โรงเรียนเทศบาล 4 (เพาะชำ)
โรงเรียนเทศบาล 4 (เพาะชำ) เทศบาลนครนคราชสีมา

มันสมองของวิเศษในตัวของท่าน »»» ครูสุภาภรณ์


ทุกคราวที่ท่านใช้กำลังใจหรืออำนาจใจต่อสู้อุปสรรคปัญหา หรือความยากลำบากต่างๆ กำลังใจของท่านก็เพิ่มพูนมีกำลังแรงขึ้น

มันสมอง

ของวิเศษในตัวของท่าน

 

ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
ผู้ช่วยศาสตราจารย์รณชัย คงสกนธ์ : ผู้รวบรวมและเรียบเรียง

                                                        
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมันสมอง 6 ข้อ

ซึ่งจะช่วยให้ท่านเข้าใจมันสมอง ของวิเคษในตัวท่าน

 

 

 

1. มันสมองเหนื่อยหรือเพลียกับใครไม่เป็น
        คนที่ทำงานใช้ความคิดติดต่อกันนานๆจะรู้สึกมึนงง  เพลีย  ทำงานช้าลง   เข้าใจเอาเองว่า  ใช้สมองมาก  จนสมองเพลีย   จึงต้องหยุดพักสมอง   เมื่อได้พักแล้วก็รู้สึกแจ่มใส ทำงานได้ดีขึ้น  พวกนักวิทยาศาสตร์ ได้ทดลองเรื่องนี้   ว่าจริงไม่จริงอย่างไร   ก็พบว่าไม่จริง   สมองเพลียกับใครไม่เป็น   เพราะสมองไม่เหมือนกล้ามเนื้อ   ไม่ได้ทำงานอย่างกล้ามเนื้อ   พลังของสมองเกิดจากไฟฟ้าเคมี (Electrochemical) ในสมองมันจึงไม่เพลีย เช่นเดียวกับเราเปิดไฟห้าสิบแรงเทียน เปิดไว้นานเท่าใดมันก็สว่างอยู่เท่านั้น ถ้ามันจะดับก็ดับไปเลย
        
อาการที่ใกล้กับความเพลียของสมอง  ก็คือความเบื่อ   อย่างเช่นเวลาท่องตำรายาก ๆ สักเล่มหนึ่ง  พอดึกเข้าสักหน่อย  ใจหนึ่งอยากอ่านต่อไป   อีกใจหนึ่งอยากนอน   เช่นนี้ทำให้ท่านหมดความตั้งใจที่จะอ่าน   ดังนี้พอจะพูดได้ว่าสมองเพลียคือหมายความว่า ท่านหย่อนความตั้งใจที่จะทำงาน   และไม่สามารถที่จะบังคับความคิดไม่ให้ฟุ้งซ่านไปในทางอื่น

 

 

 

2. กำลังสมองไม่มีที่สิ้นสุด
        สมองเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย มีหน้าที่เกี่ยวกับการจดจำ  การคิด  และความรู้สึกต่าง ๆ   สมองประกอบด้วยตัวเซลล์ประมาณ 10 พันล้านตัวถึง 12 พันล้านตัว   แต่ละตัวมีเส้นใยที่เรียกว่า  แอกซอน (Axon)   และเดนไดรต์ (Dendrite)  สำหรับให้กระแสไฟฟ้าเคมี (Electrochemical) แล่นผ่านถึงกัน   การที่เราจะคิดหรือจดจำสิ่งต่างๆนั้นเกิดจากการเชื่อมต่อของกระแสไฟฟ้าในสมอง   คนที่ฉลาดที่สุดก็คือคนที่สามารถใช้กำลังไฟฟ้าได้เต็มที่

 

 

3. อัตราส่วนเชาวน์ (I.Q.) นั้นที่จริงไม่ใช่ของสำคัญ
        นักจิตวิทยา เช่น อัลเฟรดและบิเนต์   มีวิธีการวัดความฉลาดของคน  โดยการวัดอัตราส่วนเชาวน์   หรือไอคิว   แล้วกำหนดว่าคนนั้น ๆ  มีไอคิวเท่านั้น ๆ  ถ้าใครวัดแล้วได้ไอคิวต่ำกว่าร้อย   ก็ออกจะเสียใจสักหน่อย   แต่นักจิตวิทยาเขาว่าอย่าไปสนใจกับไอคิวนักเลย   เพราะการทดสอบนั้นมันไม่ค่อยแน่นัก   อาจทดสอบผิดพลาดได้ง่าย   เท่าที่เขาค้นพบนั้น   ว่าใครมีร่องยู่ยี่หยุกหยิกตอนกลางกระหม่อมมาก ๆ   มักจะฉลาดกว่าคนอื่น    แต่คนที่ธรรมชาติไม่ได้สร้างสิ่งพิเศษมาให้   จะไม่มีทางฉลาดกับเขาบ้างหรือ นักวิทยาศาสตร์ตอบว่ามี  และมีได้แน่ ๆ  คนที่มีไอคิวปานกลางอาจจะเป็นคนฉลาดปราดเปรื่อง    มีความรู้ดีได้โดยการหมั่นฝึก   ตัวเซลล์ในสมองให้มันทำงาน ไม่ปล่อยให้มันขี้เกียจอยู่เฉย ๆ   เขาพบว่าคนที่มีชื่อเสียงมากมายหลายคนมี ไอคิวเท่า ๆ  กับคนธรรมดา อย่างเช่น จอห์น อาดัมส์, อับราฮัม ลินคอล์น, นโปเลียน, เนลสัน เหล่านี้มีสมอง

ธรรมดา ๆ   แต่ว่าเป็นคนมีลักษณะพิเศษ   คือ  อุตสาหะพากเพียรอย่างไม่หยุดยั้ง คนสมองดี ๆ ถ้าไม่หมั่นใช้ มันก็จะฝ่อได้

 

 

4. แก่แล้วก็เรียนได้ดีเท่าหนุ่มๆ เหมือนกัน
        ความเข้าใจผิดอย่างไม่เข้าท่า   ก็คือว่ายิ่งแก่ตัวยิ่งเรียนไม่ได้   สมองเสื่อม   ความจำไม่ดี   ถ้าเป็น

คนขี้เหล้าเมายาหรือมีโรคอาจเป็นได้ดังนี้    แต่คนปกติแล้วย่อมเรียนได้ตลอดอายุ   ความแก่ชราไม่เป็นอุปสรรคแก่การเรียน   การเรียนเกี่ยวกับการให้กระแสไฟฟ้าในสมองเคลื่อนไหว   ดังนั้นถ้าสมองไม่ผุพังเพราะเชื้อโรค  หรือการกระทบกระเทือนอย่างหนึ่งอย่างใดแล้ว   อายุ 90 ปี   ก็ยังเรียนได้   ที่ว่าแก่ป้ำ ๆ เป๋อ ๆชื่อคนที่เคยจำได้ก็นึกไม่ออก   อะไรพวกนี้   เป็นการยอมรับตัวเองทั้งสิ้น


 

 

5. กำลังสมองจะดีขึ้นถ้าได้ใช้มันอยู่เสมอ
        สมองเหมือนกับกล้ามเนื้อ   ตรงที่การฝึกถ้าได้ใช้ให้ทำงานอย่าปล่อยให้มันขี้เกียจ มันจะยิ่งเก่งกล้าขึ้น    ท่านยิ่งใช้ความคิด    ความคิดของท่านก็จะดีขึ้น    หากท่านใช้ความจำอยู่เสมอ    ความจำของท่านก็จะดีขึ้น    คือท่านจะจำอะไรได้เร็วขึ้น    มีอำนาจอย่างหนึ่งที่เราพูดถึงกันเสมอคืออำนาจใจหรือกำลังใจ   กำลังอันนี้สะสมอยู่ในสมอง ทุกคราวที่ท่านใช้กำลังใจหรืออำนาจใจต่อสู้อุปสรรคปัญหา   หรือความยากลำบากต่างๆ กำลังใจของท่านก็เพิ่มพูนมีกำลังแรงขึ้น

 

 

6. จิตใต้สำนึก….คลังอันน่ามหัศจรรย์
        ส่วนลี้ลับและแสนจะพิสดารในตัวของเรา   คือ  จิตใต้สำนึก   หรือบางทีเรียกว่า
จิตไร้สำนึก มันเป็นที่เก็บพลังพิเศษ   และความจดจำเรื่องทั้งหลายมากมายก่ายกอง แต่มันน่าประหลาด   ที่เราไม่สามารถให้มันสำแดงฤทธิ์ตามใจเราได้  มันจะแสดงพลังของมันออกมาในขณะที่มีเหตุใหญ่ฉันพลัน   ทันด่วน   และแสดงออกมาโดยเราเองก็ไม่รู้ตัว   จิตแพทย์ได้เพียรใช้จิตสำนึกรักษาโรคจิต   อย่างเช่นบางคนอยู่ดี ๆ  กลัวและเกลียดคนหน้าดำ   เจ้าตัวเองก็บอกไม่ถูกว่าทำไมถึงเกลียดและกลัวอย่างไม่มีเหตุผล จิตแพทย์ต้องใช้วิธีให้จิตใต้สำนึกบอกเรื่องราวแต่หนหลัง  ที่ตกตะกอนลงไปอยู่ในจิตแห่งนั้น   ก็รู้ได้ว่าเมื่อตอนนั้นยังเล็กอยู่ มีคนหน้าดำคนหนึ่งได้เข้ามาปลุกปล้ำบีบคอเขาในบ้าน   แต่เขาจำเรื่องนี้ไม่ได้   เพราะมันตกไปอยู่ในจิตใต้สำนึก   เมื่อเขาโตขึ้น   มันจึงแสดงอาการออกมาในลักษณะที่เขากลัวและเกลียดคนหน้าดำ
        นักจิตวิทยากล่าวว่า หากเราหัดพูดกับจิตใต้สำนึก   เราก็สามารถสร้างพลังขึ้นในตัวได้   อย่างเช่นเราพูดกับจิตใต้สำนึกว่า   คืนนี้เราจะตื่นตีห้า   ทำใจให้แน่วแน่    เพ่งอยู่ในการตื่นเวลาตีห้า    พอถึงตีห้า    จิตใต้สำนึกก็จะปลุกเราเอง    ถ้าเราเป็นคนขลาดขี้อาย เราพยายามพูดกับจิตใต้สำนึกว่าเราจะไม่ขลาด   

เราจะไม่ขี้อาย   ความขลาด  ความขี้อายก็จะหายไปเอง

 

                                                            

             

                                                                         

            P                                                    

  • ครูสุภาภรณ์ พลเจริญชัย
  •                                                   

     

     

     

     

    ข้อมูลจาก

    http://www.redcross.or.th/pr/pr_news.php4?db=3&naid=587

    หมายเลขบันทึก: 290406เขียนเมื่อ 23 สิงหาคม 2009 21:18 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 21:22 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


    ความเห็น (3)

    สวัสดีค่ะชาวเทศบาล...ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ

    ขอบคุณนะครับ สำหรับสิ่งดีดี ที่พยายามหามามอบให้..ขอบคุณครับ

    เป็นความรู้ที่คาดไม่ถึงนะครับ อ่านแล้วทำให้เข้าใจความสามารถของสมองมากขึ้น ขอขอบคุณครับ

    ผอ.ศักดิ์เดช

    พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
    ClassStart
    ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
    ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
    ClassStart Books
    โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท