ใครๆก็ทราบว่า คนเราชอบพูดชอบคิดถึงเรื่องดีๆ มีความสุข สนุกสนาน แต่พอถึงเวลาที่จะทำอะไรเกี่ยวกับงาน เกี่ยวกับหน้าที่ หน้าตาเริ่มหงิก คิ้วเริ่มขมวด ยิ้มกลายเป็นแสยะ มือกลายเป็นกำปั้น พูดกลายเป็นสำราก ลูกน้องกลายเป็นภาระ นายกลายเป็นอสูร ฯลฯ
ซึ่งเราไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นเลย มนุษย์มีอิสระที่จะทำอะไรได้เยอะ ความเป็นไปได้มีไม่สิ้นสุด
ตอนงานประชุมแพทยศาสตรศึกษาแห่งชาติที่ผ่านมา พี่โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ บรรยายเรื่อง Humanized Medical Curriculum (หรืออะไรทำนองนี้แหละครับ แกพูดหลายเรื่อง) ผมได้ถอดความมาบันทึกไว้ได้ 5 บทความ เป็นเกี่ยวกับสังคมปรนัย 3 บทความ (1, 2, 3) และหลักสูตรแพทย์ใหม่อีก 2 บทความ (1, 2) แต่ยังคงมีอะไรเหลืออยู่อีกสองสามประเด็นคั่งค้าง ได้แก่ Narrative Medicine และ Appreciative Inquiry ล่องลอยอยู่ในเวหนจินตนาการ ให้นำกลับไปค้นหาอ่านต่อ แล้วก็เหมือนผีดลใจ หมอวรวุฒิ ผ.อ. รพ.สันทราย ก็ส่งหนังสือมาให้อ่าน 2 เล่ม ทั้งสองเล่มเกี่ยวกับคำที่กำลังล่องลอยในศีรษะผมพอดิบพอดี คือ Appreciative Inquiry เล่มหนึ่งหนา 92 หน้า อีกเล่มเกือบห้าร้อยหน้า ก็ไม่ต้องสงสัยว่าจะอ่านเล่มไหนก่อน
อ่านแล้วก็เกิดความสนใจ อยากนำมาเชื่อมโยงกับสิ่งที่ตนเองทำและสนใจอยู่
และนำมากองไว้ ณ เวทีนี้อีกครั้งหนึ่ง
ผู้แต่งหนังสือเล่มแรก คือ Appreciative Inquiry, A Positive Revolution in Change คือ Dr David Cooperrider และ Diana Whitney ส่วนเล่มที่สองมี Jaqueline Stavros และ Ronald Fry เพิ่มมาอีกสองท่าน บทความนี้คงจะเป็นเพียงการหยิบมาบางหย่อมที่ผมอยากจะหยิบ เนื้อหารายละเอียดที่แท้จริง กรุณาไปซื้อฉบับเต็มมาศึกษากันเอง ถ้าหากเกิดแรงบันดาลใจ (และเวลา) เพียงพอ ใครจะรู้ คุณอาจจะเปลี่ยนโลกทัศน์และชีวิตที่เหลือทั้งชีวิตก็ได้ (ถึงเวลา...สักที)
ในยุคที่ผ่านมา เราค่อนข้างจะหมกมุ่นกับ Problem solving หรือการแก้ปัญหา เวลามีประชุม มีสัมมนา meeting อะไรต่อมิอะไร ลองคิดดูสิว่าสักกี่เปอร์เซนต์ (หรือเกือบทัั้งหมด) ของเวลา ที่หัวข้อ วิธีการ และผลลัพธ์นั้น เป็นการ หาปัญหา สรุปปัญหา แยกแยะปัญหา หาทางแก้ปัญหา หาปัญหาต่อไป ป้องกันปัญหา ฯลฯ
เป็นที่น่าคิดว่า ถ้ามีอย่างนี้เยอะๆ จะมีผลอะไรหรือไม่ ต่อ profile และภาพลักษณ์ของเราต่อสิ่งต่างๆ อาทิ องค์กรของเรา staff เพื่อนร่วมงาน ตัวเราเอง หรือโลกใบนี้?
เมื่อเรากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ หรือทำงานส่วนใหญ่ เพื่อ "ค้นหาปัญหา และแก้ไขปัญหา"
ใน Appreciative Inquiry นั้น ไม่ได้เสนอเราว่า เราควรจะเพิกเฉยต่อปัญหา ปัญหายังคงจะต้องแก้ ต้องพูดถึง ต้องเรียน แต่เราต้องไม่ลืมว่่าเรายังมีมิติอื่นๆที่สามารถมีผลต่อประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และสำคัญที่สุดคือ "ความสมบูรณ์เพิ่มขึ้นในการเป็นมนุษย์" ของผู้คนในองค์กรคงบคู่กันไป แม้ว่าประการหลังนี้จะ "วัดยาก" ก็ตาม
ใน old paradigm หรือการ approach แบบ problem solving นั้น มีบ่อยครั้งแค่ไหนที่เกิดปรากกฏการณ์ดังต่อไปนี้
ถ้าคำตอบคือ "บ่อย หรือ เกือบทุกครั้ง" บางทีเราอาจจะมีอะไรใหม่ๆเกิดขึ้นจากการ "เปลี่ยนแปลง" วิธีคิด วิธีทำ บ้างหรือไม่?
Appre'ciate, v., 1. Valuing; the act of recognizing the best in people or the world around us; affirming the past and present strengths, successes, and potentials; to percieve those things that give life (health, vitality, excellence) to living systems. 2. To increase in value, i.e. the economy has appreciated in value. Synnonym: value, prize, esteem, honour.Appreciate: (กิริยา) 1. การให้คุณค่า การตระหนักถึงสิ่งที่ดีที่สุดในผู้คนและโลกรอบๆตัวเรา ยึดมั่นในเรื่องของความเข้มแข็ง จุดแข็ง ความสำเร็จ และศักยภาพแตอดีตจวบปัจจุบัน มองหารับรู้ถึงสิ่งที่จรรโลงชีวิต อาทิ สุขภาวะ, ความมีชีวิตชีวา, ความดีเลิศ เพื่อเติมเต็มให้แก่ระบบชีวิต 2. เพิ่มคุณค่่า การเน้นด้านการให้ เพิ่ม คุณค่า คำเหมือน: คุณค่า รางวัล ความภาคภูมิใจในตนเอง ความมีเกียรติ Inquire', v. 1. The act of exploration and discovery. 2. To ask questions; to be open to see new potentials and possibilities. Synnonym: discover, search, systematically explore, study.Inquire: (กิริยา) 1. การเสาะแสวงหา สำรวจ 2. การถามคำถาม เปิดพื้นที่ให้แก่ศักยภาพ ความเป็นไปได้ใหม่ๆ คำเหมือน: การค้นพบ ค้าหา สำรวจอย่างเป็นระบบ การศึกษา |
Appreciative Inquiry นั้น "ตั้งหลัก" ที่จุดแข็ง (positive core) ขององค์กร ไม่ได้ตั้งหลักที่ "ปัญหา" ขององค์กร (และนำพาไปสู่สภาวะจิตของผู้บริหารว่าตนเข้ามาเพื่อ "แก้ปัญหา" หรือมองว่า "องค์กรคือปัญหาที่ต้องการการแก้ไข")
ผมขออนุญาตดึงเอามุมมองเรื่องนี้เข้ามาหาระบบสุขภาพ และระบบบริการสุขภาพที่ผมทำงานอยู่
ถ้าหากเรา (หมอ พยาบาล บุคลากรสุขภาพ) มองโรงพยาบาล งานหน้าที่ของเรา เป็น "ปัญหาที่เราจะมาแก้" กับการมองเป็น "เรามีต้นทุน จุดแข็งอะไรที่จะก้าวไปจากตรงนี้" เราจะเกิดสังคม บริบท วัฒนธรรม การทำงานที่แตกต่างกันหรือไม่? อย่างไร?
ถ้าหากเรา (ครู อาจารย์แพทย์) มองนักเรียน นักศึกษาแพทย์ เป็น "คนที่ไม่รู้ รู้ผิดๆ ยังไม่มีจริยธรรม อบรมมาไม่ดี ไม่ชอบเข้าเรียน อาจจะเป็นแพทย์ที่ไม่พึงปราถนา ฯลฯ" กับการมองเป็น "เด็กที่อยากจะเข้ามาช่วยเหลือผู้คน เด็กที่อยากจะเสียสละตนเอง เด็กที่อยากทำงานหนัก ฯลฯ" เราจะเกิดบรรยากาศการเรียนการสอนแพทย์ต่างกันหรือไม่?
อาจจะฟังดูเป็น dilemma ได้ เพราะงานของหมอ พยาบาล มันเกี่ยวกับความเจ็บไข้ได้ป่วย เรียกว่า "ปัญหา" เกลื่อนปะหน้า เต็มไปหมด จะให้ทำงานโดยไม่เอาปัญหาเป็นโจทย์จะได้ยังไง จะบ้ารึเปล่า เอาอะไรมาใช้ต้องดูเสียก่อน.... ฯลฯ
เข้าใจผิดครับ
appreciative inquiry ไม่ได้ปฎิเสธปัญหา แต่ให้เรามีทัศนคติ และพฤติกรรม ที่จะเริ่มทำ และทำงาน โดยอาศัยมุม จุด แหล่งที่มา ที่เป็นจุดแข็ง เอามาใช้ และในที่สุด ปัญหาต่างๆนั้นจะถูกแก้ไข แต่ในเวลาเดียวกันศักยภาพที่แท้ ศักยภาพที่เป็นแหล่งท่ีมาของคุณค่าของคน ถูกนำมาพัฒนา นำมาเสริมสร้าง ให้ถีงที่สุดเท่านั้นเอง
เพราะสิ่งที่เราคิด วิธีที่เราคิด มันมีผลกระทบต่อการทำงานเราโดยไม่รู้ตัวอย่างไม่น่าเชื่อ อาทิ เราสำรวจข้อมูล พบว่าเด็กมาเข้า lecture น้อยกว่าที่เราคิดว่าควร เรามองเป็น "ปัญหาที่ต้องแก้" หรือ "what is best in people?" ก็จะนำมาสู่ นวตกรรมคนละรูปแบบกััน
เราอาจจะพัฒนาวิธี check ชื่อคนเข้า เอ้า มีการเซ็นแทนกัน งั้นตรวจลายนิ้วมือ ดู retina สำรวจ DNA กัน ดูสิว่ามันจะหนีรอดหรือไม่ เอ้าไอ้นั่นเข้ามา แต่นั่งหลับ เอาไฟฟ้ามาติดเก้าอี้ ใครหลับก็ชอร์ตมันสะเลย มีกล้องวงจรปิดบันทึกเทป มีคนมาตรวจวิดีโอ ให้คะแนนหลับไม่หลับ ดูคลื่นสมองว่าเรียนจริงรึเปล่า หรือใจลอย จิตใจว่อกแว่ก ไม่ชอบ focus ที่เรียนใช่ไหม เอ้า งั้นก็จับ pre-test, post-test quiz ซะ มันจะได้กลัวตก กลัวสอบไม่ได้
หรือทำวิจัยเด็ก "สนใจ" และ "อยากเรียน" อะไร แบบไหน อย่างไร จัดรูปแบบการเรียนที่หลากหลาย สำหรับวัตถุประสงค์การเรียนอย่างหนึ่ง อาจจะเรียนได้หลายวิธี มีหลาย resource หลาย methods มีการประเมินที่ valid สามารถบอกได้อย่างแม่นยำ ไม่เบี่ยงเบน ว่านักเรียนได้เรียนรู้ และชื่นชมในสิ่งที่เรียนหรือไม่ หรือถ้าเลือกจะไม่เรียน มี activities อะไรที่จะให้เลือกทำ และสร้างสรรค์ที่สุดไหม คนเราต้องเรียนเรื่องเดียวกัน พร้อมๆกันหรือไม่ การบริหารจัดการสำหรับการเรียนเรีื่องอะไรก็ได้ ตอนที่อยากเรียน แต่สุดท้ายต้องได้ครบ จะทำได้หรือไม่ อย่างไร ท้าทายเช่นไร
ทั้งสองวิธี สามารถเกิด "นวตกรรม" และ "เทคโนโลยี" หรือ "educational methodology" ได้เยอะทั้งคู่
แต่แตกต่างกันเยอะ เราอยากจะได้แบบไหน?
ตอนที่เรา inquire คนไข้นั้น เราสัมภาษณ์เพื่อหา "ปัญหา" เยอะมาก มีไหมที่ตอนเราสัมภาษณ์ เราได้ค้นหา "ศักยภาพ" ที่จะนำไปสู่สุขภาวะที่ดี ตอนที่เราตรวจรักษาคนไข้ เรามีบทบาทเป็นผู้ให้ ผู้ดูแล มีบ้างไหม ที่เราได้ค่้นหา "ศักยภาพ" ที่คนไข้่จะดูแลตนเอง ค้นหาต้นทุนคนไข้ และมีโอกาสหรือไม่ที่คนไข้เองจะกลายเป็น partnership ในการดูแลสุขภาวะของทั้งตนเอง และชุมชนของเขา?
แวะเข้ามาอ่านหาสาระความรู้ขอบคุณคะ
ดีมากค่ะ..
อ่านแล้ว รู้สึกเห็นด้วยอย่างไม่มีเงื่อนไข
ขอบคุณเรื่องราวดีๆนะคะ
ขอบคุณนะครับกับการนำอีกมุมมองหนึ่งมาให้พวกเราได้อ่านกัน คงช่วยให้การมองปัยหาและการอยู่กับปัญหาที่เจอมีอะไรที่ท้าทายให้คิดอีกเยอะเลย
แวะเข้ามาอ่านชอบบทความนี้ค่ะ เห็นด้วยกับการมองที่ศักยภาพมากกว่ามองที่ปัญหา จากประสบการณ์เมื่อก่อนชอบมองเห็นแต่ปัญหา บางครั้งกลายไปกดดันคนอื่นโดยไม่รู้ตัว เริ่มเปลี่ยนมามองท๊ศักยภาพทำให้เกิดการเรียนรู้ มนุษย์มีความแตกต่างกัน ยอมรับจุดนี้ได้ใจเย็นขึ้น คนอื่นเริ่มสบายใจ ได้รับความร่วมมือเพิ่มขึ้นเกิดการมีส่วนร่วม แม้ว่าจะค่อยๆเดินช้าๆแต่เป็นการเดินที่ไม่หยุด คิดว่าสักวันหนึ่งคงได้พบเห็นชุมชนเข้มแข็งค่ะอาจารย์ ลองมาเปลี่ยนมุมมอง ค้นหาศักยภาพและต้นทุนที่มีอยู่ อาจจะทำให้สังคมเป็นสุขมากขึ้นได้นะคะ ขอบพระคุณอีกครั้งที่ท่านอาจารย์ได้นำมาบันทึกไว้เพื่อเตือนสติค่ะ
แวะมาเยี่ยมครับ
กำลังสนใจว่า AI คือ อะไรครับ
เรียนท่านอาจารย์ครับ
ใช้จริงๆ มาแล้ว หลาย cases กับลูกศิษย์ครับ AI ได้ผลมากๆ ครับ ทำใ้ห้เจอจุดแข็ง และโอกาสจริงๆ
แต่ที่ต้องทำคือ ควรมีชุมชนนักปฏิบัติสนับสนุน ผู้มาใหม่ ครับ จะช่วยได้เยอะ มี case studies มีเรื่องเล่า เยอะ เพราะแต่ละคนมีความพร้อม มีพื้นฐานไม่เท่ากัน
เรื่องวัดผลเป็นเรื่องของประสบการณ์ โดยส่วนตัวเคยเล่น BSC มาก่อน ก็จะทำได้ จริงๆ ทำได้ทุกวงการครับ เท่าที่ทำมา แต่บางวงการอาจยากที่จะวัดเป็นต้นทุน แต่ก็ไม่จำเป็นครับ
ขอบคุณท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์หมอวิจารณ์ และท่านอาจารย์หมอโกมาตร และ Gotoknow ที่จุดประกาย ให้ผมสนใจ AI ครับ
ขอแสดงความเคารพอย่างสูง
ภิญโญ