ศิริพร แสงราช
พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ
โรงพยาบาลแม่พริก จังหวัดลำปาง
สายตาของฉันยังคงจับจ้องอยู่ที่ภาพนั้น ภาพของชาย-หญิงคู่หนึ่ง ผู้หญิงรูปร่างท้วม ตัดผมซอย ใบหน้าดูซีดเซียว แต่ทว่ายังคงมีรอยยิ้มและสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักและความเอื้ออาทรฉายแววออกมาขณะคอยดูแลชายวัยกลางคน ซึ่งมีรอยแผลผ่าตัดที่ศีรษะเป็นทางยาว ดวงหน้าอิดโรยด้วยอาการป่วยที่รุมเร้า ร่างกายซูบผอมนอนนิ่งอยู่บนเตียง 17 หอผู้ป่วยสามัญรวมชาย โรงพยาบาลแม่พริก แกคือพี่กันยาภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากของพี่สมพจน์ ที่คอยมาเฝ้าไข้ ดูแลอยู่ไม่ห่าง นับตั้งแต่วันแรกที่พี่สมพจน์เข้าโรงพยาบาล
ผ้าเช็ดหน้าผืนเก่าๆที่เปียกน้ำหมาดๆถูกวางลงบนใบหน้าพี่สมพจน์อย่างนุ่มนวล มือที่มีสีเกรียมคล้ำด้วยพิษแดดจากการใช้ชีวิตอยู่กลางแจ้งมายาวนาน ค่อยๆขยับผ้าผืนนั้นไปจนทั่วใบหน้าของพี่สมพจน์อย่างทะนุถนอม นั่นคือสิ่งที่ฉันเห็นและรับรู้ได้ถึงสัมผัสอันอ่อนโยน สำหรับฉันแล้วทั้งหมดนี้เป็นภาพที่ยากจะบรรยาย ฉันเดินเข้าไปและกล่าวทักทายด้วยคำพูดที่นุ่มนวลเจือด้วยรอยยิ้มที่ใบหน้า
“เป็นอย่างไรบ้างคะ พี่กันยา”
“วันนี้ดีขึ้นค่ะ ท่าทางสดชื่นขึ้น” พี่กันยาตอบ
ฉันมองไปยังเด็กชายผมเกรียนที่ยืนอยู่ข้างๆเตียงไม่ห่าง
“ลูกชายพี่เองจ๊ะ ชื่อ เกม”
“เกม น่ารักจังเลย มาเยี่ยมคุณพ่อเหรอคะ” ฉันพูดพลางเอื้อมมือไปลูบหัวเด็กชายเกม ซึ่งตอนนี้ก้มหน้างุดด้วยความเขินอาย แต่ก็พอได้ยินเสียงเล็ดลอดออกมาเบาๆว่า “ครับ” ฉันสังเกตุเห็นรอยยิ้มจางๆจากเกม
พี่กันยาเล่าถึงครอบครัวให้ฟังคร่าวๆว่า ทั้งสองคนอยู่กินกันมา 20 กว่าปีแล้ว มีลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียว คือ น้องเกม พี่สมพจน์รักลูกชายคนนี้มาก เพราะน้องเกมเป็นเด็กดีและเรียนหนังสือเก่ง โตขึ้นใฝ่ฝันอยากจะเป็นนายร้อยตำรวจ พี่สมพจน์อยากจะสานฝันให้กับลูกชายสุดที่รัก แต่ด้วยฐานะทางบ้านไม่ค่อยดี จึงอยากจะไปทำงานที่ต่างประเทศเพื่อหารายได้มาส่งเสียลูกชายให้ได้เรียนสูงๆ เมื่อก่อนพี่สมพจน์เป็นคนแข็งแรง ไม่เคยเจ็บป่วยถึงขั้นต้องนอนโรงพยาบาลเลย
แต่….เหมือนฝันร้ายที่พัดผ่านเข้ามาในชีวิต วันหนึ่งขณะทำงานอยู่ จู่ๆก็เกิดอาการชาที่แขนและขาทั้ง 2 ข้างแล้วอ่อนแรงจนทรงตัวแทบไม่ไหว ปากเบี้ยว พูดไม่ได้ พี่กันยาเห็นแล้วตกใจมากรีบพาไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลแม่พริก แต่อาการเป็นมากจึงถูกส่งต่อไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลลำปาง นอนรักษาอยู่ที่นั่นระยะหนึ่ง หมอวินิจฉัยว่าเป็นฝีในสมองและได้รับการผ่าตัดสมองเพื่อระบายหนองออกมา หลังจำหน่ายออกจากโรงพยาบาลลำปาง กลับมารักษาต่อที่โรงพยาบาล
แม่พริก พร้อมกับยาปฏิชีวนะอีก 2 ชนิด มาฉีดต่ออีก 2 กล่องใหญ่ๆ ตอนนี้ภาระทั้งหมดจึงตกหนักมาอยู่ที่พี่กันยาเพียงคนเดียว ซึ่งต้องทั้งหารายได้มาจุนเจือและดูแลคนทั้งครอบครัว
เล่ามาถึงตอนนี้พี่กันยามีน้ำเสียงเครือๆ ฉันสังเกตเห็นว่ามีน้ำปริ่มๆอยู่ที่ขอบตาด้วย มือของฉันเอื้อมไปจับมือของพี่กันยาไว้แล้วบีบเบาๆ นิ่งไปสักพัก ฉันปล่อยให้ความเงียบแผ่ซ่านปกคลุม
“พี่ท้อเหลือเกินนะคุณพยาบาล ไม่รู้ว่าพี่สมพจน์เขาจะมีโอกาสหายเป็นปกติไหม”
“ครอบครัวของเราจะต้องเป็นแบบนี้ไปตลอดเลยหรือคะ” เสียงพูดเบาและเจือด้วยความวิตกกังวลจากพี่กันยา ทำให้ฉันต้องบีบมือของพี่กันยากระชับเบาๆอีกครั้ง
“เราจะช่วยกันค่ะ ฉันขอเป็นกำลังใจให้พี่สู้ต่อไป ถ้าพี่ต้องการความช่วยเหลืออะไร พวกเราทุกคนในนี้ยินดีที่จะช่วยเหลือพี่อย่างเต็มที่ อย่าเพิ่งท้อไปเลยนะคะ เพราะตอนนี้พี่จะต้องเข้มแข็ง เพื่อน้องเกม พี่สมพจน์ และครอบครัวของพี่ และถ้าเราทุกคนช่วยกัน ฉันเชื่อว่าทุกอย่างจะต้องดีขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอนค่ะ” ฉันพูดกับพี่กันยาอย่างนุ่มนวลพร้อมกับยิ้มให้
“ค่ะ” ในที่สุดพี่กันยาก็พยักหน้าหงึกหงัก ฉันสังเกตเห็นแววตาที่มุ่งมั่นของพี่กันยา
ทุกๆวันตอนเช้าหลังหมอตรวจคนไข้เสร็จแล้ว เราจะช่วยกันทำกายภาพบำบัด หัดให้พี่สมพจน์ทรงตัวอยู่กับที่ หัดเดินโดยการเกาะราวเหล็ก และราวเคลื่อนที่ได้ซึ่งก็คือพี่กันยานั่นเอง คอยดูแลอยู่ใกล้ชิด คอยช่วยพยุง แรกๆค่อนข้างจะทุลักทุเลพอสมควร พอเริ่มเหนื่อยก็จะมีกิจกรรมนันทนาการโดยให้หัดพูด พี่กันยาจะคอยเล่าเรื่องต่างๆในชีวิตประจำวันให้ฟัง พยาบาลชวนคุย และบางครั้งในวันหยุดก็จะมีน้องเกมอีกคนมาช่วยอ่านหนังสือให้พ่อฟัง พี่สมพจน์ก็จะทำได้เพียงส่งเสียงในลำคอเออๆ ออๆ ไปด้วย ช่วงบ่ายๆให้ผ่อนคลายโดยการฟังเพลงลูกทุ่งที่พี่สมพจน์ชื่นชอบ ที่หอผู้ป่วยในของเราจะมีวิทยุรุ่นเก่าเก็บกรุอยู่เครื่องหนึ่ง ซึ่งหัวหน้าตึกเป็นผู้บริจาคไว้ให้นานหลายปีแล้วแต่ยังใช้การได้ดีอยู่ วันแล้ววันเล่าที่เราทำแบบนี้ซ้ำๆนานเกือบเดือน เหมือนมีปาฏิหาริย์พี่สมพจน์ที่ตอนแรกๆตัวแข็งทื่อเหมือนกับท่อนไม้ ช่วยเหลือตัวเองได้น้อยมาก ไม่พูด ได้แต่นอนส่งสายตาเหม่อลอยมองแต่เพดานอยู่บนเตียงตลอด สามารถพูดได้เป็นคำๆ สามารถพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่งบนตียงได้โดยไม่ต้องอาศัยคนอื่น ตักข้าวทานเองได้ ขยับแขนขาตัวเองได้ และในที่สุดสามารถเดินได้โดยใช้วอล์คเกอร์ได้แล้ว อาการของพี่สมพจน์ค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆตามลำดับจนหมอให้จำหน่ายออกจากโรงพยาบาลได้ ก่อนกลับบ้านพี่สมพจน์มีใบหน้าที่แต้มไปด้วยรอยยิ้ม ยกมือขึ้นไหว้ท่วมหัว
“ขอบคุณคุณหมอทุกๆคนครับ ที่ช่วยดูแลผม กลับแล้วนะครับ”
พวกเรารับไหว้กันแทบไม่ทัน ทุกคนยิ้ม โบกมือให้พี่สมพจน์ “ว่างๆจะไปเยี่ยมหาที่บ้านนะคะ”
บ้านพี่สมพจน์เป็นบ้านไม้ชั้นเดียวใต้ถุนสูง หลังบ้านมีแม่น้ำไหลผ่าน รอบๆบริเวณบ้านเป็นทุ่งนา พี่กันยาพาร่างท้วมๆออกมาต้อนรับ เรานั่งลงที่แคร่ไม้ไผ่ใต้ถุนบ้าน ไม่ไกลจากที่เรานั่งอยู่ ฉันมองเห็นพี่สมพจน์กำลังยืนสาละวนอยู่กับการให้อาหารไก่สี่ห้าตัวที่เดินไปมาบนลานดิน
พอพี่สมพจน์เห็นพวกเราก็หันมายิ้มให้แล้วรีบละมือจากการให้อาหารไก่เดินตรงมาที่เรานั่งอยู่
“แหม…พี่สมพจน์ เดี๋ยวนี้เดินคล่องปร๋อเลยนะ” ฉันพูดแซวอย่างอารมณ์ดี
“วิ่งก็ได้แล้วนะหมอ” พี่สมพจน์พูดพร้อมกับทำท่าทางประกอบ จนทุกคนอดหัวเราะขึ้นมาพร้อมกันไม่ได้
พี่กันยาเล่าด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่าตอนนี้พี่สมพจน์ทำงานเป็นช่างไม้ ส่วนพี่กันยารับจ้างทั่วไปและทำขนมขาย สองคนทำงานช่วยกันทำให้ครอบครัวพอมีรายได้ไม่ลำบากมากนักเหมือนตอนที่พี่สมพจน์นอนป่วยอยู่โรงพยาบาล ตอนนี้ครอบครัวมีความสุขตามอัตภาพ ดีใจมากที่ได้กลับมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้งหนึ่ง
คำพูดของพี่กันยาทำให้ฉันค้นพบว่าท่ามกลางความทุกข์ของคนยังมีแง่งามของชีวิตซ่อนอยู่ วันเวลาที่ผ่านมาทำให้ฉันรับรู้ว่ายังมีอะไรอีกมากมายเหลือเกินที่เรายังไม่รู้ การช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และการแสดงความเอื้ออาทรต่อกัน แม้ว่าเราอาจจะแก้ปัญหาของเขาไม่ได้ทั้งหมด แต่การรับรู้และร่วมแบ่งปันความทุกข์ ดูแลแบบเพื่อนมนุษย์พึงกระทำกับเพื่อนมนุษย์ นั่นคือการเยียวยาที่ได้ผลดีมากกว่าตัวยาใด และการได้เข้าไปสัมผัสและเรียนรู้ผ่านเรื่องราวชีวิตในครอบครัวนี้ ทำให้ฉันเห็นคุณค่าของการทำงานว่าเป็นโอกาสในการทำความดี ขณะเดียวกันก็เกิดพลังกาย พลังใจ ที่จะทำงานในวิชาชีพนี้ต่อไป.
สวัสดีค่ะ
- แวะมาเป็นกำลังใจให้คนไข้และคนดูแล ค่ะ
สู้ ๆ ค่ะ
สวัสดีค่ะ
มาเป็นกำลังใจคนทำดีเช่นกันคะ
อ่านแล้วรู้สึกประทับใจมากค่ะ
นี่คือการดูแลด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง
ขอเป็นกำลังใจให้นะค่ะ
สู้ สู้
โรงพยาบาลดีมีสุขได้ต้องประกอบไปด้วยบุคลากรภายในที่มีคุณภาพ มีความสามารถขณะเดียวกันควรมีจิตเมตตา เอื้ออารีกับผู้ป่วย และควรเปิดรับความเอื้อเฟื้อจากบุคคลภายนอก มาเป็นแนวร่วมจิตอาสาช่วยดูแลด้านจิตใจ และจิตวิญญาณของผู้ป่วย ทำให้ทั้งผู้ให้ และผู้รับมีความสุข สังคมในโรงพยาบาลก็จะเป็นสังคมแห่งการเอื้อเฟื้อ เข้าอกเข้าใจกัน มีความรัก มีความเมตตา มีความปรารถนาดีซึ่งกัน และกัน
“ความสุขที่ได้ทำในสิ่งที่ดี รับในสิ่งที่ดี นี่แหละคือการดูแลกันและกันด้วยหัวใจของความเป็นมนุษย์”
ขอชื่นชมครับผม
ขอเป็นกำลังใจให้น้องในการทำงานนะครับ ถ้าเรามีความตั้งใจดีที่จะช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน ความดีที่เราได้ทำ ถึงแม้ว่าบางครั้งอาจจะไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น แต่อย่างน้อยตัวเราเองก็ได้รับความสุขทางใจตอบแทนกลับมา พี่ว่าความสุขทางใจจากการที่เราได้ช่วยเหลือผู้ที่กำลังมีความทุกข์ ให้เขาได้หลุดพ้นจากความทุกข์ โดยที่เราไม่หวังสิ่งตอบแทนนี่ มันเป็นความสุขทางใจที่ยากจะหาสิ่งใดมาทดแทนเลยนะ สู้ สู้ นะครับ พี่จะติดตามอ่านบทความดีๆของน้องอีกนะครับ
อย่าลืมแวะมาเล่าเรื่องดีๆอีกนะ
สวัสดีค่ะ รออ่านบันทึกอีกนะคะ ใจจดจ่อเลยค่ะ
เขียนอีกค่ะ