แตงไทย
นฤมล ชื่อเล่น "แตงไทย" (สำหรับครอบครัว), "แตงอ่อน" (สำหรับเพื่อนๆ), "I tang" (สำหรับพี่ๆ ทั้งหลาย) จันทรศรี

ปางตาย....ปางห้าร้อย By ครูปุ้ม


 
เว็บศูนย์รวม "โยคะสารัตถะ


ปางตาย....ปางห้าร้อย

เขียนโดย ; ครูปุ้ม
(เข้าอ่านงานทั้งหมดที่นี่)

โยคะสารัตถะ ฉ.; ก.ค.'๕๒

เพิ่งจะกลับจากการเดินป่าซับใต้ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่มาค่ะ โดยครั้งนี้จุดมุ่งหมายของปุ้มและเพื่อน ๆ อยู่ที่ปางห้าร้อย ซึ่งตั้งแต่เริ่มเดินป่าใหม่ ๆ เมื่อประมาน 6 ปีก่อน เพื่อน ๆ ที่มวกเหล็กก็จะเล่าให้ฟังทุกครั้งว่าปางห้าร้อยเป็นการเดินทางที่ยากลำบากและโหดมาก ...ก ถ้ามีโอกาสจะพาไปเพราะไม่ได้ไปกันเป็นสิบปีแล้ว จนกระทั่งพรรคพวกก็ตัดสินใจกันว่าจะไปเยือนปางห้าร้อยกันในช่วงวันหยุดสงกรานต์อันยาวนานนี้ โดยกำหนดการเดินทางคือ 11 - 15 เมษายน ตอนแรกปุ้มก็ยังลังเลอยู่ว่าจะไม่ไป เพราะกลัวว่าถ้าร่างกายไม่ไหวแล้วจะกลายเป็นภาระของเพื่อน ๆ แต่พวกเพื่อนก็ลุ้นว่าให้ไปเถอะ แล้วบอกกันว่าถ้าพวกเราเอาเป้ขึ้นหลังแล้วไอ้ปุ้มมันทนไม่ได้หรอก แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก่อนเดินทาง 1 เดือนปุ้มตัดสินใจแน่นอนว่าไปชัวร์ แล้วก็ออกกำลังกายเตรียมความพร้อมของร่างกาย

10 เมษายน 52
ปุ้มและเพื่อน ๆ 7 คน เดินทางจากแม่กลองไปผจญกับรถติดยาวเหยียดเนื่องจากเป็นวันเดินทางกลับบ้านในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เพื่อไปพักค้างคืนที่บ้านเพื่อนที่มวกเหล็กก่อน เพื่อจัดเตรียมสัมภาระส่วนตัวลงเป้และแบ่งเสบียงกันแบกคนไหนที่แข็งแรงก็ใส่พวกเครื่องกระป๋อง ข้าวสาร อาหารแห้ง ผัก ส่วนพวกป้อแป้อย่างปุ้มก็มาม่า+ขนมปังและขนมอีกเล็ก ๆ น้อย ๆ จากนั้นก็นอนพักผ่อนเอาแรงไว้เดินทางวันรุ่งขึ้น

11 เมษายน 52
คณะเดินทางจากแม่กลอง 7 คน ก็ไปสมทบกับเพื่อนชาวมวกเหล็ก 7 คน จนท.ป่าไม้ 3 คน และมีน้องอีกกลุ่มนึง 5 คน รวม 22 ชีวิต ก็เตรียมตัวมุ่งหน้าสู่ป่าซับใต้

เริ่มออกเดินเวลาประมาณ 10.00 น. โดยกำหนดการคืนแรกเราจะพักแรมกันที่คลองแม่ปล้อง เดินในตอนเช้าค่อนข้างสบายเจอทางลาดชันเป็นบางช่วง แต่ในช่วงบ่ายฝนก็เทกระหน่ำลงมาทำให้การเดินค่อนข้างลำบากพอสมควร เดินไปจนเย็นก็ยังไม่ถึงคลองแม่ปล้อง ก็เลยต้องตัดสินใจพักกันกลางทางเพราะไม่ทันแน่นอน ถ้ายิ่งมืดค่ำก็จะลำบากกว่านี้ ก็ช่วยกันตั้งแคมป์ ทำกับข้าว มื้อนี้ทำกับข้าวง่าย ๆ แล้วก็มีข้าวที่เหลือจากมื้อกลางวันเยอะพอสมควร แถมมีน้องคนนึงเซอร์ไพรส์ด้วยการนำข้าวเหนียวมะม่วงมาให้กินด้วยมะม่วงไม่ช้ำอีกต่างหาก เนื่องจากห่อกระดาษแล้วแพคไว้ในถุงนอน ฮากันใหญ่ พวกผู้ชายก็ไล่ผู้หญิงไปอาบน้ำกันก่อน ก็ค่อนข้างทุลักทุเลพอสมควร ต้องอาบกันทั้งชุดที่ใส่เดินเพราะชุดมันเปียกและเลอะเทอะไปหมด จากนั้นก็มาเปลี่ยนเสื้อผ้าเอาชุดเปียกไปตากผึ่งไว้ พวกปุ้มพักกันอยู่ข้างตลิ่ง นั่งกินข้าวกันไปได้สักพักปุ้มก็เห็นน้ำป่าไหลมาเยอะและเร็วมากแป๊บเดียวเกือบถึงริมตลิ่ง ตอนแรกก็ใจเสียเหมือนกันแต่เห็นพวกผู้ชายเค้าเฉย ๆ ก็เลยไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่ แต่ก็แอบถามเหมือนกันว่าระดับน้ำจะขึ้นมาอีกไหม เค้าก็บอกว่าคอยดูให้อยู่ไม่ต้องกลัว กินข้าวเสร็จล้างถ้วยชามก็มานั่งคุยกันแจกยาแก้ปวด คลายกล้ามเนื้อ นวดผ่อนคลายให้พวกเพื่อน ๆ ที่แบกสัมภาระหนักเป็นหิน พอสัก 4 ทุ่มก็เข้านอน และหลับสนิทไปด้วยความอ่อนล้า ท่ามกลางเสียงสเตอริโอรอบทิศทาง (เพื่อน ๆ ผู้ชายกรนกันสนั่น) มาตื่นอีกทีเพราะว่ารู้สึกปวดท้องมากเหมือนท้องจะเสียก็อดทนกะว่าเดี๋ยวให้สว่างก่อนกลางคืนมันน่ากลัวไม่กล้าไปเข้าห้องน้ำคนเดียว จนกระทั่งทนไม่ไหวตัดสินใจว่าเอาวะคนเดียวก็คนเดียวก็เลยลุกขึ้นมาจากเปล พอเท้าแตะพื้นเท่านั้นแหละ เพื่อนอีก 3 คนลุกกันพรึ่บ บอกว่าไปด้วยปวดท้องมาตั้งนานแล้ว ป๊าดโธ่! รู้งี้ลุกไปตั้งนานแล้ว ก็ฉายไฟเดินกันไป ได้มุมเฉพาะตัวก็จัดการธุระของตัวเองเสร็จ จากนั้นก็เดินกลับมานอนต่อ

12 เมษายน 2552
แป๊บเดียวสว่างแล้วยังนึกเลยว่าหวุดหวิดจริง ๆ เลยเรา เพราะถ้าเช้าอาจจะเดินหามุมเฉพาะตัวยากเนื่องจากช่วงกลางคืนความมืดจะพรางตัวได้ดี และยังไม่มีใครลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำกัน จากนั้นก็นอนละเลียดบรรยากาศไปเรื่อย ๆ ฟังเสียงนกร้อง เสียงน้ำไหล มองต้นไม้สีเขียว ๆ บรรยากาศช่างเงียบสงบจริง ๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟัน ต้มน้ำกินกาแฟ โอวัลติน ทำกับข้าวมื้อเช้า กินข้าวเช้า เก็บแคมป์และสัมภาระส่วนตัวลงเป้ และต้องใส่เสื้อผ้าชุดเดิมที่ตากไว้ซึ่งยังคงเปียกแฉะเหมือนเดิม วันนี้จะต้องเดินลุยน้ำไปเกือบตลอดเส้นทาง เมื่อทุกคนเรียบร้อยก็เริ่มออกเดินทางสู่คลองแม่ปล้อง ก็เดินขึ้นเขาลงเขาและเดินลุยน้ำไปเรื่อย ๆ ยิ่งช่วงก่อนถึงแม่ปล้อง เราต้องเดินลุยน้ำที่ค่อนข้างลึกพอสมควรบางช่วงก็ต้องไต่ไปตามตลิ่ง ช่วงไหนลงน้ำก็ต้องดูเส้นทางให้ดี ๆ เพราะว่าอาจจะต้องลงไปแช่น้ำทั้งตัวก็ได้ พวกเราเดินทางไปถึงแม่ปล้องกันในช่วงบ่าย ก็จัดการต้มน้ำกินมาม่า เอาเสื้อผ้าที่เปียกมาผึ่งแดด ตอนนี้ความคิดเห็นของคณะเริ่มแตกออกเป็น 2 ทาง อีกพวกนึงบอกให้พักกันที่นี่ และไม่ไปปางห้าร้อย เพราะดูว่าสภาพอากาศไม่ค่อยอำนวยจากเมื่อวานและสภาพแต่ละคนค่อนข้างอ่อนล้าอาจจะไปไม่ถึง ส่วนอีกพวกนึงก็บอกว่ามาแล้วต้องไปให้ถึง ก็เลยตัดสินใจว่าไปกันต่อ จากนั้นก็เริ่มออกเดินทางต่อต้องข้ามช่องเขาต้องเดินลุยน้ำ บางช่วงต้องให้พวกผู้ชายเอาเป้เทินบนหัวแล้วข้ามน้ำไป พวกผู้หญิงก็ว่ายน้ำตามไป เดิน เดิน และเดินลุยน้ำกันไปตลอดเส้นทาง จนถึงจุดพักแรม ซึ่งต้องตะกายความสูงขึ้นไป ประมาณตึก 3 ชั้น แค่เห็นก็ท้อแล้ว จากนั้นต้องเอาเป้ขึ้นไปเก็บ พวกผู้ชายก็ตั้งแคมป์ พวกผู้หญิงก็ถูกไล่มาอาบน้ำกันก่อน ก็ต้องลงมาอาบน้ำข้างล่างก็รีบอาบกันสุดฤทธิ์เพราะว่าเดี๋ยวจะมืดแล้ว จากนั้นก็ต้องตะกายตึก 3 ชั้นขึ้นไปอีก เอาเสื้อผ้าเปียกไปผึ่งแล้วก็มานั่งรอเพื่อนทำกับข้าวเนื่องจากมีเนื้อที่จำกัดไม่สามารถขยับเนื้อตัวได้ พื้นที่ก็เทนั่งเบียดกันอยู่บนผ้าใบ สักพักนึงปุ้มเริ่มหนาวสั่น ปวดเนื้อตัวและมีไข้ขึ้นเนื่องจากโดนฝนตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้ก็เดินตัวเปียกทั้งวัน ก็เลยรีบกินข้าวกินยาแล้วก็หลบไปนอนก่อน น้องที่นอนเปลข้าง ๆ บอกว่าได้ยินเสียงปุ้มครางอิ๋ง อิ๋ง ทั้งคืน

13 เมษายน 2552
ตื่นมาเช้าวันนี้ไข้ลดลงแล้ว เพลียบ้างนิดหน่อย แต่ยังคงต้องเดินทางต่อไป จุดหมายของวันนี้คือทางขึ้นน้ำตกใหญ่ ซึ่งเพื่อนบอกว่าสวยมาก ก็เก็บสัมภาระ เก็บแคมป์ หุงหาอาหารมื้อเช้า กินข้าว เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดเดิม (ใส่มาเป็นวันที่สามแล้ว) แล้วนำจานชามลงมาล้างข้างล่าง และออกเดินทาง วันนี้หัวหน้าทีมดูสภาพลูกทีมแล้ว ก็เลยไม่ให้เดินลุยน้ำ เพราะว่ามันกินแรงแล้วจะเหนื่อยมาก บอกว่าเดินตัดเขาแล้วกัน 2 ลูกก็ถึง ก็เลยให้เดินขึ้นเขา ลงเขา ขึ้นเขา ลงเขา จนปุ้มไม่อยากจะถามว่ากี่ขึ้นเขามากี่ลูกแล้ว (ตอนหลังมาแอบถามเพื่อนว่ามันกี่ลูกเนี่ย แหะ แหะ 6 ลูกค่ะ)เหนื่อยสุด ๆ บางช่วงต้องลงทางลาดชันเกือบ 90 องศา ต้องใช้เชือกผูกกับต้นไม้และโรยตัวลงไป บางช่วงก็ต้องไต่ขึ้นไต่ลงแบบปีนหน้าผาจำลองอะไรประมานนั้น มีอยู่หนนึงปุ้มลื่นก้าวพลาดแต่โชคดีมาติดอยู่ที่ต้นไม้ เพื่อนที่อยู่ข้างบนก็เลยตะโกนบอกว่าให้ถอดเป้ออก เดี๋ยวจะเอาลงไปให้ แล้วก็มีเพื่อนที่ตามมาข้างหลังเท้าไปเตะโดนเป้หล่นลงมากระเด็นกระดอนไปตามไหล่เขา ปุ้มงี้ใจหายวาบ ซวยแล้วตู เผอิญเป้ไปติดแหง๊กอยู่ที่ต้นไม้ พรรคพวกเลยปีนลงไปเก็บมาให้ แล้วพวกเราก็ปีนกันลงมาจนถึงด้านล่าง ไปเจอน้ำตกที่สวยมาก ปุ้มดีใจนึกว่าถึงน้ำตกใหญ่แล้วแต่เค้าบอกว่าไม่ใช่อันนี้ น้ำตกใหญ่ต้องไปอีก พักหยุดชมธรรมชาติกันพอหายเหนื่อยก็เริ่มเดินทางต่อ เพราะตอนนั้นรู้สึกว่าจะ 5 โมงกว่า ๆ แล้ว เราต้องไปเดินลุยน้ำกันต่ออีกไกล แล้วในน้ำมันมีก้อนหินเดินจนข้อเท้าพลิกไปพลิกมา

จนมืดค่ำต้องฉายไฟส่องลงไปในน้ำ กลัวก็กลัว เจ็บนิ้วเท้า+ข้อเท้าและฝ่าเท้าร้าวระบมไปหมด พวกผู้หญิงต้องเดินแบบมีเพื่อนผู้ชายคอยพยุงปีกไป เดินกันตุปัดตุเป๋เป็นตุ๊กตาล้มลุก ลื่นล้มก้น+หัวเข่ากระแทกหิน วันนี้กว่าจะถึงที่พักก็เกือบ 2 ทุ่ม มีน้องคนนึงพอเดินมาถึงที่พักถึงกับสลบเหมือดไปพักใหญ่ทีเดียว พวกผู้ชายก็รีบหาฟืนจุดไฟ ตั้งเตาแก๊สต้มมาม่ากับโจ๊กกินให้ร่างกายอบอุ่นก่อน เพราะทำกับข้าวกันไม่ทันแล้ว ที่เหลือก็ช่วยกันตั้งแคมป์ แล้วพวกผู้หญิงก็รีบไปอาบน้ำก่อน จากนั้นก็มานั่งพิจารณาร่างกายของแต่ละคน ปุ้มนิ้วเท้ากับส้นเท้าพองเป็นน้ำใส ๆ บวมเป่ง ต้องมานั่งเจาะน้ำรีดออกหมดแล้วติดพลาสเตอร์ให้แน่น เพราะถ้าแตกระหว่างเดินจะแสบทรมาณสุด ๆ คืนนี้หัวหน้าทีมทำเมนูพิเศษก่อนนอนเป็นข้าวเหนียวเปียกกะทิกับถั่วเขียวต้มน้ำตาลค่ะ อร่อยมาก จากนั้นก็แจกยาเหมือนเคย และคืนนี้นอนกับพื้นเนื่องจากไม่มีที่พอจะผูกเปล นอนหลับสนิทจนถึงเช้าเลย

14 เมษายน 2552
วันนี้ตื่นขึ้นมานั่งจิบโอวัลตินอุ่น ๆ ชมบรรยากาศยามเช้าได้พิจารณาสังเกตุที่พักของเมื่อคืนว่าบรรยากาศเริ่ดมาก...ก เป็นลำธารน้ำใส ไหลเย็นกระทบโขดหิน อยู่ท่ามกลางขุนเขาสีเขียว โอ้!!! โรแมนติคสุด ๆ หลังจากกินข้าวเช้าก็เตรียมตัวไปดูน้ำตกใหญ่กันซึ่งจะต้องเดินไปอีกประมาณ 2 - 3 ชม. ปุ้มก็เลยสมัครใจเฝ้าแคมป์เก็บแรงไว้เดินทางต่อ เพราะว่าเท้าระบมไปหมด ซึ่งเพื่อน ๆ หลายคนก็ลุ้นบอกว่าให้ไปเถอะ เพราะไม่รู้ว่าจะมีโอกาสมาอีกหรือเปล่า แต่ปุ้มก็ปฏิเสธค่ะและบอกว่าไม่เสียดายหรอก ปุ้มถือว่าปุ้มทำเท่าที่ทำได้ และความสุขของปุ้มไม่ได้มีที่น้ำตกใหญ่เพียงที่เดียว แต่มันอยู่ระหว่างทางที่เราผ่านมามากกว่า ถึงแม้จะเหนื่อยล้าจนหมดเรี่ยวแรง แต่ปุ้มก็ได้กำลังใจและความช่วยเหลือของเพื่อนร่วมทางทุกคน ช่วยกันจูง+ลากบ้าง ช่วยเอาเป้ไปถือให้บ้าง ซึ่งเพื่อน ๆ ก็เชื่อในการตัดสินใจของปุ้ม โดยปุ้มมีพี่กับเพื่อนมวกเหล็กอยู่เป็นเพื่อนอีก 3 คน ปุ้มก็นั่งเล่น นอนเล่น เพื่อนก็ทำข้าวผัดไข่ให้กิน บางคนก็ไปนั่งตกปลา ใช้เวลากันเรื่อยเปื่อยไม่รีบร้อน แถมปุ้มยังนอนต่อได้อีกหนึ่งตื่น พอเริ่มมีคนทยอยกันกลับก็ทราบข่าวว่ามีเพื่อนคนนึงที่ว่ายน้ำไม่ค่อยเก่ง เกือบจะจมน้ำ โชคดีที่มีเพื่อนกระโดดลงไปช่วยไว้ทัน แล้วพวกเราก็ช่วยกันเก็บข้าวของ สัมภาระทั้งหลาย เตรียมเดินทางต่อจุดหมายปลายทางวันนี้คือปางห้าร้อย เพื่อนตัดไม้มาทำไม้เท้าให้ปุ้มช่วยพยุงตัวซึ่งช่วยได้มากค่ะ วันนี้เดินไปได้สักพักแผลพองที่เจาะไว้ก็เริ่มแตก พอก้าวเท้าลงน้ำแสบสุด ๆ แต่ก็ไม่ลำบากเท่าวันที่ผ่าน ๆ มา มีเดินขึ้นเขา ลงเขาบ้าง ถึงแม้จะเจ็บเท้ามากก็ต้องอดทนค่ะ เพราะถ้าเราไม่ไหวทุกคนก็ต้องหยุดหมด การเดินทางก็จะล่าช้าไปอีก ก็กัดฟันเดินไปเรื่อย ๆ สติจับอยู่ที่การก้าวเท้าฝึกความอดทนดีเหมือนกัน เดินถึงปางห้าร้อยประมาณช่วงเย็น ก็ช่วยกันตั้งแคมป์ ทำกับข้าว อาบน้ำแล้วก็มาพิจารณาสังขาร เจาะน้ำใส ๆ จากแผลที่พองเป่งออกจากเท้า แล้วปุ้มก็มีแผลเพิ่มที่ต้นขาด้านในไม่รู้ว่าโดนอะไร แล้วกางเกงที่ใส่เดินก็มีตัวเดียวใส่ซ้ำทุกวันลุยน้ำ ลุยโคลน ก็เลยติดเชื้อ มีเพื่อนเอายา ชุดทำแผล มีกระทั่งชุดเย็บแผลมาด้วย แผลปุ้มเป็นหนองก็เลยต้องเจาะคว้านเอาหนองออกเจ็บสุด ๆ แต่พอพี่อีกคนเดินมาบอกว่าช่วยทำแผลที่หลังให้หน่อยพอเปิดเสื้อออกเท่านั้นแหละค่ะ อึ้งกิมกี่กันเป็นแถวเลย แผลเยอะ และใหญ่มาก แถมยังติดเชื้อเป็นหนองอีกต่างหาก เนื่องจากสายเป้ขาดเป้ก็เลยถูกับหลังจนเป็นแผล ปุ้มงี้หายเจ็บเลย แผลเรานิดเดียวยังเจ็บขนาดนี้ แล้วของพี่คนนี้เป็นทั้งหลังเลยอ่ะ ต้องฟอกแผลขูดหนองออก ผ้ากอสก็ไม่พอ ไม่รู้จะทำงัย ก็เลยต้องใช้แคร์ฟรีที่พวกผู้หญิงพกกันไป ปิดแผลให้แทน และให้กินยาแก้อักเสบ แล้วกำชับว่าพรุ่งนี้เช้าก่อนเดินทางต้องมาทำแผลกันอีกที คืนนี้ต้องนอนกันที่พื้นเนื่องจากต้นไม้ไม่พอผูกเปล วันนี้สิ้นสติหลับไหลไปท่ามกลางเสียงกรนสนั่นรอบทิศทางอีกแว้ว...ว

15 เมษายน 2552
วันนี้เป็นวันเดินทางกลับค่ะ เก็บสัมภาระทุกอย่าง มีเพื่อนคนนึงบอกว่าทุบหม้อข้าวผลาญเสบียงให้หมดวันนี้จะกลับบ้านแล้ว (พวกผัก,ไข่,หมดข้าวสารเหลือ 2 ถุงแต่ยังมีมาม่ากับโจ๊กซองอีกเพียบและเครื่องกระป๋องอีกเล็กน้อย) จากนั้นก็ออกเดินทางพอเดินออกมาเจอลานกว้าง ๆ เพื่อนบอกว่าเค้าเรียกลานคอนเสริต์พี่ใหญ่ (ช้าง) วันนี้ความคิดเห็นแตกออกเป็น 2 แนวทางอีกแล้ว พวกเพื่อน ๆ ปุ้มที่มวกเหล็กบอกว่าให้สำรวจเส้นทางก่อน เพราะว่าเค้าจะหาสัญญลักษณ์ที่เคยทำเอาไว้แล้วเดินกลับทางนั้น แต่อีกทีมบอกว่าให้เปิด GPS แล้วเดินตามไป เถียงกันไปเถียงกันมาก็ตกลงสำรวจเส้นทางก่อน พอสำรวจเสร็จเจอทางแล้วก็เดินตามกันไปเรื่อย ๆ และแล้ว1 ชม.ต่อมา เราก็กลับมาอยู่ที่ลานคอนเสริต์พี่ใหญ่อีกแล้ว ปุ้มเงี้ยเข่าอ่อนเลย ตรงนั้นพอจะมีสัญญาณโทรศัพท์เพื่อนปุ้มเลยเปิดเข้าไปเช็คใน Google earth ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน ปรากฎว่าเราอยู่ใกล้เขตนครนายกประมาณ 2 กม. ยังพูดติดตลกกันเลยว่าลงทางนครนายกแล้วเหมารถกลับมวกเหล็กกัน แล้วก็โทรคุยกับพี่ ๆ ที่โพธารามก็เลยรู้ข่าวว่าทางกทม.มีสถานการณ์ฉุกเฉิน รัฐบาลประกาศให้หยุดเพิ่มอีก 2 วัน จากนั้นเราก็เลยตกลงกันว่าตาม GPS ไปแล้วกัน ก็เดินกันไปพอเดินไปเขึ้นเขา ลงเขา ตัดร่องน้ำ ขึ้นเขา ลงเขา ตัดร่องน้ำ ขึ้นเขา ลงเขา ......ขึ้น...ลง ...เพื่อนปุ้มก็บอกว่ายังไม่คุ้นทางเลย เดินมาจนถึงบ่าย 3 โมง เริ่มหิวข้าวก็เลยขอพักแล้วก็ต้มน้ำกินมาม่ากับโจ๊ก แล้วก็คุยกันว่าวันนี้คงกลับไม่ทันแน่ ๆ เพราะบ่าย 3 แล้วยังไม่เจอเหวปากหมาเลย (ทางออก) ยังแซวกันเลยว่าเหวยังไม่เจอ แต่ปากหมาแถวนี้เพียบ ปุ้มเริ่มรู้สึกวิตกกังวลแล้วว่าถ้ากลับออกไปไม่ทันแย่แน่ กลัวว่าแม่จะเป็นห่วง เพราะก่อนเข้าป่าปุ้มโทรบอกว่าจะออกจากป่าวันที่ 15 เย็น ๆ แต่ยังมองโลกในแง่ดีว่าอาจจะใกล้ถึงแล้ว เดี๋ยวก็ถึงน่าจะออกไปทัน ก็เดินกันต่อไปวันนี้ปุ้มเหนื่อยมาก ๆ จนเป็นลมหน้าซีดเป็นไก่ต้มเหงื่อแตกพลั่ก ๆ จนตัวเปียก หัวเปียกไปหมด แต่ก็ยังต้องเดินไปเรื่อย ๆ พักบ้างเล็กน้อย เป็นระยะ ๆ ก็ยังไม่รู้เลยว่าตอนนี้เราอยู่ตรงไหนกัน จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดินทุกสิ่งในป่ามืดสนิทต้องฉายไฟส่องทางเดิน และตอนนี้ปุ้มกลัวและเครียดที่สุดเลยไหนจะกลัวความมืด ทางซ้ายมือเป็นเขา ขวามือเป็นเหว ทางเดินก็เล็กแคบ ขาก็เจ็บ

ต้นไม้ที่พอจับได้ข้างทางก็ไม่ค่อยมี ที่มีก็มีหนามเป็นของแถม เดินกันจนถึง 2 ทุ่มก็ขึ้นมาถึงสันเขา ก็ยังไม่ถึงเหวปากหมา ก็พักแล้วก็เปิด GPS เพื่อหาทางไปต่อ ทุกคนเงียบสนิทและรอลุ้น ตอนนี้ปุ้มเริ่มหนาวสั่นและมีไข้ขึ้น จนในที่สุดก็สรุปว่าพักตรงนี้พรุ่งนี้ค่อยเดินต่อ เสียงเพื่อนผู้ชายคนนึงถอนหายใจดังเฮีอก จากนั้นผู้ชายช่วยกันไปตัดไม้หาฟืนมาจุดไฟ ตั้งแคมป์ ผู้หญิงทำกับข้าว แต่ปุ้มทำอะไรไม่ไหวแล้วค่ะหมดแรง น้อง ๆ ก็ช่วยกันถอดรองเท้า ถุงเท้าให้ แล้วบอกให้ปุ้มเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เพราะชุดที่ใส่เปียกเหงื่อจนชุ่มไปหมด จากนั้นโจ๊กร้อน ๆ ก็ส่งมาถึงมือปุ้มบอกให้กินซะก่อนจะได้กินยาแล้วนอน นั่งกินโจ๊กไป น้ำตาก็เริ่มไหลแหมะ แหมะ ด้วยความรู้สึกที่ประดังประเดเข้ามา เหนื่อยแสนเหนื่อย เจ็บแสนเจ็บ ตื้นตันกับความช่วยเหลือของทุกคนในทีม เครียดกับการที่ยังออกไปไม่ได้และไม่สามารถติดต่อใครได้เลย เนื่องจากไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ หลายคนเริ่มวิตกกังวล เนื่องจากมีภาระในวันรุ่งขึ้น น้องพยาบาลต้องออกหน่วยรักษาความปลอดภัยทางท้องถนน เพื่อน ๆ อีก 2 คนต้องขึ้นเวรบ่าย (16.00 น.) น้องที่ อสค.ต้องเข้าทำงาน เพื่อนอีกคนต้องไปรับลูกสาวที่กรุงเทพฯ หลาย ๆ คนก็มีภาระที่ต้องไปทำและกลัวคนที่บ้านจะเป็นห่วง น้ำก็ไม่มีจะกิน ที่มีเหลือติดขวดกันมาเต็มที่ก็คนละครึ่งขวด บางคนไม่มีเลย คืนนี้ต้องประหยัดน้ำกันสุดฤทธิ์ พอทุกคนเริ่มวิตกกังวลปุ้มก็เลยพยายามมองปัญหาของเราให้เล็กลง และเลิกคิด เพราะคิดไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร พอเริ่มดึกหน่อยมีเพื่อนเช็คสัญญาณโทรศัพท์ก็มีติดมาขีดนึง ดีใจกันสุดฤทธิ์แต่ก็มา ๆ หาย ๆ ก็เลยตัดสินใจส่งเป็นข้อความแต่ก็ไม่ชัวร์ว่าจะช่วยอะไรได้มั๊ย จากนั้นก็ตัดสินใจนอนดีกว่าเพราะว่าไม่มีอะไรจะทำได้ดีกว่านั้นแล้ว

16 เมษายน 2552
เช้านี้ตื่นกันแต่เช้าไม่ต้องให้เรียกนาน ไม่มีใครงอแงอยากนอนต่อ ทุกคนช่วยกันเก็บข้าวเก็บของเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่ต้องทำกับข้าวเพราะน้ำไม่มีเลย ฟันก็ไม่ได้แปรงก็เอาลูกอมมาแจกกัน จากนั้นก็เริ่มเดินตอน 7 โมงเช้า พอสักชั่วโมงกว่า ๆ ก็เจอแหล่งน้ำ ก็จัดแจงล้างหน้าแปรงฟัน ต้มน้ำกินมาม่ากับโจ๊ก อีกทีมนึงที่มีผู้ชาย 5 คน เสบียงหมดไปแล้ว เพื่อนปุ้มก็เลยแบ่งมาม่าให้ไป 5 ห่อ จากนั้นก็เก็บล้างรีบเดินทางกันต่อก็เดินขึ้นเขา ...ลงเขา...ขึ้นเขา....ลงเขา ไปเรื่อย ๆ แล้วก็เปิดโทรศัพท์เช็คสัญญาณกันไปตลอดที่ขึ้นบนเขา แต่ก็ไม่มี เดินกันจนเกือบเที่ยงวันขึ้นไปบนเขาลูกนึง มีสัญญาณโทรศัพท์ขึ้นมาดีใจกันสุดฤทธิ์ต่างคนต่างรีบโทรจัดการธุระของตัวเอง หลังจากนั้นความวิตกกังวลทั้งหลายก็หายไป เหลือแต่เพียงว่าเราจะเจอเหวปากหมาเมื่อไหร่ ปุ้มแอบกระซิบถามเพื่อนคนนึงว่าคุ้นทางบ้างหรือยัง เค้าตอบว่ายังเลย ใจแป้วเลยค่ะ แต่ก็อดทนเดินไปเรื่อย ๆ แล้วก็อธิษฐานในใจว่าหนูอยากกลับบ้านขอให้เจ้าพ่อเขาใหญ่และหลวงพ่อบ้านแหลมช่วยด้วย วันนี้พวกผู้ชายเริ่มหมดแรงเพราะกินแต่มาม่ากับโจ๊ก

น้ำก็เริ่มหมด ช่วงไหนที่พักก็เรียกว่าล้มตัวลงนอนแผ่เลยก็ว่าได้ เดินกันมาจนบ่าย 3 โมงกว่า ๆ ก็มาถึงเหวปากหมาก็พักกินน้ำ กินมาม่าแห้ง ๆ กับผักกระป๋อง+ปลากระป๋องที่เหลือ ตอนนี้กำลังใจเริ่มมากันแล้ว เพื่อนมวกเหล็กบอกว่าคราวนี้ก็จะเป็นการเดินลงอย่างเดียว อีก 2- 3 ชม. ก็จะออกจากป่าได้แล้ว จากนั้นก็เริ่มสตาร์ทออกเดินและหยุดพักเป็นบางช่วง คราวนี้เริ่มเดินเลียบสันเขาลงมาเรื่อย ๆ ลมพัดเย็นสดชื่น เริ่มมีการหยุดชมนกชมไม้ ถ่ายรูป หยุดพักคุยกันว่าคราวหน้าต้องพกขนมมาเยอะ ๆ เวลาหมดแรงจะได้มีขนมกิน แล้วก็หัวเราะกันว่าแหม !! คิดว่าจะเข็ด จากนั้นเดินมาถึงป่าไผ่ซึ่งเป็นทางลงที่ค่อนข้างหวาดเสียวพอสมควร เป็นทางลาดลงไป

เดินต้องใช้เท้าคอยยั้งไว้เรื่อย ๆ ปวดข้อเท้าสุด ๆ เลยค่ะ มีน้องที่เดินตามหลังปุ้มมาเค้าบอกว่าเค้าหลับตาเดินแบบหมดแรงแล้ว ก็เดินโซซัดโซเซออกมาถึงปากทางประมาณ 6 โมงเย็น
ปุ้มหันกลับไปยกมือไหว้ขอบคุณเจ้าพ่อเขาใหญ่ที่ให้หนูกลับบ้านได้เสียที จากนั้นก็นั่งรถออกมาหาข้าวกินกันใน อสค. แล้วก็อาบน้ำอาบท่าเตรียมตัวเดินทางกลับเพราะมีหลายคนต้องทำงานในวันรุ่งขึ้น ออกจากมวกเหล็กประมาณ 3 ทุ่ม ถึงแม่กลองประมาณเที่ยงคืนกว่า ๆ
เอาเสื้อผ้าเน่าออกมาผึ่ง แช่รองเท้า ถุงเท้า เคลียร์ของในเป้ อาบน้ำนอนก็ปาเข้าไปตีหนึ่งกว่า
นอนสลบไสลสิ้นสติสมประดีไปเลย

ปุ้มว่าเมื่อ 3 ปีก่อนไปโมโกจูที่สูงชันมาว่าโหดแล้ว ยังโหดสู้ปางห้าร้อยไม่ได้เลย คือว่าที่โมโกจูเราเดินโดยที่เรารู้จุดหมายว่าเราจะไปที่ไหน จุดพักแรมอยู่ตรงไหน จนท.ป่าไม้ชำนาญเส้นทาง และคอยกระตุ้นให้พวกเราเดิน ..เดิน..และเดินจนขาลาก จนบางคนต้องเอามือจับกางเกงดึงขาให้ยกขึ้น เพื่อนผู้ชายแบกเป้หนักมากแถมทำเจ๋งไม่จ้างลูกหาบซักคน เป้ถูจนหลัง-ไหล่ไหม้เกรียม แต่ครั้งนี้จนท.ป่าไม้เค้าไม่เคยเข้าไป ก็เลยพึ่งแต่ GPS แล้วเดินตามนั้น แต่ถ้าเดินตามหลักของคนเดินป่าเค้าจะทำสัญญลักษณ์ในการนำทางไว้ และทางของเค้ามันลัดเลาะช่วยทำให้ย่นระยะทาง แต่ GPS เค้าจะเดินตามสัญญาณดาวเทียมอ้อมไปอ้อมมาทำให้ยืดระยะทางออกไปให้ไกลกว่าเดิม แล้วสถานการณ์แต่ละวันไม่เหมือนกันพลิกผันได้ตลอดเวลาต้องตัดสินใจกันวันต่อวัน ชั่วโมงต่อชั่วโมง ตอนที่ออกมาจากป่ามีคนแซวว่าหลงป่าเหรอ ก็บอกไม่ใช่ แต่พี่ป่าไม้เค้าเห็นว่าเดินกันเก่งก็เลยแถมให้อีกวันนึงอ่ะ (พวกพี่ ๆ ป่าไม้เค้ายังชมพวกปุ้มเลยว่าอดทนดี ไม่มีใครงอแงเลย ให้เดินก็เดิน ก็แหม!! มันก็ต้องเดินนะซิจะให้อยู่กินข้าวลิงในป่าเหรอ) เมื่อสองวันก่อนเพื่อนที่มวกเหล็กโทรมาบอกว่าคุยกันแล้ว ปีหน้าจะเข้าไปแก้มือกันใหม่ ถามว่าปุ้มจะไปมั๊ย ปุ้มตอบไปทันควันเลยว่า ไปดิ แต่ไม่เอา GPS นะ เค้าขำกันใหญ่เลย เดินป่าคราวนี้มีทั้งสุขเศร้าเคล้าน้ำตา ช่วงแรก ๆ ที่เดินสติจับอยู่ที่เท้า ก้าวเท้าซ้าย - ขวา ช่วงหลัง ๆ สติแตกกระเจิง ตัวยังเดินอยู่กลางป่า ใจไปอยู่ที่จุดที่จะพักแล้ว แต่พอช่วงที่เจ็บเท้าสุด ๆ เหนื่อยสุด ๆ ปุ้มก็พยายามดึงสติมาอยู่ที่การก้าวเดินซ้าย - ขวา เหมือนเดิม แต่ก็มีหลุด ๆ บ้างแล้วแต่สภาวะอารมณ์ที่แปรปรวนไปตามสภาพร่างกาย ทุกครั้งที่ได้เข้าป่าปุ้มและเพื่อน ๆ จะมีความสุขมาก ไม่ต้องคิดเรื่องงาน ใช้ชีวิตแบบไม่ต้องมีเทคโนโลยี (แต่บางครั้งก็ต้องพึ่งพามันบ้างถ้าจำเป็น) หุงข้าวใช้ฟืน กินน้ำที่รองจากลำธาร นอนกลางดิน กินกลางทราย (แต่ครั้งนี้กลับออกมาถ่ายท้องซะหลายวัน) ได้ดูดอกไม้แปลกๆ สวย ๆ ต้นไม้สูงใหญ่ที่ไม่อาจจะคาดเดาอายุได้ สบายตากับความร่มรื่นมองไปทางไหนก็มีแต่สีเขียว ถึงแม้จะไม่มีความสะดวกสบายเหมือนอยู่ที่บ้าน แต่มันก็เป็นความสุขในชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งมันบอกกันไม่ได้ถ้าอยากรู้ต้องลองเองนะคะ ^-^


 

มูลนิธิหมอชาวบ้าน 
2220/101 ซอยรามคำแหง 36/1  ถนนรามคำแหง  แขวงหัวหมาก  เขตบางกะปิ  กรุงเทพฯ  10240  
โทรศัพท์  02-732-2016 - 17, โทรสาร 02-732-2811 มือถือ 081-401-7744 ; 
E-mail: [email protected] ; www.thaiyogainstitute.com

หมายเลขบันทึก: 281926เขียนเมื่อ 31 กรกฎาคม 2009 22:05 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 21:11 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท