ผมเอาข้อความจากจดหมายอีเล็กทรอนิกส์ของคุณพรทิพย์ กาญจนนิยต มาลงไว้ครับ เป็นการคัดลอกโดยตรง
Dear All, I've found a few news reports that are real interesting for us to be aware of and follow closely as they picture the development of internationalization in key countries of the world ka.Chen Yinghui said the assessment system will be tested by 2005. Once it is used across the country, international students will be fully absorbed into the Chinese education system.
ท่านผู้อ่านคงเห็นภาพของความเคลื่อนไหวในมหาวิทยาลัยของประเทศต่างๆ ดีพอสมควร
ปีที่แล้ว เมื่อตอนที่ผมยังเรียนอยู่ที่สก็อตแลนด์ นักศึกษาทั่วยูเค โดยเฉพาะที่อังกฤษ ออกมาประท้วงเรื่องที่รัฐจะอนุญาตให้มหาลัยรัฐเก็บค่าเทอมเพิ่มได้ เป็นเรื่องเป็นราวอยู่นาน แต่สุดท้ายก็คือ ค่าเทอมแพงขึ้น
เพราะรัฐเองก็ไม่ได้มีเงินมากมาย ก็ไม่สามารถสนับสนุนมหาลัยได้เต็มที่ คงเหมือนกับเมืองไทยตอนนี้ คือเร่งให้มหาลัยหาเงินกันเอง พวกมหาลัยระดับต้น ๆ นั้นไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่ แต่มหาลัยไม่ค่อยดังนี่ก็ลำบากหน่อย
ทำให้มีคนสังเกตว่า การที่จำนวนนักศึกษาต่างชาติ โดยเฉพาะที่ไม่ได้จากกลุ่มสหภาพยุโรป (non-EU) เพิ่มขึ้นสูงมาก ในระบบมหาลัยของทั้งยูเค เกี่ยวกับเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ด้วยรึเปล่า
นักศึกษา UK/EU จ่ายค่าเล่าเรียนน้อยกว่า non-EU ถึงประมาณสามเท่า
อย่างหลักสูตรของผมนั้น ถ้าเป็น non-EU ต้องจ่ายถึง 10,650 ปอนด์ (หลักสูตร 1 ปี) แต่นักศึกษา EU จ่ายเพียงราว 3,000 ปอนด์
องค์กรนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเอดินบะระที่ผมเคยอยู่ ยื่นหนังสือถึงฝ่ายบริหาร ให้ตอบข้อสงสัยว่า การเชื้อชาติของนักศึกษา (non-EU vs EU) มีผลต่อการรับเข้าศึกษารึเปล่า (เพราะถ้าเป็น non-EU มหาลัยจะได้เงินมากกว่า) - แน่นอน ฝ่ายบริหารออกมาบอกว่า ไม่เกี่ยวข้องกัน
คล้าย ๆ มหาลัยไทยตอนนี้นิดหน่อย มหาลัยรัฐนิยมเปิดโครงการพิเศษ เพราะเก็บค่าเทอมได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยกว่า (ที่ธรรมศาสตร์ ตอนนี้จำนวนรับนศ.โครงการพิเศษ น่าจะมากกว่าโครงการปกติแล้ว - นับรวมทุกระดับ)
สถาบันอุดมศึกษาบ้่านเราจะดึงชาวต่างชา่ติที่ไหนมาเรียนได้บ้าง
เรื่องเงินนี่จะเอาให้ได้เยอะ ๆ แบบประเทศอื่น ๆ ข้างบนลำบาก (เค้ามีจุดดึงดูเรื่องภาษา - อังกฤษคนใช้เยอะ จีนเดี๋ยวนี้ใคร ๆ ก็อยากค้าขายด้วย ; หรือไม่ก็เทคโนโลยี เยอรมนี ฝรั่งเศส ..)
แต่ที่อยากได้คือ บรรยากาศในห้องเรียน ในห้องวิจัย น่าจะหลากหลายขึ้น คนพื้นเพไม่เหมือนกัน ความคิดก็ต่างกัน ถ้าถกกันในห้องเรียนได้ คงจะสนุก
:)
อ้อ ผมสนับสนุนการออกนอกระบบนะครับ :)
และที่สนับสนุนมากคือ รัฐควรจะยกเลิกการอุดหนุนการศึกษาแบบ "หว่านแห" ได้แล้ว, แล้วมาเจาะจงอุดหนุนเฉพาะรายที่น่าสนับสนุนจริง ๆ (เช่น นักศึกษาขาดแคลนจริง ๆ หรือ ประเทศกำลังขาดแคลนสาขานั้นจริง ๆ ต้องการให้คนมาเรียนเยอะ ๆ)
รุ่นพี่คนนึง (ตอนนี้เข้าใจว่าเป็นอาจารย์อยู่ในมหาลัยรัฐแถวอีสาน) เคยบันทึกไว้ในบล็อก ขออนุญาตเอามาลงตรงนี้:
เห็นพูดกันว่าออกนอกระบบแล้ว นักเรียนจะไม่มีโอกาสเรียนเพราะค่าเทอมแพงขึ้น ฟังดูดีแต่จากที่ตาเห็นกลับปรากฏว่า การที่นักเรียนได้รับการอุดหนุนจากเงินภาษีทำให้จ่ายค่าเทอมน้อยกว่าที่ควรจ ่าย คือประมาณไม่ถึงร้อยบาทถึงร้อยกว่าบาทต่อหน่วยกิต ทั้งๆที่ค่าใช้จ่ายจริงควรจะเกินพันบาทต่อหน่วยกิตนั้น
ไม่ได้ช่วยสร้างคนที่จะออกมาช่วยสร้างชาติสักเท่าใดเลย
เพราะจะเห็นนักเรียนเขียมค่าลงทะเบียนเอาไปจ่ายค่าเหล้าก็มาก ไปจ่ายค่าเที่ยวค่ากินก็มาก ไปซื้อการ์ตูน หรือเอาไปลงกับงานอดิเรกที่ฟุ่มเฟือยก็ไม่น้อย บ้างก็ไปเป็นค่าน้ำมันรถ (ซึ่งได้เป็นของขวัญจากคุณพ่อคุณแม่เมื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้) และค่าทางด่วน
และเพราะว่าการที่ได้รับการอุดหนุนจากภาษีของประชาชนโดยไม่รู้ตัว ทำให้มีน้อยคนที่จะสำนึกได้ว่า โอกาสทางการศึกษาของตนเองนั้น เป็นพระคุณของชาติ คือเป็นพระคุณของประชาชนคนไทย ควรที่จะตอบแทนสู่สังคมไทย ไม่รูปแบบใดก็รูปแบบหนึ่ง
แต่กลับกลายเป็นว่า แต่ละคนก็คิดเอาว่า ฉันเรียนเอง ค่าเทอมฉันออกเอง เพราะฉะนั้น ฉันจบแล้วฉันจะกอบโกยเอง มันผิดตรงไหน? เมื่อไปทำงานกับบริษัท แทนที่จะทำงานอย่างซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา ก็หาทางทำกำไรให้บริษัทอย่างไม่ลืมหูลืมตา ไม่ดูว่าผู้บริโภคซึ่งเป็นคนที่ส่งเสียพวกเราเรียนจนจบนั้นจะโดนผลกระทบอะไร บ้าง สังคม ซึ่งให้โอกาสเรามากมาย สูญเสียอะไรไปบ้าง
อย่ากระนั้นเลย เลิกอุดหนุนการศึกษาโดยการปิดบังค่าใช้จ่ายที่แท้จริงเสียเถอะ ปล่อยให้คนเหล่านี้ดิ้นรนขึ้นสู่ที่สูงเอาเอง เพราะจะอุดหนุนหรือไม่อุดหนุน เดี๋ยวพวกนี้มันก็กลับมาสูบเลือดพวกเราอยู่ดี ไม่เห็นจะต่างกัน