ไม่กี่วันมานี้ ฉันมีความในใจบางอย่างที่คอยใคร่ครวญหาคำตอบอยู่เรื่อยๆ แล้วก็ยังไม่พบกับคำตอบนั้นเลย มิหนำซ้ำในระหว่างการใคร่ครวญสืบค้นนั้น กลับมีบางครั้งที่ฉันพบว่า มันนำพาไปสู่การเปิดเทปม้วนเก่าที่คอยแต่จะป้อนข้อมูลด้านลบให้เกิดการตัดสินผู้คนอีกด้วย
แน่นอนว่าเมื่อข้อมูลลบมันส่งเสียงเข้ามาให้รับรู้อยู่แพลมๆนั้น มันย่อมพาให้ความคิดทำงานในด้านลบไปด้วย โชคดีที่คอยขืนตัวตนไว้ เพื่อให้ไม่พาตัวคล้อยไปตามอารมณ์ลบ สติที่ตามหลังมาจึงพอจะช่วยให้ดำรงไว้ซึ่งภาวะความช้าของความคิดตัดสินเอาไว้ได้
โชคดีอีกเหมือนกันที่เมื่อวานระหว่างการนั่งคุยกันในกลุ่มผู้ทำงานด้วยกัน ที่รู้ทันว่าเกือบไปแล้วที่เทปม้วนเก่ากำลังจะเปิดทำงานเพื่อนำพาให้ไปตกร่องตกหลุมด้วยกันทั้งกลุ่ม ความรู้ทันทำให้ยั้งตัวได้ทัน
การณ์กลับเป็นว่ามีน้องคนหนึ่งในกลุ่มกลายเป็นผู้ตกร่องตกหลุมจนตะกายไม่ขึ้นอีกแล้วเมื่อคุยกันเรื่องผลสำเร็จของงาน มีคำหนึ่งที่เธอหลุดเสียงออกมาให้ได้ยิน แล้วสะกิดใจ คำนั้นคือ “เดี๋ยวนี้....กลายเป็นคนที่สูญเสียความมั่นใจในตัวเองไปซะแล้ว……”
รับรู้เสียงที่ได้ยินว่าเธอหวั่นไหวอะไรบางอย่างอยู่ในใจ รับรู้มาตลอดว่ามีอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอตกอยู่ในร่องอารมณ์
เพิ่งรับรู้เมื่อวานนี้ว่า สิ่งที่แสดงต่อกันมาตลอดก่อนหน้าว่า ยอมรับในความสามารถของเธอ ทำให้ไม่มีอะไรที่จะต้องเข้าไปดูแลเธอเป็นพิเศษ แม้แต่ข้อเสนอแนะ มันกลับเป็นการทำร้ายเธอ
แต่ก่อนเวลาที่เธอนำงานที่มอบหมายมาบอกเล่านั้น ฉันจะมีความเห็นของฉันแลกเปลี่ยนให้เธอรับรู้เสมอ และส่วนใหญ่ก็เป็นความเห็นที่ต่างมุมมองออกไป เพิ่งมานึกได้เมื่อวานนี้เองว่า คำที่ติดปากเสมอเวลาที่พูดออกมาเวลาประชุมด้วยกันในทีมเมื่อแต่ละคนจะบอกเล่าความเห็นที่ต่างมุมมองของตัวเอง คือ คำว่า “ไม่ใช่.....” แล้วให้ความเห็นต่อว่าเป็นอย่างนี้ อย่างนั้น แล้วก็จบคำพูดลง มันเหมือนคำพูดที่ได้ยินนายกรูปหล่อให้สัมภาษณ์เมื่อเช้านี้เลยอะไรอย่างนั้น “ไม่ใช่.....”
นึกย้อนไปแล้วก็เห็นภาพปฏิกิริยาสะท้อนตอบของเธอขึ้นมารำไรแล้ว สิ่งที่กระทำโต้ตอบของเธอจะมีอยู่ 2 รูปแบบ รูปแบบหนึ่งก็คือ เงียบ เงียบ และ เงียบ ตลอดการสนทนาด้วยกัน และอีกรูปแบบก็คือการกล่าวคำแย้งที่เต็มไปด้วยอารมณ์ลบผสมผสานเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้น ตราบเท่าที่การสนทนายังไม่จบสิ้นลง และมีบางครั้งที่เธอเองจะเป็นผู้ที่ลุกผละจากวงสนทนาไปพร้อมด้วยอารมณ์ลบ จนทำให้หลายคนที่สนทนากันอยู่อึ้งกันไปและไม่สบายใจไปตามๆกัน
เมื่อวานนี้ก็มีเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อฉันเอ่ยปากตอบเธอไปตรงๆ หลังจากที่ฉันได้ยินคำบอกว่า เธอสูญเสียความมั่นใจไปหมดแล้วพร้อมกริยาที่บอกถึงการกำลังมีความโกรธ ฉันบอกเธอไปว่าฉันอยากให้เธอพิจารณาหยุดการทำร้ายตัวเองของเธอลงซะเถอะนะ สิ้นเสียงที่ฉันบอกเธอไป เธอก็ยังคงอยู่ในร่องอารมณ์ลบของเธอ และเงียบอยู่เป็นครู่ แล้วก็ขอตัวลุกออกไปจากกลุ่มด้วยกริยาที่เต็มไปด้วยความโกรธโดยที่การสนทนาของกลุ่มยังไม่จบลง
วันนี้พอมีเวลาว่างให้เปิดอ่านบทความในเว็บ เปิดเข้า g2k ก็เจอบทความของอาจารย์นกไฟอยู่ตรงหน้า เมื่อเห็นเป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับลูกศิษย์ของอาจารย์จึงเปิดเข้าไปอ่าน ก็ได้เจอเรื่องเล่าของลุงเหม อ่านจบแล้วปิ๊งกับเรื่องราวเกี่ยวกับความรู้สึกของเธอขึ้นมาฉับพลันทันที
หวนนึกไปแล้ว ก็บอกตัวเองให้ครองสติเพื่อให้มีเวลาขออภัยความรู้สึกของตัวเองทันทีเช่นกัน เป็นการขออภัยเพื่อเตือนให้ไม่นำพาตัวเองตกลงไปในร่องหลุมอารมณ์เสพติดความรู้สึกผิดเหมือนที่เคยเกิดมาแล้วกับเหตุการณ์ของน้องอีกคนหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว ที่กว่าตัวฉันจะพาตัวเองหลุดออกมาจากการเสพติดความรู้สึกผิดในตอนนั้นได้ก็ทอนพลังของตัวเองไปมากมายจนเกือบหมดความอยากทำงานไปเลยเชียวแหละ แล้วใช้เวลากว่าปีเชียวนะ กว่าที่จะให้อภัยตัวเองได้
ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่า
แค่คำว่า “ไม่ใช่.....”
แค่การยอมให้เธอทำอะไรตามใจตัวเองได้ทุกอย่างที่เธอปฏิเสธไม่อยากทำ ด้วยเหตุผลที่ยอมรับกันว่า เธอมีโรคประจำตัวที่ควรเอื้อให้ทำงานน้อยกว่าคนอื่นๆ
แค่การไม่มอบหมายงานที่เธอเคยทำได้ให้เธอลงมือทำ ด้วยความเห็นว่า ไม่จำเป็นต้องใช้ฝีมือระดับเธอก็ได้
แค่การคิดว่า ไม่ต้องการให้เธอไปตรากตรำคลุกคลีกับใครโดยไม่จำเป็นจะเป็นการดี การให้เธอทำงานแค่ใช้ความคิด ขอการเสนอความคิดในมุมมองของเธอ โดยไม่จำเป็นต้องบอกขอบเขตของงาน แล้วให้เธอตัดสินใจเองภายใต้บริบทความคิดและความเป็นไปได้ของการลงมือทำงานของเธอ ไม่้ชี้แจงความปรารถนาดีที่ซ่อนอยู่จะเป็นการดีกว่าู้ เพื่อเธอจะได้ไม่รู้สึกว่าถูกสงสาร จนทำให้กลายเป็นกรณีทำร้ายจิตใจของเธอจนทอนความมั่นใจของเธอลงไปได้
กลับให้ผลที่ไม่อยากให้เกิด....เกิดขึ้นมาได้
วันนี้ขอบคุณเรื่องราวของลุงเหมจริงๆ ที่มาชี้บอกมุมนี้ให้เห็นว่าเธอเป็นแผ่นเสียงตกร่องเพราะอะไร
อิสรภาพที่เคยมีมันหายไปหมดเลยนี่เอง เธอเลยเครียด หงุดหงิด
ความเป็นคนไม่เคยเรียกร้องอะไร ทำให้เมื่อทำอะไรไม่ได้ ก็เลยขัดใจไปหมด จนกลายเป็นไม่พอใจมากๆ มากๆเข้าก็เลยระบายออกมาจนทำให้คนรอบๆข้างรวมทั้งตัวเองเครียดไปพักใหญ่
ขอบคุณน้องนักเรียนแพทย์ด้วยที่ชี้ประเด็นสำคัญของผลกระทบความเจ็บป่วยในมุมมองที่น่าสนใจ เกี่ยวกับการมอบหน้าที่การงานที่ฉันและคนรอบข้างในงานอื่นๆได้กระทำลงไป รวมไปถึงการตอบสนองต่อการกระทำของเธอในยามที่เธอระบายอารมณ์ลบออกจากตัว ที่กลายเป็นการแยกเธอออกจากสังคมรอบตัวอย่างไม่ได้ตั้งใจ
เธอเครียดกับความรู้สึกว่า้ เธอถูก "แยก" ออกจากสังคมเดิม นี่เอง
วันนี้เข้าใจทุกข์ของเธอแล้วละ เป็นอะไรที่เป็น "ทุกข์" เสียยิ่งไปกว่าการมีโรคประจำตัวที่พวกเราๆในทีมงานมองเป็น "เรื่องใหญ่" ของเธอซะอีก
"รังสี" ความไม่ลงรอยระหว่างกัน การถูกมองคล้ายๆกับจะเป็น "difficult personel" หรือ "คนเจ้าปัญหา" ของคนรอบข้างยิ่งทำให้เธอทุกข์มากขึ้น เพราะทำให้เธอถูก "ไม่เข้าใจ" ซ้ำเข้าไปอีก
มองย้อนกลับไปวันนี้ เข้าใจแล้วว่าเมื่อวานนี้เธอโกรธอะไร เธอน่าจะโกรธเพราะ "การไม่ฟังเธอ" เท่าที่ควรนะเออ
ขอโทษนะน้องนะ ที่ไม่ได้สะท้อนให้น้องรับรู้ว่า ได้รับรู้ "อารมณ์ความรู้สึก" ที่น้องกำลังทุกข์อยู่ให้เข้าใจกัน อะไรที่ฉันทำไปทุกเรื่องที่ผ่านมานั้นไม่ได้ต้องการทำร้ายน้องเลยนะ ขอโทษนะที่กลายเป็นเผลอทำร้ายไปอย่างไม่้ตั้งใจไปซะนี่
ที่บอกน้องว่า โปรดหยุดทำร้ายตัวเองซะเถอะนั่นนะ พูดจากใจที่ซื่อตรงกับใจตัวเองนะจะบอกให้ มองเห็นน้องทุกข์จนตกอยู่ในร่องอารมณ์ลบอยู่ตลอดเวลาเลยแหละนะน้องเอ๋ย เวลาน้องยิ้มมันก็รู้สึกว่าเป็นยิ้มที่น้องฝืนยิ้มอยู่นะ
ภาวนาอยู่ทุกค่ำคืนให้น้องสามารถก้าวข้ามมันไปได้
หมายเหตุ
บันทึกเรื่องนี้ไว้เตือนใจ สำหรับหมอ พยาบาล ที่มีีคนทำงานรอบกายป่วยเป็นมะเร็ง หรือมีคนที่เผลอไปแยกตัวเขาออกจากสังคมด้วยการไม่ใช้งานเขาโดยไม่ตั้งใจ นะจ๊ะ นะจ๊ะ
สวัสดีครับ พี่หมอเจ๊
อ่านแล้วประทับใจครับ นึกถึงเรื่อง "You are the one who make a difference" ครับ เรื่องมีอยู่ว่าในโรงเรียน โรงเรียนหนึ่ง ครูมี project ให้นักเรียนทำความดีอะไรสักอย่างหนึ่ง (plot คล้ายๆกับหนังดีอีกเรื่องคือ "Pay it forward") ก็มีนักเรียนคนนึง เอา ribbon สีน้ำเงินทำเป็นพวงๆละ 3 เส้น แล้วก็เริ่มต้นจากนำไปผูกให้ครูคนหนึ่ง บอกว่า ribbon เส้นนี้หมายความว่า ครูทำให้ผมเกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ และผมขอขอบพระคุณ ผมขอร้องให้ครูเอา ribbon สีน้ำเงินอีกสามเส้นไป ผูกให้กับคนที่ครูคิดว่าเขาทำให้ครูเกิดการเปลี่ยนแปลง และทำต่อไปเรื่อยๆ
เรื่องราวก็ดำเนินไปถึงผู้จัดการบริษัทใหญ่คนหนึ่ง ที่จู่ๆก็มีลูกน้องทำใจกล้า ขอมาผูก ribbon ให้ เขาก็รู้สึกดีใจมากเลย เพราะปกติ ไม่ค่อยมีลูกน้องกล้าเข้ามาทำอะไรที่ดูไร้สาระ ไม่เกี่ยวกับงาน และทำให้เขาดีใจลึกๆที่ตนเอง ถูกลูกน้องคิดว่าเป็นแรงบันดาลใจทำให้เปลี่ยนแปลง ผู้จัดการคนนี้ก็คิดอยู่นานว่า เอ... แล้วตนจะเอาไปให้ใครดี คิดไม่ออก จนกระทั่งกลับบ้าน เห็นลูกชายที่ไม่ค่อยได้พบหน้าค่าตา นั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่นก็แปลกใจ และดีใจ เดินเข้าไปหาแล้วบอกกับลูกว่า "วันนี้พ่อมีเรื่องมาทำให้พ่อรู้สึกดีใจอย่างน่าประหลาด แล้วพ่อถูกขอให้หาคนที่เป็นแรงบันดาลใจ ทำให้พ่อเป็นอย่างที่พ่อพยายามจะเป็นทุกวันนี้ พอพ่อเห็นหน้าลูก ก็เลยนึกขึ้นมาได้ อยากจะเอา ribbon นี้ให้กับลูก และบอกกับลูกว่า ลูกเป็นคนที่ทำให้พ่อมีความหมาย และทำงานอยู่ได้ทุกวันนี้"
ปรากฏว่าลูกชายตกใจ ทำหน้าอึกอักอยู่นาน แล้วก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา วิ่งขึ้นไปข้างบนห้อง สักพักก็กลับลงมา ยื่นกล่องๆหนึ่งที่มีจดหมายแนบอยู่ให้พ่อ
ผู้จัดการก็งง หยิบจดหมายมาดู ก็ตกใจ เพราะเป็นจดหมายลาตายของลูกชาย ที่กำลังจะเอาปืนในกล่องของตนเองมายิงตัวตาย ปกติเขาจะยังไม่ทันกลับบ้านตอนนี้ แต่พอดีวันนี้กลับมาเร็วกว่าปกติ
เงยหน้าขึ้นมามองลูก ลูกก็บอกว่า "ผมไม่เคยทราบเลยว่าพ่อรักผม และคิดว่าผมเป็นแรงบันดาลใจ เพราะเราแทบจะไม่เคยเจอกัน นี่ผมไม่อยากจะคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าวันนี้พ่อไม่มาเร็วกว่าปกติ และได้บอกอะไรอย่างที่พ่อเพิ่มบอกผมไป"
===================================
