เมื่อไม่นานมานี้ ผมต้องขนลุกกับการได้ยินเรื่องราวของการส่งคนพม่ากลับข้ามประเทศ ซึ่งเป็นการได้ยินมากับเจ้าหน้าที่ระดับสูงในด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดระนอง แต่สำหรับคนที่รู้อยู่แล้วอาจจะรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องปกติ เพราะในทางปฏิบัติเป็นเช่นนี้ ส่วนผมนั้นตรงกันข้าม
การส่งคนพม่ากลับไปที่เกาะสอง ประเทศพม่านั้น เป็นการส่งฝ่ายเดียว เพราะทางการพม่าไม่ยอมรับคนที่ประเทศไทยผลักดันกลับ (ไม่มีการเจรจาทางการฑูตระหว่างสองประเทศที่ได้ผล)
ดังนั้นการส่งฝ่ายเดียวที่จังหวัดระนองจึงเป็นการนำคนพม่าลงเรือหางยาวจากท่าเรือ จังหวัดระนอง ไปส่งกลางทะเลตรงเส้นแบ่งแดนเท่านั้น ก็เป็นอันหมดหน้าที่ของฝั่งไทย เพราะได้ปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศเรียบร้อยแล้ว
เรือส่งคนพม่ากลับประเทศ
จากนั้นก็จะมีเรือทางฝั่งพม่ามารับซึ่งไม่ใช่ทางการของพม่าพาไป เท่าที่สอบถามมาเป็นเรือรับจ้าง ต้องจ่ายสตางค์ส่วนจะพาไปไหนก็แล้วแต่น้ำหนักของเม็ดเงิน
พวกเขาเหล่านั้นจะปลอดภัยหรือไม่ ไม่มีหลักประกันใด ๆ ประเทศไทยมิต้องรับผิดชอบหรอกหรือ เมื่อพิจารณาจากกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) วางหลักการไว้ว่า “การผลักดัน หรือการบังคับให้คนต่างด้าวกลับประเทศที่ซึ่งเขาหรือเธอมีความเสี่ยงจะถูกกระทำทรมาน หรือได้รับการปฏิบัติที่เป็นอันตราย รวมทั้งสิทธิในการได้รับการพิจารณาทางศาลใหม่ รัฐภาคีควรปฏิบัติตามพันธกรณีในการเคารพหลักการพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ นั้นคือ หลักการไม่ส่งกลับหากบุคคลนั้นมีความเสี่ยงที่จะถูกทำทรมาน (Non-refoulement principle)”
เมื่อประเทศพม่าไม่ยอมรับคนพม่าที่ประเทศไทยผลักดันไป การผลักดันคนพม่าหลังจากการวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2553 จะเป็นไปได้หรือ จะส่งผลักดันส่งคนกลางทะเล แล้วปล่อยให้ลอยเคว้งคว้างไปตามยถากรรมจะไปถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่างจะทำได้หรือ ทะเลมิใช่บกที่คนจะเดินข้ามไป จะให้ว่ายน้ำไป มันไม่ทรมานไปหรือ ดูภาพที่ถ่ายจากฝั่งไทย ฝั่งโน้นคือพม่า ก็พอจะทราบได้
นอกจากนี้หากมีการผลักดันส่งเด็กกลับพม่า ไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ทะเลที่มีกระแสลม คลื่นพร้อมจะซัดเรือให้จมในบัลดล เสมือนหนึ่งเป็นการผลักดันเด็กไปสู่ความตาย ตายในทะเลเสียก่อนที่จะถึงแผ่นดินพม่า
ไม่มีความเห็น