การเสวนาในแต่ละครั้งนั้น สร้างความรำบากใจแก่ผู้จัดเป็นอันมาก ไม่เหมือนกับการถ่ายทอดความรู้ ที่สามารถเตรียมเอกสารวิชาการต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วไป และจากประสบการณ์ที่เก็บเกี่ยวมาจากแห่งต่างๆ ที่ผ่านพบมา โดยเฉพาะในช่วงเดือนกรกฎาคม 2552 จะต้องจัดติดต่อกัน เนื่องจากต้องเร่งรีบใช้งบประมาณตามนโยบายรัฐบาลนั่นเอง
วันที่ 14 กรกฎาคม 2552 ณ ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง หมู่ที่ 13 (บ้านชัฏปลาไหล) ตำบลกะบกเตี้ย
วันที่ 15 กรกฎาคม 2552 ณ ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง หมู่ที่ 6 (บ้านน้ำพุ) ตำบลสะพานหิน
วันที่ 16 กรกฎาคม 2552 ณ ศาลากลางบ้าน หมู่ที่ 2 (บ้านหนองกระเบียน) ตำบลวังหมัน
วันที่ 17 กรกฎาคม 2552 ณ ศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรตำบลไพรนกยูง
ประเด็นของแต่ละกลุ่ม ได้ตั้งประเด็น “การปลูกมันสำปะหลังอย่างยั่งยืน โดยการป้องกันกำจัดศัตรูพืชแบบผสมผสาน” โดยเชิญเจ้าหน้าที่จากหน่วยงาน ศูนย์บริหารศัตรูพืชชัยนาท และสถานีพัฒนาที่ดินชัยนาท เข้าร่วม
การเสวนาดำเนินการด้วยดี จะขอกล่าวในภาพรวมของทุกกลุ่มซึ่งดำเนินการในแนวทางเดียวกัน โดยเริ่มตั้งแต่การลงแปลงสาธิตสำรวจสภาพการเจริญเติบโต และรับปัญหาที่พบของการปลูกมันสำปะหลัง โดยสอบถามเกษตรกรเจ้าของแปลงนั้นๆ เป็นการเปิดประเด็นคำถาม และความต้องการหาเหตุและผลของเกษตรกร เพื่อนำเข้าสู่บทเรียนต่อไป
1. แปลงที่ได้รับการระเบิดดินดาน มันสำปะหลังจะไม่แสดงอาการเหี่ยวเมื่อฝนทิ้งช่วง น้ำจะซึมลงสู่ใต้ดินเร็วกว่า ลดปัญหาการชะล้างหน้าดิน แต่เมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างกับแปลงไม่ได้ระเบิดดินดานไม่พบ เนื่องจากการกระจายตัวของน้ำฝนสม่ำเสมอ
2. แปลงใช้ปุ๋ยอินทรีย์ สภาพดินดี การเจริญเติบโตดี ใบมันสำปะหลังใหญ่ และหนากว่าแปลงที่ไม่ได้ใส่ปุ๋ยอินทรีย์
3. สระน้ำ ในพื้นที่ของตำบลกะบกเตี้ยกล่าวว่าตื้นเกกินไป และขอบสระนั้นมีลักษณะลาดชันตั้งแต่ปากสระลงไป ส่งผลให้เกิดการชะล้างสูง และเข้าไปปฏิบัติงานยาก คราวหน้าขอให้ลึกกว่านี้ โดยออกแบบตามใจเกษตรกร หรือจ้างเหมาขุดเป็นปริมาณของดินที่ขุดขึ้นมา จะได้ความลึกที่ตรงตามความต้องการของเกษตรกร อีกทั้งบางครั้งไม่เปลืองพื้นที่ด้วยนะ เพราะเพิ่มปริมาณน้ำจากการเพิ่มความลึกครับผม
4. เพลี้ยแป้งรบกวนมาก ทำให้การเจริญเติบโตของมันสำปะหลังปีนี้ไม่ดีเท่าที่ควร
จากปัญหาที่พบนำเข้าสู่การเรียนรู้ร่วมกัน โดยเริ่มจากการปรับปรุงบำรุงดิน เพื่อให้มันสำปะหลังแข็งแรง ยกเวทีให้กับพี่ไพศาล มงคลหัตถี นักวิชาการเกษตรชำนาญการ ในพื้นที่อำเภอหันคา และเนินขาม นายสายชล ปิ่นนาค นักวิชาการเกษตร ในพื้นที่ วัดสิงห์ และเนินขาม ประเด็นสำคัญคือการปรับปรุงดินและการเพิ่มธาตุอาหารให้กับดินด้วยการใช้ปุ๋ยเคมีร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์ โดยปุ๋ยอินทรีย์ที่จะใช้นั้นยิ่งใช้มากเท่าไร่ยิ่งดี เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ฯลฯ หรือถ้าจะให้ดีอาจใช้ปุ๋ยพืชสดตระกูลถั่ว เช่น ถั่วพร้า ฯลฯ มาหว่านลงในไร่ทันทีหลังจากมีฝนแรกตกลงมาแล้วปล่อยให้พืชที่จะใช้เป็นปุ๋ยพืชสดโตตามธรรมชาตินานประมาณ 40-50 วัน จึงไถกลบทิ้งไว้สัก 1-2 อาทิตย์ เพื่อให้ต้นถั่วเน่าสลายแล้ว ด้วยเกษตรกรจะปลูกมันสำปะหลัง หลังฝนตกไม่สามารถปลูกพืชตระกูลถั่วก่อนปลูกมันสำปะหลังได้จึงแนะนำ ปลูกพืชตระกูลถั่วเช่นถั่วพุ่ม ถั่วพร้า หรือปอเทือยงเป็น ในลักษณะปลูกพืชแซม หลังจากปลูกมันสำปะหลังได้ 15 วัน ให้ทำการปลูกพืชปุ๋ยสด เช่น ถั่วพุ่ม หรือถั่วพร้า โรยเป็นแถวแทรกระหว่างแถวมันสำปะหลัง เพื่อป้องกันวัชพืช เมื่อพืชปุ๋ยสดมีอายุ 50 วัน ให้ทำการตัดแล้วนำมาคลุมดินเพื่อรักษาความชื้นในดิน และเพิ่มอินทรียวัตถุให้กับดิน
ในส่วนของการป้องกันและกำจัดศัตรูพืชแบบผสมผสาน เจ้าหน้าที่จากศูนย์บริหารศัตรูพืชชัยนาทไม่ว่างผู้เขียนจึงต้องดำเนินการเอง ปัญหาที่พบส่วนใหญ่ในระยะนี้คือ เพลี้ยแป้งที่สร้างความเสียหายให้แก่เกษตรกรอย่างมาก ความรู้ลักษณะทั่วไปของเพลี้ยแป้งนั้นเกษตรกรมีความเข้าใจพอสมควรคือ เพลี้ยแป้งลาย เป็นแมลงปากดูด ทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยจะดูดกินน้ำเลี้ยงจนยอดมันเหี่ยวม้วนงอ ใบบิดเบี้ยว ยอดแห้งตาย หรือยอดแตกพุ่ม และต้นไม่เจริญเติบโต ตัวเต็มวัยมีแป้งปกคลุมมาก ดื้อต่อสารเคมีที่ใช้ฉีดพ่น และอาจมีผลกระทบต่อการสร้างหัวหากพืชยังเล็ก การแพร่ระบาดเพลี้ยแป้งจะแพร่กระจายตามลำต้น ซอกใบ ใต้ใบมันสำปะหลัง ปริมาณจะเพิ่มขึ้นจนเต็มต้น จะแพร่กระจายมากหากสภาพอากาศแห้งแล้งและฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานาน การติดต่อจะแพร่กระจายไปกับท่อนพันธุ์หรือกระแสลม
การป้องกันกำจัดแนะนำให้เกษตรกรเฝ้าระวัง ตรวจสอบถ้าพบให้เร่งทำลาย และอย่านำต้นพันธุ์ในแปลงที่พบการทำลายของเพลี้ยแป้ง ถ้าพบการระบาดแนะนำให้ใช้เชื้อราบิวเวอร์เรีย หรือ เชื้อราขาว สำหรับการกำจัดเพลี้ยแป้งที่ถูกวิธีและปลอดภัยโดยไม่ต้องใช้สารเคมีนั้น การใช้เชื้อราบิวเวอร์เรีย หรือเชื้อราขาว ฉีดพ่นถือว่าเป็นวิธีการที่ดีที่สุด การผสมเชื้อราขาวเพื่อการฉีดพ่นกำจัดเพลี้ยแป้งจะใช้เชื้อราขาวในอัตรา 1 กก.ต่อ นำ 20 ลิตร ผสม และนำไปฉีดพ่นต้นมันสำปะหลังโดยการฉีดพ่นจะต้องฉีดพ่นบริเวณใต้ใบของมันสำปะหลัง และฉีดพ่นในช่วงเย็นจะได้ผลดีที่สุด โดยใช้ระยะเวลาพ่นเชื้อราขาว 4 วันครั้ง จนครบ3 ครั้ง อย่างไรก็ตามเกษตรกรก่อนที่จะปลูกมันสำปะหลังควรมีการนำเชื้อราขาวใน อัตราส่วน 1 ต่อ น้ำ 1 ส่วน ผสมกันและนำท่อนมันสำปะหลังลงไปแช่ในน้ำที่ผสมเชื้อราขาวเพื่อป้องกันเพลี้ยแป้งที่อาจจะฟักตัวอยู่ในท่อนมันที่จะนำมาปลูก โดยเพลี้ยแป้งนั้นจะมีมดเป็นพาหะนำแมลง ส่วนไร่มันสำปะหลังของเกษตรกรที่พบการระบาดของเพลี้ยแป้งควรทำการตัดยอดของต้นมันสำปะหลังที่ถูกเพลี้ยแป้งระบาดทิ้งและนำออกมาเผานอกพื้นที่เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด
จากการระดมความคิดเปรียบเทียบการใช้สารเคมี และเชื้อราบิวเวอร์เรีย ผลดังนี้
สารเคมี |
เชื้อราบิวเวอร์เรีย |
||
ข้อดี |
ข้อเสีย |
ข้อดี |
ข้อเสีย |
ทันใจ หาใช้ง่าย ได้ผลแน่นอน(ตาย) ใช้ปริมาณน้อย สร้างความร่ำรวยให้กับผู้ขาย เก็บไว้ใช้ได้นาน |
เสียเงินมาก อาจเจอยาปลอม ทำลายสภาพแวดล้อม แมลงดีก็ตาย เกษตรกรรับผิดด้วย และอาจจนได้ เมื่อหมดฤทธิ์ยาแมลงกลับมาระบาดอีก ต้องให้ถูกตัวถึงจะตาย จึงต้องผสมยาดูดซึมอีกตัว |
ปลอดภัยต่อชุมชน ผลิตใช้เองได้ในชุมชน ราคาถูก |
ไม่ทนต่อสภาพแห้งแล้ง เสียแรงงานทำ อายุเก็บรักษาสั้น ขาดอุปกรณ์ผลิต |
ประเมิน เต็ม 10 |
4.5 คะแนน |
8 คะแนน |
จากการประเมิน 10 คะแนน ประเมินสารเคมี 4.5 คะแนน และสนับสนุนการใช้ 8 คะแนน แต่ควรจัดทำแปลงพิสูจน์ทราบ เพื่อให้เกษตรกรเกิดความมั่นใจใช้เชื้อราบิวเวอร์เรีย อย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น
ไม่มีความเห็น