บางที พวกเราที่เป็นห่วงเป็นใยกัน รักกัน แต่ยังขาดไปอีกอย่างหนึ่งคือ "การแสดงการรับรู้ถึงความรัก ความห่วงใย ออกมาดังๆ ชัดๆ" เรามักจะทำกำกวม เก็บไว้ ต่างกับคำตำหนิติเตียน ที่เราจะค่อนข้างเร็วที่จะพูด จะแสดงออก บางทีคนเราก็รับแต่ negative energy จะโดยตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจ แล้วก็เกิดผลกระทบที่คาดไม่ถึงมาก่อนอย่างเสียๆหายๆได้
น้อง นศพ.บุญสม คงจะดีใจ ที่สิ่งที่เขาทำไป อาจจะเกิดระลอกกระทบไปเรื่อยๆ โดยที่เขาก็ไม่ทราบ และไม่ตั้งใจ แต่กระแสแห่งความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงของกรรมและวิบาก มันทำงานของมันตลอดเวลาอย่างสัตย์ซื่อ และผลิดอกออกผลเมื่อสุกงอมตามที่ได้กำหนดไว้แล้วอย่างน่าทึ่ง
และมหัศจรรย์เป็นที่สุด
ขอบพระคุณที่ชวนเข้ามาอ่านเรื่องราวที่น่าประทับใจครับ
สวัสดีค่ะพี่หมอเจ๊
อ่านแล้ว...ชักไม่แน่ใจว่าพี่หมอเจ๊ยังตกอยู่ใน "ร่องอารมณ์รู้สึกผิด" ด้วยหรือเปล่าคะ
น่าจะไม่...น่า...เพราะพี่เองก็เข้าใจแล้วว่า...เพราะอะไรน้องเขาจึงแสดงอาการทุกข์ ออกมาขนาดนั้น....
น้องคิดว่า...ไม่มีใครอยากจะแสดงออกทางอารมณ์ ด้วยการลุกออกไปจากกลุ่มที่กำลังประชุมอยู่...นอกเสียจาก สุดจะทนต่อไป...
เธอคงไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้แล้ว
คิดว่าตัวเองเคยตกอยู่ในสภาพนี้เช่นกันค่ะ... ในครอบครัวจะมีพี่ ๆ ที่เก่ง ๆ กันไปคนละอย่าง ลูกคนเล็กหลงมา เอ๋อ ๆ หน้าตาก็แปลก ๆ ไม่น่ารักเหมือนพี่ ถูกล้อเล่นว่า...อุ้มผิดตัวมา ... ล้อกันด้วยความเอ็นดู แต่ในวัยเด็ก คำล้อเล่นนี้เป็นแผลเรื้อรังในใจ
ทำอะไร...ไม่เคยทำได้ดีเท่าพี่ ๆ เลยค่ะ อยากทำ เขาก็ไม่ให้ทำ ไม่ทันใจ ไม่ดีเท่าคนอื่น ... โอ้ย...แสนจะมีปมด้อย
ส่งผลให้มีอาการ...ดื้อตาใส ไม่เถียง ไม่พูด ไม่ทำตาม ไม่ขอร้อง ไม่...ๆ.ๆ.ๆ...
กว่าจะแก้ปมด้อย นี้ได้ ก็จบมหาวิทยาลัยแล้วค่ะ
มาแบ่งปันประสบการณ์ให้พี่คลายใจค่ะ ... ที่จะบอกพี่ก็คือ พฤติกรรมที่แสดงออกของคนเรา มีเบื้องหลัง สะสม บ่มเพาะมานานมากค่ะ ไม่ใช่ความผิดของคนอื่นที่อาจไม่เข้าใจเราดีพอ เราต่างหากที่ต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจ "ปม" ของเรา เพื่อให้อยู่ได้อย่างมีความสุขค่ะ
คิดถึงพี่เหมือนเดิมค่ะ รักษากายใจด้วยนะคะ
(^___^)
แวะมาเยี่ยมเยียนคุณหมอครับ
บางทีบรรยากาศของการคุยกันอาจจะสร้างความเข้าใจไปอีกทางหนึ่งก็ได้ครับ อาจจะต้องเปลี่ยนคนคุยด้วย เปลี่ยนบรรยากาศใหม่ๆ อาจจะำทำให้การสื่อสารระหว่างกันดีขึ้นก็ได้ครับ
สวัสดีครับคุณหมอเจ๊แซ่เฮคนงาม แวะมาอ่าน บันทึกที่ต้องอ่านสองรอบ ทั้งของผู้บันทึกผู้แสดงความเห็น ล้วนต้อง ขบ คิด พิจารณา หาทางออก แต่ยังบอกไม่ได้ว่าไปทางไหนครับหมอ