การอ่านเป็นวาระแห่งชาติอีกแล้ว?


นำบทความในมติชนมาให้อ่านค่ะ  ตอนแรกบันทึกแล้วข้อความไม่มาเลยลองบันทึกอีกครั้งหนึ่ง

 การอ่านเป็นวาระแห่งชาติอีกแล้ว ?

วันที่ 05 กันยายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11501 มติชนรายวัน  หน้า 9


สายพิน  แก้วงามประเสริฐ

                มีนโยบายไม่กี่เรื่องที่กระทรวงศึกษาธิการแต่ละยุคแต่ละสมัยมักจะประกาศเป็นวาระแห่งชาติ  หนึ่งในจำนวนนโยบายหลัก ๆ คือ  การประกาศให้การอ่านเป็นวาระแห่งชาติ  การที่เรื่องการอ่านถูกประกาศเป็นวาระแห่งชาติเสมอ ๆ จนแทบจะทุกรัฐบาล  รวมทั้งสถิติที่ปรากฏว่าคนไทยอ่านหนังสือวันละไม่กี่บรรทัดจนกระทั่งคนไทยอ่านหนังสือเฉลี่ยคนละ 39 นาทีต่อวัน หรือเฉลี่ยคนละ 5 เล่มต่อปี  ซึ่งถือว่ายังน้อย

                การที่วาระแห่งชาติยังวนเวียนกับเรื่องการอ่านไม่เปลี่ยนแปลงมาหลายปี  สะท้อนให้เห็นว่านโยบายของกระทรวงศึกษาธิการเกี่ยวกับเรื่องการอ่านยังไม่ประสบความสำเร็จ  เพราะหากการอ่านเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของผู้คนทั้งในและนอกโรงเรียนแล้ว  คงไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่กระทรวงศึกษาธิการจะต้องประกาศให้เรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติให้เสียเวลาอีก

                ไม่มีใครปฏิเสธว่าการอ่านมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของผู้คน  โดยไม่เลือกว่าเป็นใคร  และหลาย ๆ คนก็รู้ดีว่าหากเทียบกับประเทศที่เจริญแล้ว  หรือเทียบกับประเทศในเอเชีย  ที่เจริญกว่าเรา  ประเทศเหล่านั้นคนอ่านหนังสือมากกว่าคนไทย  ทำให้แปลกใจว่าวัฒนธรรมอันใดหรือที่ทำให้คนไทยอ่านหนังสือน้อยกว่าคนชาติอื่น  และจะยิ่งน้อยมากขึ้น  โดยเฉพาะในคนรุ่นใหม่ในปัจจุบันนี้

                การประกาศให้การอ่านเป็นวาระแห่งชาติมาหลายครั้ง  แต่เหตุใดสถิติการอ่านของคนไทย  โดยเฉพาะเด็กที่อยู่ในวัยเรียนจึงไม่ประสบผล  เมื่ออ่านหนังสือน้อย  ฐานข้อมูลที่ควรจะเก็บไว้ในสมองเพื่อดึงมาใช้สำหรับการคิด วิเคราะห์ คิดให้เป็นก็ทำไม่ได้

                น่าสนใจว่าในส่วนของทั้งภาครัฐและเอกชนทั้งที่ได้ระดมสรรพกำลังเพื่อกระตุ้น  ส่งเสริมให้คนไทยรักการอ่านนั้น  ยังทำไม่เต็มที่? อย่างไร  หรือสาเหตุที่ทำให้นโยบายนี้จะยังคงใช้ได้ในรัฐบาลต่อ ๆ ไป    เพราะอะไร

                ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับการอ่านของคนไทยคือ  คนไทยอ่านหนังสือเฉลี่ยคนละ 39 นาทีต่อวัน  บางหน่วยงานที่สำรวจพบว่าคนไทยอ่านหนังสือเฉลี่ยคนละ 5 เล่มต่อปี  ไม่ว่าจะคิดเป็นเวลาหรือจำนวนเล่มก็ตาม   แต่ข้อมูลเหล่านี้ก็สะท้อนว่า   คนไทยอ่านหนังสือน้อยหากเทียบกับประเทศที่เจริญแล้ว 

                คำว่า คนไทย   ในที่นี้น่าจะแยกออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ  เด็กที่ยังอยู่ในวัยเรียนกับคนที่อยู่ในวัยทำงาน  ซึ่งประกอบไปด้วยคนหลากหลายอาชีพ  ทั้งอาชีพที่เกี่ยวข้องกับหนังสือ  มีความสามารถที่จะซื้อหนังสือมาอ่านเองได้  และที่ไม่มีความสามารถที่จะซื้อหนังสือมาอ่าน  เนื่องจากรายได้จำเป็นต้องเก็บไว้ใช้ในเรื่องที่จำเป็นมากกว่านี้  เช่น  เรื่องปากท้องของตนเอง

                คนส่วนนี้อาจอยู่ตามหมู่บ้านในชนบทที่ห่างไกล  หรืออาจอยู่ในเมืองใหญ่ ๆ ก็ตาม  ควรได้รับการส่งเสริมให้เข้าถึงโอกาสในการอ่านเช่นเดียวกัน  แม้ว่าในบางหมู่บ้านจะมีที่อ่านหนังสือพิมพ์ประจำหมู่บ้าน  แต่ต้องกลับไปสำรวจตรวจสอบว่าที่อ่านหนังสือพิมพ์ประจำหมู่บ้านมีหนังสืออะไรให้อ่านบ้าง  นอกจากหนังสือพิมพ์  หนังสือเก่า ๆ ไม่กี่เล่ม  แค่มองยังไม่น่ามอง  แล้วจะเชิญชวนให้หยิบไปอ่านได้อย่างไร

                บางท้องถิ่นมีห้องสมุดประชาชน  ตั้งอยู่อย่างเงียบเหงา  ชาวบ้านไม่ค่อยรู้ด้วยซ้ำว่าห้องสมุดประชาชนของตนเองอยู่ที่ไหน  จะเข้าไปใช้บริการได้หรือไม่  ความขลัง ของสถานที่ราชการ ที่มีความเป็น ราชการ มาก อาจรวมไปถึงความเป็น ราชการ ของเจ้าหน้าที่ห้องสมุด  จึงทำให้ห้องสมุดประชาชนดูเหมือนเป็นสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์  ที่ชาวบ้านเกิดความยำเกรงไม่กล้าและไม่คิดที่จะไปใช้บริการ

                ยังไม่รวมถึงหนังสือในห้องสมุดประชาชนว่าน่าอ่าน น่าสนใจเพียงใด  มีความเหมาะสมกับแต่ละท้องถิ่นหรือไม่  เคยสำรวจหรือไม่ว่าเขตพื้นที่บริการของห้องสมุดประชาชนอยู่บริเวณใดบ้าง  ชาวบ้านในละแวกนั้นต้องการอ่านหนังสือแบบใด  มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านให้กับประชาชนหรือไม่

                ในเรื่องของงบประมาณปีหนึ่ง ๆ รัฐจัดสรรงบประมาณเพื่อส่งเสริมการอ่านให้กับประชาชนมากน้อยเพียงใด  ส่วนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเคยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการอ่าน  สร้างเสริมสติปัญาให้กับคนในท้องถิ่นของตน  มากเพียงพอเท่ากับความสนใจที่จะขุดท่อ ทำถนน  หรือก่อสร้างสิ่งนั้นสิ่งนี้หรือไม่   

                คนไทยอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นตัวเลขแสดงปริมาณการอ่านได้ดี คือ  เด็กที่อยู่ในวัยเรียนเป็นที่ยอมรับว่าเด็กที่รักอ่านมักจะเกิดจากการปูพื้นฐานมาจากครอบครัวที่ให้ความสำคัญกับการอ่าน  และมาต่อยอดในระดับอนุบาลไปจนเรียนมหาวิทยาลัย

                น่าแปลกใจว่า การอ่านเป็นวาระแห่งชาติ มาหลายครั้งและทุกครั้งเป้าหมายอยู่ที่สถานศึกษา  โดยเฉพาะสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นส่วนใหญ่  การที่ไม่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้น่าจะเป็นเพราะการระดมสรรพกำลังที่จะส่งเสริมการอ่านยังไม่เพียงพอ  จึงต้องปรับกระบวนท่ากันใหม่  เป็นลำดับชั้นว่าทำกันอย่างไร  มากกว่าสั่งให้ทุกโรงเรียนส่งเสริมการอ่าน  ส่วนครูก็สั่งให้เด็กอ่าน  โดยลืมมองไปว่า การรักการอ่าน เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากความพึงพอใจ  ความอยากที่จะอ่าน  เพราะเห็นความสำคัญ  และคุ้นชินที่จะอ่านมาเป็นเวลานาน  โดยเฉพาะการปลูกฝังมาแต่เยาว์วัย

                ดังนั้นแม้ว่าการส่งเสริมการอ่านจะเป็นกิจกรรมที่โรงเรียนส่วนใหญ่ส่งเสริมกันอยู่แล้ว  แต่จะได้ผลเพียงใดต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมหลายประการได้แก่

                การที่เด็กจะเข้าไปอ่านหนังสือในห้องสมุดหรือยืมหนังสือไปอ่านที่บ้านก็ตาม   หนังสือต้องน่าอ่าน  เป็นหนังสือใหม่ที่น่าสนใจอยู่ตลอดเวลา   ดังนั้นหากจะให้การอ่านเป็นวาระแห่งชาติที่ประสบความสำเร็จจริง  ต้องพิจารณาว่าแต่ละปีกระทรวงศึกษาธิการจัดสรรงบประมาณสำหรับซื้อหนังสือเข้าห้องสมุดให้แต่ละโรงเรียนมากน้อยเพียงใด   เฉลี่ยต่อหัวเท่าไร  เพียงพอที่จะสร้างแรงจูงใจในการอ่านหรือไม่  หรือหากคิดเป็นจำนวนเล่ม  แต่ละโรงเรียนซื้อหนังสือได้กี่เล่ม  1 เล่มต่อนักเรียนกี่คน  หากเทียบกับต่างประเทศไทยใช้งบประมาณสำหรับหาหนังสือดี ๆ น่าอ่านให้กับเด็กได้มากน้อยเพียงใด

                หรือหากเทียบกับการที่รัฐจัดสรรงบประมาณสำหรับซื้อคอมพิวเตอร์แจกจ่ายให้กับโรงเรียนปีหนึ่ง เท่าไร  ขณะที่งบประมาณที่ให้โรงเรียนจัดซื้อหนังสือคิดเป็นสัดส่วนเท่าไร  ซึ่งจะพบว่ารัฐให้ความสำคัญกับการซื้อคอมพิวเตอร์มากกว่า   จนเด็กไทยมีความเชี่ยวชาญในการใช้คอมพิวเตอร์  สังเกตจากเด็กเล่นเกมเก่ง  มีทักษะในการใช้คอมพิวเตอร์ได้ดี   บางโรงเรียนเด็กมีความสามารถในการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้หลากหลายประเภท   สามารถนำความรู้ไปใช้งานได้   หารายได้พิเศษได้เป็นอย่างดี  ขณะเดียวกันเด็กจะอ่านหนังสือน้อย   เพราะมัวสาละวนกับการเล่นเกม เล่นเน็ตมากกว่าอ่านหนังสือ  หรือถ้าอ่านก็มักอ่านจากอินเทอร์เน็ตมากกว่าอ่านในหนังสือ   ทั้งที่ข้อมูล ความรู้จากอินเทอร์เน็ตบางเรื่องจำเป็นต้องพิจารณาถึงความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ อย่างละเอียดถี่ถ้วนมากกว่าในหนังสือ

                ประการต่อมา  หนังสือที่มีอยู่ในห้องสมุด  หรือซื้อแต่ละปีนั้น  นอกจากต้องมีปริมาณเพียงพอแล้ว  ยังต้องน่าอ่าน น่าสนใจ  เหมาะกับวัยของเด็ก  ดังนั้นผู้รับผิดชอบเรื่องซื้อหนังสือเข้าห้องสมุดคงต้องเข้าใจธรรมชาติของเด็กแต่ละช่วงวัยว่าต้องการอ่านหนังสืออะไร  องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ อาจเข้ามาสนับสนุนงบประมาณได้  หากเห็นความสำคัญของการอ่าน  แต่ก็ไม่ควรไปซื้อเองเพราะเกรงว่าจะได้หนังสือที่ไม่มีคุณภาพ  ไม่ตรงกับความต้องการที่เด็กจะอ่าน  รวมทั้งการซื้อหนังสือควรมุ่งที่ความน่าอ่าน น่าสนใจ  ประโยชน์ที่เด็กจะได้รับ  ทั้งความรู้ และความบันเทิงมากกว่าความมุ่งหมายอื่นใดที่ไม่เป็นประโยชน์แก่เด็กและเยาวชน

                การที่เด็กยังอ่านหนังสือน้อย  อาจรวมไปถึงการซื้อหนังสือเข้าห้องสมุดแต่ละปีมักจะจัดซื้อกันปีละครั้งสองครั้ง  ขณะที่หนังสือดี ๆ น่าอ่านของสำนักพิมพ์ ต่าง ๆ ออกมาแทบจะทุกสัปดาห์ ทุกวัน  เมื่อมีการเปิดตัวหนังสือแต่ละเล่ม  มีการโฆษณาทางโทรทัศน์ หรือสื่ออื่น ๆ สามารถเรียกร้องความสนใจจากผู้อ่านได้มาก  เด็กอาจจะอยากอ่าน   แต่กว่าสถานศึกษาจะได้จัดซื้อหนังสือเล่มนั้นอาจทิ้งช่วงเป็นเวลานาน   ความสนใจอยากอ่านหนังสือของเด็กคงลดลงด้วย  ต้องแก้ปัญหาด้วยการให้บรรณารักษ์มีสภาพคล่องในการใช้งบประมาณเพื่อสั่งซื้อหนังสือที่ทันสมัย  ทันเหตุการณ์ได้มากกว่านี้

                นอกจากนี้การจัดกิจกรรมส่งเสริมและกระตุ้นให้เด็กกระตือรือร้น  ที่จะอ่านหนังสือก็สำคัญมาก   บางทีในโรงเรียนอาจมีกิจกรรมส่งเสริม กระตุ้นการอ่านน้อยเกินไป  โรงเรียนควรจัดบรรยากาศให้เด็กได้ใกล้ชิด  หรือสัมผัสแวดวงหนังสือ  ทั้งการเชิญนักเขียน  นักอ่าน ที่ประสบความสำเร็จจากการนำความรู้จากการอ่านไปใช้ในชีวิตจริงได้   เพื่อสร้างแรงจูงใจในการอ่าน  หรือจัดกิจกรรมเข้าค่ายฝึกทักษะการอ่านการเขียนเหมือนที่หลายสำนักพิมพ์ทำ   หากได้รับการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนก็น่าเชื่อว่า  หลาย ๆ โรงเรียนน่าจะมีกิจกรรมส่งเสริมการอ่านที่น่าสนใจ  สร้างแรงจูงใจในการอ่านได้ดี

ในส่วนของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาก็ควรให้ความสำคัญกับกิจกรรมส่งเสริมนิสัยรักการอ่านอย่างจริงจัง  ให้มีบรรยากาศเหมือนส่งเสริมการอ่านจริง ๆ  ไม่ใช่เพียงจัดนิทรรศการวันสองวันมุ่งเน้นแค่ได้ถ่ายภาพว่าได้ส่งเสริมแล้ว  แต่ไม่เคยติดตามว่าการประชาสัมพันธ์ให้แต่ละโรงเรียนได้รับรู้  ได้เข้าร่วมกิจกรรมมีมากน้อยเพียงใด  การเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมกิจกรรมของโรงเรียนและปริมาณมากน้อยเพียงใดก็แสดงนัยยะอะไรบางอย่างของการทำงานส่งเสริมการอ่านของเขตพื้นที่การศึกษาเช่นกัน

นอกจากนี้การจัดกิจกรรมส่งเสริมการรักการอ่านให้กับโรงเรียน  และการจัดประกวดโรงเรียนรักการอ่าน ผู้บริหารรักการอ่าน  ครูรักการอ่าน  นักเรียนรักการอ่านควรได้มีภาพ (ไม่ใช่รูปถ่าย)  ที่แสดงถึงความกระตือรือร้นของทั้งคนจัด  และผู้เข้าร่วมกิจกรรม   อีกทั้งเมื่อการอ่านเป็นวาระแห่งชาติ  เขตพื้นที่การศึกษาต้องหายุทธวิธีส่งเสริมการอ่าน   ส่งเสริมจริง ๆ ด้วยการเข้ามาเป็นพี่เลี้ยงช่วยคิด  ช่วยจัด  และส่งเสริมให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมจริง ๆ   มากกว่าสั่งให้โรงเรียนทำหรือแค่ต้องการได้ตัวเลขข้อมูลจากโรงเรียนเท่านั้นว่าเด็กรักการอ่านกี่คน  อ่านหนังสือวันละกี่นาทีต่อคนเท่านั้น

นอกจากนี้การจัดบรรยากาศในโรงเรียนให้ส่งเสริมนิสัยรักการอ่านให้กับเด็กแล้ว  บรรยากาศของสังคมที่แวดล้อมตัวเด็กยังพบว่าไม่เอื้ออำนวยต่อการปลูกฝังพฤติกรรมรักการอ่านของเด็ก ๆ รอบ ๆ สถานศึกษาที่เต็มไปด้วยร้านเกม  เมื่อเดินออกจากโรงเรียนก็เข้าร้านเกม   หรือสถานบันเทิงอื่น ๆ สื่อทางโทรทัศน์ที่วันหนึ่ง ๆ เด็ก ๆ ใช้เวลาอยู่หน้าโทรทัศน์วันละหลายชั่วโมง  ไม่ว่าสื่อของรัฐหรือเอกชนรวมทั้งช่องที่เป็นสื่อสาธารณะแทบไม่ปรากฏกิจกรรม   หรือภาพการส่งเสริมการอ่านแต่อย่างใด  หรือแม้แต่ตัวละครในโทรทัศน์ไม่ว่าจะเป็นพระเอกหรือตัวร้ายก็ตาม  ล้วนแล้วแต่ไม่ได้มีพฤติกรรมของความเป็นตัวอย่างของผู้มีนิสัยรักการอ่านแม้แต่น้อย

สังคมไทยทั้งในชีวิตจริงและในจินตนาการ  หรือโลกในความฝัน   ล้วนแล้วแต่ไม่ได้อยู่ในบรรยากาศของการรักการอ่าน  จึงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใดที่เด็กและคนไทยจะมีพฤติกรรมที่แสดงถึงการรักการอ่านอยู่ในเกณฑ์ต่ำ

การที่รัฐบาลต้องการกำหนดให้ การอ่าน เป็นวาระแห่งชาติ มาหลายปีหลายรัฐบาล  ไม่ประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจสักที  คงเป็นเพราะวัฒนธรรมของ ระบบราชการไทย  ที่มักมีแต่คนคิดแล้วสั่งให้คนอื่นทำ  โดยไม่เสนอความคิดต่อว่าที่ควรจะทำ  ทำอย่างไร  จึงมีระบบการสั่งการตั้งแต่ข้างบนลงสู่ข้างล่าง   โดยหวังเพียงข้อมูลตัวเลขมากกว่า  แทนที่จะเสนอวิธีการกันเป็นลำดับชั้น   จนถึงระดับปฏิบัติการจะได้ประมวลแนวคิดจากระดับนโยบายลงมาผสมกับความคิดของผู้ปฏิบัติ  อาจทำให้การอ่านไม่ต้องเป็นวาระแห่งชาติอีกทุกปีไป   เพราะคนไทยรักการอ่านอยู่ในจิตวิญญาณกันอยู่แล้ว

 

หมายเลขบันทึก: 294871เขียนเมื่อ 6 กันยายน 2009 07:11 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 พฤษภาคม 2012 05:49 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

เพิ่งอ่านงานเขียนอาจารย์ในหนังสือพิมพ์มติชน ชอบมากๆๆ

ขอบคุณค่ะอาจารย์ อ่านบล็อคของอาจารย์อยู่เสมอ ๆ ค่ะ

I found your blog and articles excellent exhibitions of scientific analysis and poetry in literature.

I appreciate your viewpoints and your optimism for the future of (education in) Thailand.

If politicians ever 'deeply read' your articles, I have no doubts they would bring on a 'happiness index' to the top of the national agenda. Thais are used to having problems. Perhaps, we should now learn to have fun while solving our problems too ;-)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท