เขียนถึง.. ความรัก


ปัจจุบันนี้กลุ่มสังฆะเล็กๆของโรงพยาบาลมีกิจกรรม  " ภาวนาด้วยกัน " ทุกวันศุกร์  เวลา 12.30 น. ถึง 13.30 น. แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ  แต่เรามีจุดประสงค์ที่จะสืบเนื่องการปฎิบัติ และพบปะกันภายในสังฆะ แถมได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความทุกข์ความสุขกันบ้าง หลังจากทำงานกันมาตลอดทั้งสัปดาห์  เราจะนั่งสมาธิร่วมกันประมาณ 20 นาที และมีสนทนาธรรมกัน 30 นาที กิจกรรมนี้เพิ่งเริ่มต้นมีในเดือนกรกฎาคมนี่เอง  แต่ก็มีคนสนใจอยู่บ้าง  ในการสนทนาธรรมเราต่างพยายามเลือกหัวข้อที่เราสนใจ  เช่น สนทนากันถึงเรื่องการเจริญสติในชีวิตประจำวัน   ศุกร์ถัดมาเราพูดคุยกันเรื่อง "ความโกรธ " เราแบ่งปันกันในแง่มุมที่ว่า เราจัดการอย่างไร มีท่าทีต่อมันอย่างไร  ซึ่งแต่ละคนก็มีแนวทางที่แตกต่างกันไป   และ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เราสนทนาธรรมกันในหัวข้อเรื่อง "ความรัก "

การพูดคุยเรื่อง "ความรัก" เราต่างหวังว่าจะเป็นหัวข้อที่ผ่อนคลายที่สุดและน่าจะสบายใจที่สุดด้วย   ข้าพเจ้าเองก็เข้าใจว่า น่าจะเป็นเช่นนั้น  แต่เหตุการณ์กลับเป็นไปในทางตรงข้าม  เมื่อเรากล่าวถึงความรักในวงสนทนาธรรม  ในการสนทนานั้น เราต่างพบว่า  เมื่อมีความรักแล้ว  ไม่ว่าจะเป็นรักพ่อ รักแม่  รักสามี รักภรรยา รักลูก รักสัตว์เลี้ยงตัวโปรด  รักของคนหนุ่มสาว  ทุกความรักในแต่ละแบบนั้น  ล้วนเจือปนไปด้วยความทุกข์ทั้งหมดทั้งสิ้น 

พี่พยาบาลผู้อาวุโสสุดของสังฆะกล่าวว่า  การมีอะไรก็ทุกข์  มีสามี ก็จะทุกข์กับสามี  มีลูกก็จะทุกข์กับลูก  มีบ้าน มีที่ดิน มีสมบัติใดๆ ก็จะทุกข์ใจกับสิ่งนั้น  พอได้ยินดังนั้นข้าพเจ้าเห็นด้วยจริงๆ   ยิ่งเรามีอะไรมากเท่าไหร่  เราก็จะมีความทุกข์มากขึ้นตามจำนวนสิ่งที่เรามี  ทั้งสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตนั่นแหละ  ปัจจุบันการปฎิบัติธรรมทำให้พี่พยาบาลท่านนี้ปล่อยวางได้หลายอย่าง  ไม่คาดหวังกับสิ่งที่มีหรือยึดมั่นกับสิ่งที่มีมากอย่างแต่ก่อน   ท่านบอกว่าปัจจุบันนี้เอาแค่ 50 -50   ยึดไว้ 50 ปล่อยไป 50  

  พี่พยาบาลอีกท่านกล่าวว่า เห็นด้วยจริงๆ กับเรื่องการมีและรักอะไรสักอย่าง แม้กระทั่งการมีลูก เพราะปัจจุบันนี้รักลูกมาก พอลูกเจ็บป่วยไม่สบายก็ทุกข์มากมายเหลือเกิน เพราะความรักลูก นี่แหละ   น้องหมอที่คุ้นเคยกันดีบอกเล่าถึงความทุกข์ของการพลัดพรากจากสัตว์เลี้ยงแสนรักว่า  ขนาดแค่พลัดพรากจากมันไปเพียงหนึ่งเดือนก็มีความทุกข์ใจเหลือเกิน  ร้องห่มร้องไห้เกือบทุกวัน

การมีและการรักอะไรสักอย่างดูเหมือนจะเป็นความทุกข์จริงๆ  ความรักคือความทุกข์อย่างไม่ต้องสงสัย  แต่ความรักก็อาจจะกลายเป็นความสุขใจได้  ถ้าเรารู้จักปล่อยวางมันไปบ้าง    ความยึดมั่นถือมั่นก็ยังเป็นสาเหตุใหญ่ของเรื่องนี้อยู่นั่นเอง  

เพราะจิตเรายังไม่สามารถมองเห็นความเป็นอนิจจังของสรรพสิ่ง  ยังไม่สามารถยอมรับได้ว่าทุกสรรพสิ่งในโลกนี้  มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่มีอะไรคงอยู่ ไม่ว่าเราจะมีหรือรักอะไรสักอย่าง  สิ่งนั้นสักวันมันต้องแปรเปลี่ยนและพลัดพรากจากเราไป  เพราะนี่เป็นธรรมดาของชีวิตแต่เราทั้งหลายก็ยังทำใจยอมรับไม่ได้  

การปฎิบัติธรรมทำให้เราเข้าใจเหตุที่มาแห่งทุกข์เหล่านี้ และเราทั้งหลายกำลังฝึกภาวนาเพื่อการปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นอยู่  ใครปล่อยวางได้มากเท่าไหร่คนผู้นั้นก็จะมีความทุกข์น้อยลงไปมากเท่านั้น

 

  เมื่อมองย้อนกลับไปอีกด้าน  เหตุแห่งทุกข์อันแท้จริงนั้น  ก็เพราะว่าเราติดในสุข ติดในความยินดีพอใจ ในการมี ในการรักใครสักคนหรืออะไรสักอย่าง  เรายึดว่าสิ่งนั้น คนผู้นั้นต้องนำพาความสุขมาให้  คนผู้นั้น สิ่งเหล่านั้นต้องไม่แปรเปลี่ยนไปไหน  ต้องไม่ตาย ต้องไม่ป่วย ต้องไม่สูญหายไป สิ่งนั้นและคนผู้นั้นต้องเป็นของเราตลอดกาล   เราต่างคิดเห็นแบบนี้เราจึงทุกข์  เพราะเราต่างไปยึดในสิ่งที่มีแต่ความไม่แน่นอน และแปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา   มีใครบ้างที่ไม่ตาย  มีสิ่งของใดบ้างที่ไม่ผุพัง  และมีจิตใจใครบ้างที่ไม่เปลี่ยน  เด็กที่เป็นลูกของเราก็ไม่ได้เป็นเด็กตลอดไป  เขาจะเติบโตและแปรเปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่  เขาจะคิดจะนึก จะทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเขาเองมากขึ้นเรื่อยๆ  และ เขาจะต้องจากเราไปสักวันหนึ่ง ไม่เขาจากเรา  เราก็จะจากเขาไป  เพราะเราเองก็แปรเปลี่ยนสูงวัยไปทุกวัน  มีใครบ้างที่ไม่อยู่ในกฏนี้  กฏแห่งการเกิดขึ้น  ตั้งอยู่ และดับไป  กฏแห่งธรรมชาติที่ไม่มีใครอาจฝืนได้

 เพราะเราทั้งหลายต่างไปยึดในสิ่งที่ไม่อาจจะยึดได้  เราจึงทุกข์กันสาหัส  และไม่จบไม่สิ้น

ในคนหนุ่มสาว หรือจะเป็นผู้สูงวัยก็แล้วแต่  ความทุกข์จากความยึดมั่นถือมั่นในความรัก  เป็นประเด็นใหญ่มาก   ความทุกข์ของคนหนุ่มสาวส่วนใหญ่  เป็นความทุกข์จากความรัก เรื่องอกหัก รักสลาย  สามีนอกใจ ภรรยามีชู้  การมีกิ๊ก  หรืออะไรก็แล้วแต่ที่จะใช้เรียกกันในภาษาตามสมัยนิยม  ซึ่งล้วนแล้วเข้าข่ายของการผิดศีลข้อที่ 3 กันทั้งหมดทั้งสิ้น   ความอนิจจังเกี่ยวกับเรื่องนี้  ข้าพเจ้าว่าถ้าจะดูตัวอย่างแบบโลกๆ  ก็ควรจะดูข่าวความรักของดาราทั้งหลายทั้งไทยและเทศ  ที่มีการแปรเปลี่ยนคู่กันบ่อยมาก  รักแล้วก็เลิกกันอยู่ตลอดเวลา   บางครั้งออกจะน่าประหลาดใจว่า  ผู้ชายบางคนภรรยาสวยมาก ฐานะก็ดี การศึกษาก็สูง  แต่ภรรยาก็ไม่สามารถผูกใจสามีได้   ข้าพเจ้าสังเกตพบว่า  คนสวย คนหล่อยังไงก็จะมีสิทธิื์์์์์ถูกทิ้งถูกเปลี่ยนใจพอๆกับคนหน้าตาธรรมดาๆ นั่นแหละ 

ท่านอาจารย์ที่ศูนย์วิปัสสนาเชียงใหม่กล่าวว่า  การมีคู่ครองนั้น   สามีและภรรยาต้องมีศีลเสมอกัน  ไม่เช่นนั้นจะอยู่กันไม่ยืด  ถ้าภรรยามีศีลแต่สามีไม่มีศีลสักข้อ ก็จะนำความทุกข์มาให้อีกฝ่าย  การมีศีลที่ว่าก็คือศีลห้า  ศีลสำหรับฆารวาสทั้งหลายนั่นเอง  

การกล่าวถึงความทุกข์จากความรักเช่นนี้  อาจจะทำให้หลายคนคิดเห็นไปว่า ผู้ปฎิบัติธรรมคงจะต้องฝึกจิตฝึกใจไม่ให้มีความรักกระมัง  ยิ่งบรรลุธรรมระดับสูงขึ้นไปคงจะไม่รักใครสักคนในโลกนี้แล้ว  จิตใจคงจะด้านชากลายเป็นก้อนหินหรือท่อนไม้  ไม่มีความรู้สึกอะไรอีกแล้ว   นี่เป็นความคิดเห็นที่ห่างไกลความจริงไปมากทีเดียว 

หลวงปู่ติช  นัท ฮันห์  ได้แสดงธรรมบรรยายเกี่ยวกับความรักไว้หลายแง่มุม  ธรรมบรรยายเกี่ยวกับเรื่องราวความรักของท่านมีความงดงามมาก   ข้าพเจ้าได้รับฟัง  ได้อ่านในหลายๆโอกาส  ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจเรื่องราวของความรักได้ลึกซึ้งขึ้น 

ความรักที่แท้ ไม่ว่าจะเป็นความรักแบบไหนก็ตาม  ต้องมีความเข้าใจ และไม่ยึด  ไม่ทำลายอิสรภาพของคนที่เรารัก   แต่การที่เราจะรักใครสักคนได้อย่างแท้จริงนั้น  เราต้องรักตัวเราอย่างถูกต้องก่อน  เราต้องดูแลตัวเองและเห็นคุณค่าของตนเอง  เมื่อเราดูแลตนเองได้ทั้งจิตใจและอารมณ์ เราจึงจะสามารถดูแลคนที่เรารักได้   แต่ถ้าเรายังรักตัวเองไม่ถูกวิธี   เราก็ไม่สามารถรักใครได้ถูกวิธีเช่นกัน    หลวงปู่กล่าวว่าความรักคือความเข้าใจ และการรู้จักรับฟังอย่างลึกซึ้งต่อความทุกข์ความเศร้าของคนที่เรารักคือสิ่งสำคัญ

ผู้ปฎิบัติธรรมจึงมีความรักได้ แถมเป็นความรักที่กว้างไกล ไม่ได้คับแคบอยู่เพียงแค่รักตนเอง หรือกับคู่ของตนเองเท่านั้น    ความรักของพวกเขาจะแผ่กว้างออกไปยังสรรพสิ่งรอบตัว  พวกเขาจะเกิดความเมตตากรุณาต่อมนุษย์ทั้งหลายและทุกๆ สรรพชีวิต   ความรักของพวกเขาจะเป็นความรักที่ปราศจากการยึดติด   ปราศจากการครอบครองเป็นเจ้าของ   และเป็นความรักที่ไม่มีความทุกข์

ผู้ปฎิบัติธรรมจึงยังมีความรักได้  และมีความรักเกิดขึ้นได้ทุกวัน   และการปฎิบัติธรรมยังช่วยให้ผู้ปฎิบัติเกิดความรักที่ยิ่งใหญ่และอาจจะมีคุณค่ากว่าความรักใดๆ ในโลกนี้  ..

 

คำสำคัญ (Tags): #ความรัก
หมายเลขบันทึก: 280163เขียนเมื่อ 25 กรกฎาคม 2009 21:21 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 21:09 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

ดีค่ะที่ได้อ่าน และรู้สึกมีความสุข

และเข้าใจถึงความทุกข์ ที่แต่ละคนแบ่งปัน

ในระดับเท่าที่ใจจะสัมผัสได้ค่ะ

สาธุกับกลุ่มสังฆะนะคะ

ตอนนี้เรียนรู้ในการที่เดินทางคนเดียวมากขึ้นทั้งทางโลกและทางธรรมค่ะ

วี

น้องวี

การเดินทางด้านใน  คงต้องยอมรับว่า เราต้องเดินทางคนเดียว เพราะสภาวะธรรมทั้งหลายนั้น เป็นปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตน  เราแบ่งปันกัน พูดคุยกันได้ในสังฆะ   แต่แล้วเราต่างต้องแยกย้ายไปฝึกเดี่ยว การปลีกวิเวก การได้อยู่คนเดียวมีความสำคัญมาก   เมื่อเราได้อยู่คนเดียวเงียบๆ รับรู้ถึงลมหายใจเข้าออก รับรู้ถึงอารมณ์ความรู้สึกของเราอย่างแท้จริง  เราจะรู้จักตัวตนของเราได้ชัดเจนขึ้น

ในความคิดเห็นของพี่ การอยู่คนเดียว เดินทางคนเดียว ไม่ทำให้พี่รู้สึกโดดเดี่ยว เพราะการเรียนรู้เรื่องความสืบเนื่อง เรื่องความเกี่ยวพันกันของสรรพสิ่ง  ทำให้พี่รับรู้ว่า  เราเป็นดั่งกันและกันเสมอ  แม้ว่าเราจะอยู่ห่างไกลจากใครสักคน  คนละที่ คนละมุมของโลก  แต่เขาคนนั้นก็ยังอยู่กับเราเสมอ  ด้วยจิตอันแท้จริง  ด้วยความรู้สึกดีๆอย่างแท้จริง เขาจึงยังดำรงอยู่กับเรา 

การอยู่เบื้องหน้ากับใครสักคน แต่กายกับจิตของเขาไม่ได้อยู่ตรงนั้นกับเรา  ก็เหมือนเขาไม่ได้ดำรงอยู่แต่อย่างใด   ไม่ใช่ที่ระยะทาง ไม่ใช่ภาพลักษณ์ที่จับต้องได้  ที่ผ่านมา.. พี่ไม่เคยรู้สึกว่าเราจากกัน  เพียงแต่เราต่างดำรงอยู่ในสถานที่ต่างกัน ทว่าเรายังภาวนาไปด้วยกันเสมอ    

อ่านเเล้วสบายใจดีครับ

อย่างที่เคยบอกเล่าครับ

บทความพี่อ่านแล้วสบายๆ ได้แง่มุมที่ดีๆจริงๆครับ

อนาคตน่าจะรวมเล่มนะครับ ....^_^

 

กลับมาที่เรื่องความรัก

  มีมุมมองจากท่าอาจารย์กะปุ๋มครับ  

  ไปรับท่านที่ ชม มาวานนี้   ท่านสอนว่า

  ความรักทั้งหมดก็มาจากความกลัว   เป็นความกลัวชนิดหนึ่งครับ

 

  สำหรับผม  อาจจะต้องเรียนรู้เรื่องราวของความรักต่อไปครับ

  ในแง่มุมที่ลุ่มลึกมากๆ  ขึ้นไปกว่าเดิมจากทุกวันนี้

 

น้องkmsabai

เรื่องของความรัก มีหลายมุมมองและหลายมิติจริงๆค่ะ

คงมีประเด็นให้ได้พูดคุยกันมากมายทีเดียว

อย่างไรก็ดี การรักใครสักคน  ก็ยังดีกว่า การเกลียดใครสักคน

ขอสนันสนุนให้คนทั้งหลาย  มีความรักกันมากๆ  และเป็นความรักที่ไม่ยึด ..  จะได้ไม่ทุกข์ใจกันมาก

อ้อ.. เรื่องรวมเล่มเป็นหนังสือ ท่าจะขายไม่ออก  แถมไม่รู้ว่าจะจัดหมวดหมู่ให้เป็นหนังสือแนวไหน  สารคดีก็ไม่ใช่ ธรรมะก็ไม่เชิง  หนังสือท่องเที่ยวก็ไม่เข้า  ให้เป็นเรื่องราวใน blog. ต่อไปดีกว่าค่ะ  แต่จะดีใจมาก ถ้าใครก็ตามได้อ่านเรื่องราวที่เขียนใน blog นี้  แล้วเกิดมีความสนใจ จนเข้าปฎิบัติสมาธิภาวนา ศึกษาคำสอนของพระพุทธองค์  ถือว่าเป็นไปตามความประสงค์ของตนเองในการเขียน blog.นี้ค่ะ 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท