ครับพี่รุ่ง
สถานีอนามัยได้รับการยอมรับมานานมากแล้วครับ
โดยเฉพาะ ยังเป็นเบ้าหลอมให้เกิดหมอดีๆ ที่มีความพอเพียงในตัวตน
เป็นหมอดีๆี ที่มีหัวใจของความเป็นมนุษย์
ซึ่งปััจุบันในวิชาชีพอื่นๆ เราไม่ค่อยเห็นแล้ว
แต่หมออนามัยก็ยังมีอยู่เต็มเปี่ยมครับ
(บางคน) ฮิฮิ
ไปชลบุรีคราวต่อไปจะไปเยี่ยมนะครับ
คราวก่อนไปดูงานได้ไปแต่เทศบาลแหลมฉบัง / เทศบาลสมเด็จเจ้าพระยา ไม่มีโอกาสแวะ ทั้งที่ไม่ไกลจากที่ได้ดูงาน
ไว้รอบหน้านะครับ
สวัสดีค่ะคุณธวัชชัย แสงจันทร์ คนทำงานสนับสนุนบริการสาธารณสุข
หมออนามัยผู้ไร้วิชาชีพค่ะ
แต่มีหัวใจในความเป็นหมอที่เต็มเปี่ยม
สถานีอนามัยยังดูแลและต่อสู้กับไข้หวัด2009อย่างแข็งขัน
เสียดายก็แต่หมออนามัยจ่ายยาแก้โรคนี้ไม่ได้เพราะไม่ใช่แพทย์
ต้องส่งผู้ต้องสงสัยไปโรงพยาบาลอย่างเดียว
ไกลพอสมควรกับการเดินทาง
คลินิกแพทย์เขาก็ไม่สะดวกเข้าโครงการ.....
โอกาสหน้าเชิญแวะที่สถานีอนามัยนะคะ
อย่างไรเราก็เลือดสาธารณสุขด้วยกัน
ยินดีต้อนรับค่ะ
นานทีแวะมาทักทายครับ
เห็นรูปสาวๆ โอ้ คนไหนจ๋วยๆ หนอ!
ชีวิตต้องทำงาน จึงจะบันดาลสุข
สวัวดีค่ะ
คุณAndrew เห็นสาวๆ รูปสุดท้ายสวย
เยี่ยมเลยค่ะ
ทำงานด้วยความรู้สึกดี ก็จะบันดาลสุขเหมือนว่า
ระยะนี้ สาธารณสุขทำงานหนักมาก
โดยเฉพาะหน่วยที่ใกล้ชิดประชาชน
เหมือนออกสนามรบเลยค่ะ
ขอให้คุณAndrew มีความสุข กับทุกๆวัน ที่ผ่านไปนะคะ
เจ้าของบล็อกก็นานๆเขียนที เหมือนกันค่ะ
ผมยังไม่ด่ายบอกเลยว่า สาวรูปไหนจ๋วยๆ คุณรุ่งรวบรัดซะแล๊ว
ก่อนนอนสวดมนต์บ่อยไหมครับ สวดบทไหนบ้าง?
คนเราเกิดมาทำไมหนอ เกิดมาเพื่อเรียน ทำงาน และมีครอบครัวแ่ค่นี้หรือคือชีวิต? ผมว่ายังไม่ใช่มั๊ง
ขออภัย ล้อเล่นค่ะ
คนเราเกิดมาทำไม
เหตุที่ต้องเกิด ตามที่เข้าใจนะคะ
เพราะต้องมีเหตุที่ทำไว้และต้องมารับผลของกรรมนั้น
ส่วนเกิดมาแล้วควรจะทำอย่างไร
ดิฉันคิดว่าถ้าเราเป็นผู้ได้โอกาสเรียนรู้
ตามวิถีพุทธ(เป็นคนพุทธ) ซึ่งบอกวิธีเลือกเกิดใหม่ หรือเลิกเกิดได้
ก็ควรจะศึกษาและปฏิบัติ
ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ชัดเจน
และพระองค์ก็เป็นผู้บรรลุได้
ในอัตตภาพเป็นมนุษย์เหมือนเรา
เช่นบอกให้สั่งสมความดี(ทำดีเรื่อยไป)
ผลที่รับก็จะปรากฏและสัมผัสได้ด้วยตนเอง เป็นต้น
ทั้งหมดของชีวิต ทุกกิจกรรม ก็ต้องทำไปตามแรงกรรม
แต่เราเลือกที่จะทำกิจกรรมให้เกิดผลบวกหรือลบได้นี่คะ
การสวดมนต์ เคยสวดตั้งแต่เป็นชั่วโมง จนถึง วินาที
ตามสภาพในขณะนั้น แต่แผ่เมตตาทุกคืนค่ะ
อีกอย่างที่ทำคือ จะทบทวนคำแปลของบทสวด จะได้ลึกซึ้งและรู้ว่า
เรากำลังกล่าวอะไรค่ะ
เขียนมากเลย เพราะไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เป็นคนที่อธิบายไม่ค่อยได้เรื่อง
อย่าลืมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันนะคะ
เป็นวิทยาทานให้ดิฉันบ้าง
ขอบคุณค่ะ
ขอบคุณครับ ที่ตอบผมมาหลายบรรทัด
วิธีที่เลือกเกิดใหม่ ก็ยังเป็นกฎแห่งกรรมอยู่ดี
เมื่ออยากรูปสวยสมบูรณ์ ก็ต้องถือศีล ไม่เบียดเบียน ทำร้าย ฆ่าใคร ให้บริสุทธิ์
ศีลทุกข้อก็มีผลลัพธ์ชัดเจนอยู่แล้ว
เช่นชอบลักขโมย ผิดศีลข้อนี้ ก็จะได้รับผลแห่งความวิบัติของทรัพย์
ในอนาคต อาจเป็นวันหน้า ปีหน้า ชาติหน้าก็ได้
มีทรัพย์สมบัติอะไรก็จะเสื่อมเสียหายตลอดเวลา
ถ้าเราไม่อยากเกิดเป็นคนโชคร้ายแบบนี้
ชาตินี้เราก็ต้องรักษาศีลข้อนี้ให้ดี
ก็จะเข้ากฎแห่งกรรม ทำอะไร ก็ได้อย่างนั้น เป็นต้น
สว่นการเลิกเกิด คือสิ้นภพชาตินั้น
พระพุทธเจ้าได้แสดงไว้ชัดเจน เหตุแห่งการหลุดพ้น
คือความพอดี ของการปฏิบัติ ๘ ข้อ(มรรคมีองค์๘)
เมื่อพอดี ใจก็พอดี เจริญสมาธิสติได้ดี บรรลุมรรคผลอย่างที่พระพุทธองค์ปฏิบัติมาแล้ว
เมื่อใจไม่ยึด ก็เหมือนละครหมดเรื่องแสดง
ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นเรื่องที่ได้รับรู้มาจากพระพุทธศาสนา
ในส่วนการปฏิบัตินั้น
ก็วัดกันเอาเองนะคะ
ดิฉันเอง ก็เป็นพุทธศาสนิกชน ที่ยังต้องศึกษาและปฏิบัติอีกมาก
ส่วนคุณAndrew คิดถึงขนาดจะทำบล็อกเผยแผ่ ดิฉันว่าไม่ธรรมดา
ต้องขอสาธุ สาธุ สาธุ ในกุศลที่จะเกิดล่วงหน้าเลยค่ะ
โอ้ ตอบยาวอีกแล้ว ขอบคุณที่เข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ยินดีมากๆค่ะ
ด้านบนที่ผมโฟสไว้ รู้สึกผมจะพิมพ์คำพูดผิดไปนิดหนึ่งครับ ตรงคำว่า "ชาตินี้จึงไม่แสวงหา" ขอแก้เป็นว่า "จึงไม่ค่อยแสวงหาในสิ่งที่เป็นการสร้างกรรมชั่วต่อตนเอง..." เพราะว่าตอนนี้ยังไม่ได้บรรลุธรรมระดับสูง ยังต้องแสวงหาในสิ่งที่จำเป็นต่อชีวิต ยังต้องทำงาน หาทรัพย์ ซื้ออาหารทาน ยังแสวงหาธรรมะที่สูงขึ้น ฯลฯ ในส่วนที่ไม่ค่อยแสวงหาแล้ว เช่น การมีคู่ครอง เป็นต้นครับ (เสียดายที่ gotoknow ไม่มีเมนูแก้ไข)
โห้ คุณรุ่งตอบผมมายาวดีจัง อย่างนี้สงสัยรู้ธรรมเยอะแน่ๆ แล้ววันหนึ่งที่ผมเปิดตัว ก็จะรู้จักผมเพิ่มขึ้นเองครับ
ยินดีเสมอ
เป็นการเข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้า
อาจรู้ยังไม่หมด
ก็ขอให้แลกเปลี่ยนกัน
ก็คงทำให้ปัญญาทึบๆ
สว่างขึ้นบ้าง
บางสิ่งไม่แสวงหา แต่ถ้าแรงกรรมตามมาส่งผล ก็หลีกเลี่ยงยาก
ขอให้ทุกสิ่งที่ตั้งใจในทางที่ดี
สมปรารถนาค่ะ
รู้สึกภูมิใจที่ได้ทำงานที่สถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติฯ แห่งนี้ มีความรู้สึกผูกพันธ์มากมาย รู้สึกคุ้นเคยกับคนที่นี่เหมือนกับเราเป็นพี่น้องกัน ถึงแม้ว่าจะได้ย้ายมาช่วยราชการที่นครนายกบ้านเกิด แต่ความรู้สึกที่รักและผูกพันธ์กับที่นี่มันก็ยังมากมายจริงๆค่ะพี่ต้อย