนั้นกรณีที่กฎหมายไม่ได้คุ้มครองนี้ หากแพทย์ยังคงฝ่าฝืนทำ แม้จะมีเจตนาดีเพื่อให้ผู้ป่วยพ้นทุกข์ทรมานก็ตาม แพทย์ก็อาจมีความผิดและต้องรับผิดกรณีฆ่าคนอยู่เช่นเดิมนั่นเอง
นอกจากนี้ ให้ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะแสดงเจตนาเพื่อปฏิเสธการรักษาได้เป็นการยืนยันว่าประเทศไทยมิได้ต่อต้านการพัฒนาของสิทธิที่จะตายในฐานะกฎหมายสิทธิมนุษยชน อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่าสิทธิที่จะตายมิใช่สิทธิเด็ดขาดที่ทุกคนสามารถยกขึ้นอ้างได้ทุกเมื่อ แต่จะมีกฎหมายเฉพาะที่บัญญัติให้ผู้ป่วยหรือญาติต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขทางกฎหมายให้ครบถ้วนเสียก่อน ดังนั้นการนำสิทธิมนุษยชนมาทำให้เป็นสิทธิตามกฎหมายย่อมก่อให้เกิดความชัดเจนกว่าและสะดวกต่อการบังคับใช้ให้เป็นไปตามสิทธิ โดยเฉพาะสิทธิที่ตายโดยการปฏิเสธการรักษาของผู้ป่วยที่รัฐต้องอนุญาตตามเงื่อนไขของกฎหมาย
การที่จะพิจารณาว่าสิทธิที่จะตายเป็นสิทธิมนุษยชนหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาเบื้องต้นเสียก่อนว่า สิทธิดังกล่าวเป็นประโยชน์ต่อตัวผู้ทรงสิทธิมากน้อยเพียงใด เมื่อเทียบกับประโยชน์สาธารณะนั้นคือความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนด้วย เนื่องจากสิทธิมนุษยชนเป็นประโยชน์หรือความชอบธรรมที่มนุษย์พึงได้รับเพื่อพัฒนาบุคลิกภาพของความเป็นมนุษย์ และต้องเป็นประโยชน์ต่อผู้ทรงสิทธิคือมนุษย์มากที่สุด มิใช่ลดทอนความเป็นคนลงไป ดังนั้น สิทธิที่จะตายของผู้เขียนนั้นเห็นว่าความตีความอย่างแคบเฉพาะสิทธิที่ผู้ป่วยจะปฏิเสธการรักษาหรือที่เรียกว่าการทำให้ตายอย่างสงบต่อผู้ป่วยโดยอ้อม (passive voluntary euthanasia) คือ การที่ผู้ป่วยสมัครใจให้แพทย์งดหรือการหยุดการรักษาที่จะช่วยยืดอายุขัยของผู้ป่วยออกไป เช่น การให้แพทย์ถอดเครื่องช่วยหายใจ เป็นต้น ไม่รวมถึงการที่แพทย์ทำให้ผู้ป่วยตายอย่างสงบโดยตรง (active voluntary euthanasia) ซึ่งแม้ว่าการกระทำดังกล่าวจะเกิดจากความสมัครใจของผู้ป่วยเองก็ตาม แต่ก็ยังมีข้อโต้แย้งจากนักกฎหมายหลายท่านและความเห็นของคนในสังคมว่าเป็นความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาหรือไม่อยู่ จึงกล่าวได้อีกหนึ่งว่ามนุษย์มีสิทธิธรรมชาติที่ จะตายตามธรรมชาติโดยปราศจากพันธนาการทางเทคโนโลยีเพื่อช่วยยืดชีวิตของผู้ป่วยระยะสุดท้ายออกไป และผู้ป่วยนั้นย่อมได้ตายอย่างมีศักดิ์ศรี สิทธิที่ป่วยปฏิเสธการบำบัดรักษาจากแพทย์จึงเป็นส่วนหนึ่งของสิทธิมนุษยชน
นอกจากนี้ การที่อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนไม่ได้บัญญัติสิทธิที่จะตายไว้เป็นลายลักษณ์อักษรนั้น มิได้หมายความว่ามนุษย์ไม่มีสิทธิที่จะตาย แต่ผู้ร่างน่าจะมีเจตนารมณ์ที่จะไม่ให้สิทธิที่จะตายเป็นสิทธิเด็ดขาดของมนุษย์มิเช่นนั้นย่อมก่อให้เกิดความวุ่นวายในสังคมได้ เพื่อป้องกันการใช้สิทธิที่จะตายเป็นสิทธิที่อ้างกันทั่วไป ดังนั้น จึงไม่ปรากฏสิทธิที่จะตายในอนุสัญญาระหว่างประเทศฉบับใด
บรรณานุกรม
หนังสือภาษาอังกฤษ
Smith, K.M. Rhona. Textbook on International Human Rights. Oxford University Press, 2003.
Steiner, J. Henry and Philip Alston. International Human Rights in Context Law Politics – Morals. Reprinted twice : Oxford University Press, 1996.
Talib, Norchaya .Euthanasia- A Malaysian Perspective. SWEET & MAXWELL ASIA, 2002.
หนังสือภาษาไทย
กองทุนศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ร่วมกับแพทยสภา.การให้ผู้ป่วยที่สิ้นหวังตายอย่างสงบ: ร่วมสานความคิดสู่วิธีปฏิบัติ.กรุงเทพมหานคร:สำนักพิมพ์เดือนตุลา, 2544.
พระอาจารย์โพธิ์ จันทสโร และคณะ.การให้ผู้ป่วยที่สิ้นหวังตายอย่างสงบ(Euthanasia).พิมพ์ครั้งที่ 2: สำนักพิมพ์วิญญูชน, 2543.
แสวง บุญเฉลิวิภาส.กฎหมายและข้อควรระวังของผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์และพยาบาล. พิมพ์ครั้งที่ 3: สำนักพิมพ์วิญญูชน, 2546.
แสวง บุญเฉลิมวิภาส และเอนก ยมจินดา. กฎหมายการแพทย์(Medical Laws) วิเคราะห์ปัญหากฎหมายจากการเริ่มต้นของชีวิตในครรภ์มารดาถึงภาวะแกนสมองตาย.พิมพ์ครั้งที่ 2: สำนักวิญญูชน, 2546.
หมายเหตุ ผู้อ่านสามารถ download บทความเต็มของผู้เขียน เรื่อง "สิทธิของผู้ป่วยที่สิ้นหวังในการตายอย่างสงบ" ได้ที่ http://www4.msu.ac.th/politics/Book6y/4/4/2.pdf
[1] วิฑูรย์ อึ้งประพันธ์, ทิษณุ เพ็งไพบูลย์ และอนันต์ บุญเกิด, “การปล่อยให้ผู้ป่วยตายอย่างสงบกับความรับผิดทางอาญา,” บทบัณฑิตย์ เล่มที่ 42 ตอนที่ 3 กันยายน 2529, น. 116.
[2] นันทน อินทนนท์, “ปัญหากฎหมายเกี่ยวกับการตายโดยสงบ,” บทบัณฑิตย์ เล่ม 57 ตอน 4, (2544) น. 130.
[3] ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ, “กฎหมายกับการปล่อยให้ตายอย่าสงบ,” บทบัณฑิตย์ เล่มที่ 49 ตอน 4 ธันวาคม 2536, น.42.
[4] ประทีป อ่าววิจิตรกุล, “EUTHANASIA,” ดุลยพาห เล่มที่ 4 ปีที่ 43 ตุลาคม- ธันวาคม 2539 น. 192.
[5] อัจฉรา วีระชาลี, “สิทธิผู้ป่วย,” (วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2537) น. 25.
[6] ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 124 ตอนที่ 47 ก ลงวันที่ 24 สิงหาคม 2550
[7] ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 124 ตอนที่ 47 ก ลงวันที่ 24 สิงหาคม 2550 หน้า 3
[8] ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 124 ตอนที่ 47 ก ลงวันที่ 24 สิงหาคม 2550 หน้า 7
[9] ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 124 ตอนที่ 47 ก ลงวันที่ 24 สิงหาคม 2550 หน้า 7
[10] ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 124 ตอนที่ 16 ก ลงวันที่ 19 มีนาคม 2550 หน้า 4
ตามมาอ่าน อยากให้อ่านเรื่องการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายของคุณหมอสกล หรือคุณหมอเต็มศักดิ์ หรือพระไพศาล วิสาโล จังเลยครับอาจารย์ หายไปนาน สบายดีไหมครับ
ขอบคุณมากค่ะ คุณขจิต สำหรับการติดตามและคำแนะนำดีๆ ค่ะ
ไว้ดิฉันจะไปหาอ่านนะคะ
ตอนนี้ดิฉันสบายดีค่ะ และก็เพิ่งจะพอมีเวลาว่างจากงานสอนเด็กๆ ค่ะ
ว่างๆ คงต้องขอคำแนะนำเกี่ยวกับสอนภาษาอังกฤษอาจารย์บ้างแล้วล่ะค่ะ ขอบคุณมากค่ะ