ชีวิตรันทด...เหตุเกิดที่บางลำพู ใจกลางเมืองหลวง


ความรู้สึกดีดีแผ่กระจายไปทั่วกายและใจของผู้ให้และผู้รับ

 

เหตุเพราะฝนตกแท้ๆทีเดียว  จึงมีเรื่องราวชีวิตรันทด ของนักสู้ชีวิตคนหนึ่งมาเล่าให้ฟัง

 

วันอาทิตย์ที่ผ่านมาหยกๆ  

ว่างไม่รู้จะไปไหนดี

นึกขึ้นได้  ไม่ได้ไปแถววัดบวรนิเวศ ตลาดบางลำพู  มานานแล้ว

ลองไปอีกสักที   จะได้รู้กันว่า บางลำพูเดี๋ยวนี้กับบางลำพูเมื่อหลายปีก่อน

มีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง

 

จับแท็กซี่จากบ้านตรงมาที่นี่พอใกล้จะถึงที่หมาย  ฝนตกหนักมากมันเริ่มมาตั้งแต่รถแล่นผ่านย่านเทเวศร์แล้ว

 

ทำอย่างไรดี+++ฉันมีคำถามให้ตัวเอง....ไหนๆมาแล้ว จะให้แท็กซี่เบนทิศกลับบ้าน  ก็กระไรอยู่  

ในที่สุด  ออกจากแท็กซี่ได้  ต้องรีบหัวซุกหัวซุนหลบฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก

มืดฟ้ามัวดิน..  ได้ที่พักหลบฝนบนฟุตปาท หน้าร้านขายทองบนถนนพระสุเมรุนั่นแหละ

 

ณเวลานั้น ทำได้อย่างดีก็แค่ขอตั้งหลักไว้ก่อน ไอ้ความคิดที่จะขยับเขยื้อนหาที่เหมาะกว่านี้  เป็นอันเลิกได้

 

เมื่อจิตเริ่มนิ่งฉันใช้สายตามองไปรอบด้าน เริ่มจากธนาคารกสิกร  เรื่อยๆมาเรียงๆจนถึงไฟแดงสี่แยกบางลำพู

คำตอบที่ได้จากความทรงจำในอดีตและสิ่งที่ปรากฏสดสดแก่สายตาของฉันในวันนี้

มันช่างต่างกันเหลือเกิน

 

บางลำพูในความทรงจำคือ แหล่งชอบปิ้งสุดฮิตแห่งหนึ่งของเมืองไทย

ร้านขายเสื้อเชิ้ตสำเร็จรูปอย่าง นพรัตน์  ชัยรัตน์ สมใจนึก ฯลฯเป็นสินค้าแบรนด์เนม

ที่หนุ่มยุคนั้น <<ช่วงสมบัติ เพชรา เป็นดารายอดนิยมของแฟนหนังไทย>>รู้จักกันดี

และเป็นที่อินเทรนด์ของลูกค้าเสียเหลือเกิน

 

เวลาผ่านไปนาน  ทุกอย่างเปลี่ยนไป  สำหรับที่นี่

ไม่มีอะไรให้ยกเว้นได้ 

 

ชัดแจ้งด้วยตาตนเองว่า  การค้าการขายซึ่งเคย

รุ่งสุดขีด  กลับเงียบเหงาและซบเซาไปมาก 

แบบหน้ามือเป็นหลังมือ

 

ร้านที่เคยมีชื่อเสียงในยุคก่อน

แบ่งส่วนหนึ่งของพื้นที่หน้าร้าน

ให้คนอื่นเช่าทำเป็นภัตตาคารเล็กๆ

 

ใจหายวาบ....แสดงว่าธุรกิจดั้งเดิมที่เคยทำกันมา

บัดนี้เลี้ยงตัวไม่ได้แล้ว

ที่ยังไม่ม้วนเสื่อกลับบ้าน  เจ้าของคงต้องการรักษาฐานะดั้งเดิม

ให้ลูกค้าเก่าๆ  ถ้าเผอิญผ่านมาได้เห็นกันเท่านั้นเอง.

..ว่า ฉันยังอยู่ยั้งยืนยง อยู่นะ......  ไม่ได้หายไปไหน

 

ขณะที่อารมณ์บ่จอยของฉันกำลังเกิดอยู่อย่างต่อเนื่องนั้นเอง 

ฉันละสายตาจากมุมกว้าง  เหลียวมาจรดจ่อกับสิ่งใกล้ตัว   ฝนก็ไม่ยอมหยุด

แข้งขาเริ่มส่ออาการเมื่อยล้าให้รู้  ร้านส่วนใหญ่ปิดเพราะ

เป็นวันอาทิตย์

 

ขยับไปที่อื่นไม่ได้จริงๆฝนมันเทลงมายังกับฟ้ารั่ว   

นั่งลงดีกว่า ฉันคิด  เอามันหน้าร้านนี่แหละ มีม้าให้นั่งเสียที่ไหนกันล่ะ   

แต่ฉันไม่โดดเดี่ยว  มองไปข้างขวา มีฝรั่งอายุมากคนหนึ่งนั่งนิ่งอยู่แล้ว

เหลือบไปด้านซ้ายมียายแก่  นั่งเคียงข้างกระจาดคู่ใจขายของอยู่

 

ฉันมีเพื่อนแล้วระหว่างรอฝนหยุด  ความที่เป็นคนอยู่ไม่สุก   ฉันเริ่มคุยกับคุณยาย

แม้ค้าทันที   ฝรั่งที่อยู่ข้างๆไม่เกี่ยว  เขานั่งรอให้ฝนหยุดด้วยอาการอันสงบ

 

ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวที่ฉันกับคุณยายคุยกันโดยเฉพาะ  ฝรั่งไม่เกี่ยว

 

"ยายมาขายที่นี่ทุกวันหรือเปล่า"

 "ถ้าไม่ป่วยเจ็บ ก็มาทุกวัน"

 "ขายดีไหมจ๊ะยาย"

 "ไม่ค่อยดี  แต่ยายต้องมา มันจำเป็น"

 "ยายอายุเท่าไร แล้วนี่   บอกได้ไหม"

 "แปดสิบสี่"

 "มากแล้วนะ แต่ดูยายยังแข็งแรงดีอยู่เลย"

 "งั้นเหรอะ "

 "ยายคนกรุงเทพ  หรือคนมาจากที่อื่น"

 "เป็นคนสุรินทร์ มาอยู่กรุงเทพฯหลายปีแล้ว"

 "ลูกเต้า ยายไม่มีหรือ  แก่แล้วยังต้องมานั่งขายของอยู่อีกเนี่ยะ"

 "มีสองคน   แต่ไม่อยากพึ่งใคร ยังทำได้ก็ทำไป"

 "ยายมีโรคประจำตัวบ้างไหม

 "ไม่มี"

 "โชคดีจังเลยนะยาย"

 คุณยายไม่พูดต่อ  ดูแกคงจะเหนื่อย

 

 เว้นระยะไปสักพัก  ฉันเริ่มงานฉันต่อ

 

 

"บ้านยายอยู่ไกลไหม"

 "อยู่หลังวัดตรี"

 "อยู่กับใครล่ะยาย"  "อยู่คนเดียว"    

 "เก่งจังเลยยาย  เช่าเขาอยู่ใช่ไหม"    

"ใช่!.....  เดือนละ 900"   ยายว่าของยายต่อเลยโดยไม่ต้องถาม

 

ฉันตั้งใจจะหยุดการพูดคุยกับคุณยายอยู่แค่นั้น  แต่อยากจะได้รูปไว้เป็นที่ระลึก

จึงขยับมือล้วงกล้องคอมแพ็กออกมาจากกระเป๋า 

พร้อมกับเอ่ยปากขออนุญาต   "ยายขอถ่ายรูปหน่อยนะ"

 

"ถ่ายไปทำไม"  นั่นคือคำตอบที่ได้  

เดินหน้ามาเต็มตัวแล้วนี่ไม่อยากหยุด   จึงเล็งกล้อง

ไปที่หน้าคุณยาย  พร้อมพูดต่อ  "ยิ้มหน่อยยาย"

คุณยายมีอาการเหนียมอายเล็กน้อย เพื่อไม่ให้เสียโอกาส

ฉันประจงกดชัตเตอร์โดยไม่รอช้า  ได้รูปมาตามที่เห็นนี่แหละ

 

ฝนซาเม็ดลงมากแล้ว  ไปต่อดีกว่า ขณะนั้นเอง

คุณยายเอ่ยเบาๆให้ฉันได้ยิน  "ช่วยซื้อหน่อยซิ"

 

ฉันตัดสินใจหยิบสตางค์ออกจากกระเป๋า  ส่งธนบัตรใบละยี่สิบบาท

ให้คุณยาย   พร้อมบอกคุณยายว่า   "เอาอย่างงี้   ไม่เอา

ของนะ  ถือว่าให้ยายแล้วกัน"

 

คุณยายตอบฉันค่อนข้างจะทันทีว่า   "ขอบใจ ขอให้ร่ำรวย               

มีเงินทองเยอะ"   นั่นคือสิ่งที่ฉันได้รับ  ฉันจ้องไปที่ใบหน้า

คู่สนทนาอีกครั้ง   สิ่งที่เห็นคือ  ดวงตาที่ยิ้มละมัยอย่างมีความสุข

ตาคุณยายยิ้มได้.....

 

ก่อนหน้าที่จะหยิบเงินส่งให้  ฉันอยากจะให้แกสักร้อยบาทด้วยซ้ำ

แต่เกรงว่า  คุณยายจะตกใจ จะกลายเป็นการทำร้ายคนแก่เปล่าๆ

เพราะฉันรู้ดีว่า  กายและใจ หรือที่ภาษาพระเรียกว่า "ขันธ์ห้า"

ของคนสูงอายุโดยทั่วไปนั้น  ค่อนข้างจะอ่อนไหว และเปราะบาง

 

ละครชีวิตจริง  ซึ่งไม่ใช่น้ำเน่า  ก็ปิดฉากลง 

ความรู้สึกดีดีแผ่กระจายไปทั่วกายและใจของผู้ให้และผู้รับ   โอ้ >>ฉันออกจากบ้าน

วันนี้  ใช้จ่ายเงินไปไม่กี่บาท   ทำไมมันเพิ่มมูลค่ามากมายในจิตในใจ

ได้ถึงเพียงนี้

 

 

 

 

 

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 281045เขียนเมื่อ 28 กรกฎาคม 2009 19:52 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 21:10 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

ในซอกมุมของความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุ ยังมีคนที่อยู่แบบยายอีกเยอะนะคะ

  • ช่วงนั้น คุณยายคงมีความสุขนะคะ มีคนคุยด้วย
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท