แค่ฮิญาบ
มุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ส่วนใหญ่ประมาณ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ เป็นมุสลิมนับถือศาสนาอิสลาม มีขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมที่เหมือนกันแบบอิสลาม ใช้ภาษาในการสื่อสาร ภาษามลายู ลูกหลานโดยเกือบ 100 % ผ่านการเรียนรู้ศาสนามาแทบทั้งสิ้น
ด้วยกับภาวะความเจริญแบบสังคมบริโภคนิยม ประชาชนให้ความสำคัญกับวัตถุเป็นส่วนใหญ่ การไหลทะลักของวัฒนธรรมแบบเสรีตะวันตกเข้ามาคลอบงำสังคมมุสลิมเราด้วยในบางส่วน โดยปฏิเสธไม่ได้ เห็นได้จากไหนครับ เราลองพิจารณาในสิ่งต่อไปนี้ดู
1. เมื่อก่อนเราหัดให้ลูกหลานของเราคลุมฮิญาบตั้งแต่เล็กๆ ทำไมเดี๋ยวนี้ไม่หัดแล้วหรือ หรือว่า นักวิชาการ(นักฟิกฮฺ)อิสลาม เค้าวินิจฉัยใหม่แล้ว ผมคงไม่ทันข่าวเอง
2. นักศึกษามุสลิม เรียนมหาวิทยาลัยบางคน คลุมฮิญาบ แต่ปล่อยผมให้เห็นข้างหลัง (แล้ว
จะคลุมทำไม)
3. คลุมฮิญาบแต่ใส่เสื้อกางเกงรัดเปี๊ยะ ดูแล้วไม่ใช่บุคลิกภาพของมุสลิมะฮฺเลย
4. อยู่ในมหาวิทยาลัยคลุมฮิญาบ แต่พอนอกมหาวิทยาลัย กลางคืน ถอดผ้าคลุม
5. คลุมฮิญาบนั่งซ้อนท้ายมอไซต์กับผู้ชายที่ไม่ใช่สามีภรรยากัน เค้าอนุโลมแล้วหรอครับ
หรือว่า นักฟิกฮฺวินิจฉัยใหม่
พี่น้องอุมมะฮฺอิสลามทั้งหลายครับ ถึงเวลาแล้วหรือยังครับ ที่เราจะต้องให้ความสำคัญกับอิสลามตามหลักคำสอนอย่างจริงจัง แล้วเราบอกว่าพูดไทยไม่ใช่มุสลิม (แกแจะซีแย) แล้วการกระทำหละ ไม่ต้องใช่ไหม หรือว่าดูแค่การพูดอย่างเดียว การกระทำเอาไว้ทีหลัง
พี่น้องครับ หากวันนี้เราตายไป ลูกของเราไม่ดุอาอฺขอพรจากอัลลอฮฺให้ แล้วเราจะไปหวังจากไหนอีกครับ หรือว่ารอการทำบุญเลี้ยงอาหารก็เพียงพอแล้ว หากเราไม่มีลูกที่ซอและห์ขอดุอาอฺให้ /ไม่ได้บริจาคทานเมื่อยังมีชีวิตอยู่ /หรือวิชาความรู้ที่ประสิทธิประสาทไว้แล้ว มันไม่พอหรอกครับ
ไม่มีความเห็น