สาดตาจาน
นาย มรว.(แม่เรียกว่า) ปุ๊ นาโพธิ์ รุ่งโรจน์ แฉล้มไธสง

กว่าจะมีวันนี้ ที่เป็นเรา


มนุษย์เป็นแค่สิ่งมีชีวิตที่เล็กๆ เพราะฉะนั้นจงอย่ากังวลเกินไปกับทุกสิ่ง หวงแหนเวลาในทุกๆ ขณะและทำในสิ่งที่ปรารถนา เปิดโลกทัศน์ เปิดใจ อย่ากังวลเกินไปกับสิ่งที่มารบกวนจิตใจ หวงแหนในสิ่งอันเป็นที่รัก ใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยและสงบสุข จงมีความสุขเสมอ เพื่อต้อนรับสิ่งที่กำลังจะมาในวันใหม่ เพลิดเพลินไปกับแสงอรุณรุ่ง และมองด้านสว่างของทุกๆ สิ่งเสมอ

ชีวิตรุ่งโรจน์
                มีครอบครัวหนึ่ง ตั้งอยู่บ้านเลขที่ 59 ม.13 ต.นาโพธิ์ อ.นาโพธิ์ จ.บุรีรัมย์ เป็นครอบครัวที่ถือว่าใหญ่ แต่ยังขาดผู้นำครอบครัว นั้นหมายถึงพ่อผู้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการเป็นผู้นำ ครอบครัวนี้ถ้ารวมพ่อเข้าไปแล้วจะมีสมาชิกอยู่ 7 คน นั้นคือ ตา ยาย พ่อ แม่ และลูกๆ อีก 3 คน ย้อนไปก่อนหน้านี้พ่อซึ่งเป็นผู้นำครอบครัว เป็นที่ได้ถูกอกถูกใจของตาและยายมากเท่าไหร่ จึงต้องออกจากบ้านพรากครอบครัวไป
                ช่วงนั้นก่อนพ่อจะออกเดินทางไปจากบ้าน แม่ได้ตั้งท้องลูกคนแรก นั้นคือพี่ชายคนโตผมเอง พ่อได้เดินทางไปเป็นจับกังที่จังหวัดปัตตานีเป็นเวลา 3 ปี จึงตัดสินใจมาเยี่ยมครอบครัวที่บ้าน และในใจลึกๆ หวังว่าตาและยายคงไม่อยู่แล้ว(ตายจากไปแล้ว) แต่พ่อต้องผิดหวัง ที่ตาและยายยังมีชีวิตอยู่ พ่อจึงกลับไปหาผู้หลักผู้ใหญ่มาเจรจาให้ ถือว่าเป็นผลสำเร็จ พ่อได้อยู่กับครอบครัวและลูกชายวัย 3 ปี แต่ตาและยายยังมีความไม่พอใจพ่อของหลานตัวเองอีก ก็เลยได้ขับใสไล่ส่งลูกเขยของตัวเองออกจากบ้านไปอีก และยังบอกว่าแค่หลานคนเดียวทำไมจะเลี้ยงไม่ได้ ลูกตั้ง 10 คนยังเลี้ยงมาแล้ว (อ๋อลืมบอกไปว่าตายายมีลูก 10 คน แม่ผมเป็นคนสุดท้องครับ) ก่อนพ่อจะออกเดินทางไปเป็นจับกังอยู่ที่เดิมนั้น ก็เป็นลักษณะเช่นเดิมอีก นั้นก็คือก่อนพ่อจะออกจากบ้านไปแม่ก็ตั้งท้องอีก(พี่ชายคนที่ 2)
                หลังจากครบกำหนดคลอด ตายายมีความรักความความเอ็นดูหลานชายทั้ง 2 เป็นอย่างมาก แต่ตาและยายอยู่กับหลานได้ไม่นาน ก็มาจากหลานทั้ง 2 คนไปอย่างไม่มีวันกลับ ทำให้แม่ต้องทำงาน ทำนา และเลี้ยงลูกอีก 2 คน อย่างตามีตามเกิด แต่ลุงป้า น้า อา ก็ไม่เคยทอดทิ้ง หลังจากนั้นเป็นเวลา 6 ปี พ่อของลูกทั้ง 2 ยังไม่หมดความตั้งใจที่จะกลับมาหาครอบครัว และยังมีความหวังเหมือนเดิมว่า ตายายคงตายไปแล้วแน่ๆ ครั้งนี้พ่อไม่ผิดหวังพ่อกลับมาอยู่กลับครอบครัวอย่างมีความสุข แต่พ่อก็ยังมีความรู้สึกอยากให้ครอบครัวมีอยู่มีกินเหมือนครอบครัวอื่นๆ พ่อตัดสินใจไปค้าแรงงานที่ต่างประเทศ ในสมัยนั้นประเทศที่ผู้คนส่วนใหญ่สนใจและเดินทางไปมากที่สุดนั้นก็คือ ประเทศซาอุดิอาระเบีย
                ก่อนพ่อจะจากไปครั้งนี้ก็เป็นเหมือนที่ผ่านๆ มา นั้นก็คือ แม่ได้ตั้งท้องขึ้นอีก(ตัวผมเอง) โดยที่พ่อไม่รู้เลยว่าจะมีลูกอีกหนึ่งคน แม่ทั้งอุ้มท้อง รับจ้างตามกำลังของหญิงมีครรภ์ เพื่อจะเลี้ยงลูกทั้ง 2 คน และทำนาที่เป็นมรดกของตายาย แม่จึงมีความคิดว่า ผู้หญิงไม่มีสามีอยู่ด้วยแต่ตั้งท้อง เลยกลัวชาวบ้านมองในแง่ไม่ดีนัก เลยตัดสินใจไปหาหมอตำแยมาทำแท้ง โดยตกลงราคากันเป็นที่เรียบร้อย และนัดหมายวันเวลากันเสร็จสรรพ ข่าวการทำแท้งของแม่ก็ไปถึงหูของป้า ป้าเลยมากับเพื่อนบ้านเพื่อที่จะห้ามปราม ป้าเลยแนะนำหาทางออกให้โดยบอกว่า เป็นผู้หญิงอยู่คนเดียวแล้วเผื่อตกเลือกละใครจะเลี้ยงดูลูกให้ แล้วเผื่อคนที่อยู่ในท้องเป็นผู้หญิงก็ยิ่งดี ตอนนั้นแม่มีความตั้งใจอยากได้ผู้หญิงอยู่แล้ว เลยเลิกคิดทีจะทำแท้ง เวลาผ่านไปหลายเดือนพ่อก็ส่งเงินเข้าบัญชีให้แม่ และในสมัยก่อนธนาคารที่ใกล้บ้านที่สุดก็อยู่ที่อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น

                ทุกเดือนแม่ต้องเดินทางมารับเงินเพื่อเป็นการใช้จ่ายในครอบครัว ในขณะที่มานั้นก่อนกลับบ้านแม่ก็จะแวะซื้อเสื้อผ้า ชุดของเด็กผู้หญิง หวังว่าลูกที่อยู่ในครรภ์ของตัวเองจะเป็นผู้หญิงอย่างที่ตัวเองคิด และได้หวังเอาไว้ ถึงกำหนดคลอด วันที่ 23 กรกฎาคม 2529  แม่ก็ไปคลอดที่โรงพยาบาล ในตอนนั้นโรงพยาบาลพึ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากว่าพึ่งได้รับยกระดับขึ้นเป็นกิ่งอำเภอ แม่ก็คลอดเสร็จ หมอเลยบอกแม่ว่า “ดีใจด้วยนะที่ได้ลูกชาย” พอแม่ได้ยินคำนั้นทำให้แม่เป็นลมหมดสติไปนาน
                พอรู้สึกตัวมาอีกทีก็จะโยนลูกน้อยลงหน้าต่างโรงพยาบาล แต่ป้าก็เข้ามาเจอพอดี เลยได้ช่วยชีวิตผมถึงสองครั้งสองคราตั้งแต่ยังไม่ลืมตาเลย ป้าก็เลยเอาผมที่ยังแบเบาะไปนอนด้วย โดยนอนที่เตียงคนป่วยที่มันว่างอยู่ข้างๆ ของแม่ผมเอง เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ในเวลาดึก พยาบาลที่ทำหน้าที่ฉีดยาให้กับคนไข้ ได้เดินไปถลกผ้าถุงของป้าผมขึ้นเพื่อที่จะทำการฉีดยา ทำให้ป้าผมสะดุ้งตื่นเป็นการใหญ่ และได้บอกพยาบาลไปว่าแม่ของเด็กนอนอยู่เตียงนั้น(มือชี้ไปที่เตียงข้างๆ) จึงเป็นเรื่องขำขันพูดจามาจนทุกวันนี้ พอจะไปแจ้งเกิดที่อำเภอไม่รู้จะเอาชื่ออะไรดี ลูกสาวของป้าชอบเพลงจดหมายสุดท้าย ที่ขับร้องโดย รุ่งโรจน์  เพชรธงชัย ที่โด่งดังในขณะนั้น ส่วนชื่อเล่นได้มาจากละครโทรทัศน์ทางช่อง 7 สี คือเรื่องน้ำผึ้งขม ที่ผู้คนส่วนใหญ่ติดละครเรื่องนี้กันอย่างมาก โดยมีพระเอกชื่อว่า คุณปุ๊ลิม และนางเอกชื่อว่าคุณนุ้ย ผมจึงได้ชื่อเหล่านั้นเป็นต้นมา

ชีวิตในวัยเด็กและการศึกษา
                โดยเกิดมาในครอบครัวที่มีแม่เป็นเรี่ยวแรงคนเดียวจึงไม่ค่อยมีเวลาเลี้ยงดูลูกสักเท่าไหร่ เวลาแม่ไม่อยู่ แม่ก็จะเอาผ้าขนหนู มัดเงิน 10 บาท และนมไทยเดนมาร์ค(นมวัวแดง) 1 กล่อง และเอาผมไปฝากเพื่อนบ้านช่วยเลี้ยงให้ เพื่อนบ้านบางคนก็ให้ผมดูดนมเขากินเพราะลูกของเขาก็อายุไล่เลี่ยกันกับผม เพื่อนบ้านช่วยเลี้ยงจนกว่าแม่ผมจะกลับมา
                พออายุได้ 5 ปี ก็เข้าศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านนาโพธิ์ ตอนนั้นผมจัดได้ว่าเป็นเด็กที่ซนมาก ไปโรงเรียนก็ขโมยกลับบ้าน เวลานอนก็จะชอบดึงต่างหูของเพื่อนผู้หญิงจะเลือดออกบ้าง แบบว่าสร้างแต่เรื่องให้กับครูพี่เลี้ยงตลอดเลยก็ว่าได้ แม่เลยตัดสินใจไม่ให้ไปเรียนที่ศูนย์พัฒนาฯ อีกเลย
                พออายุได้ 6 ปี แม่พามาเข้าชั้นอนุบาลที่ โรงเรียนชุมชนบ้านนาโพธิ์(ต.ม.ธ.ก. รุ่น ๗ อนุสรณ์) และเป็นโรงเรียนแห่งแรกของผม และผมก็ได้ศึกษาเล่าเรียนที่นั้นตั้งแต่อนุบาล-มัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังจากจบ
ม.3 แล้วก็มาศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่ โรงเรียนอุดมอักษรพิทยาคม เป็นโรงเรียนประจำตำบล ที่มีนักเรียนทั้ง 2 จังหวัดมาเรียนด้วยกัน นั้นก็คือจังหวัดมหาสารคามและบุรีรัมย์ โรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนแรกที่ทำให้ผมรู้จักวิชาการมากขึ้น เนื่องจากว่าที่ผ่านมาผมจัดได้ว่าเป็นคนไม่ตั้งใจเรียน แต่ผลการเรียนก็ถือว่าพอใช้ได้ แต่วิชาที่ไม่ชอบที่สุดคือวิชาคณิตศาสตร์(เพราะมีอคติกับครูคณิตฯ) อยู่ที่โรงเรียนนี้ผมสร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียนในระดับประเทศได้ นั้นก็คือในหนึ่งโรงเรียนตัวแทนของภาคอีสานที่มีทั้งหมด 3 โรงเรียน ในการแข่งขันละครทางวิทยาศาสตร์ ที่ผมเป็นหัวหน้าในการออกแบบฉากการแสดง และกว่าจะผ่านไปสู่เวทีระดับประเทศได้ต้องผ่านหลายเวทีพอสมควร เวทีได้ขึ้นทำการแสดงนั้นคือ อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี ผลปรากฏว่าโรงเรียนของผมได้รางวัลยอดเยี่ยมการจัดฉากละครทางวิทยาศาสตร์ของปี 2546
                ในช่วงปลายปีของมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก็ได้เข้าสู่สนามสอบเอ็นทรานส์ รุ่นพวกผมเป็นรุ่นสุดท้ายของการสอบเอ็นทรานส์ ผมสอบติดสาขานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง แม่บอกว่าไม่อยากให้เลือก จนบการศึกษา ผมยังไม่มีที่เรียนต่อรองรับเลย แม่เลยให้ผมไปเรียนต่อที่วิทยาลัยรัชภาคย์ ใน กทม. เป็นวิทยาลัยเอกชนที่ไม่ค่อยใหญ่สักเท่าไหร่ ศึกษาในสาขาวิศวกรรมศาสตร์(เพราะมีสาขาเดียว) โดยค่าใช้จ่ายแรกเริ่มตกประมาณ 3 หมื่นกว่าบาท เรียนอยู่ที่นั้นได้ประมาณ 2 เดือนเศษๆ ก็เห็นทางการเปิดระบบแอ็ดมิชชั่น ผมจึงลองสมัครของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ในสาขาภาษาลาว เห็นที่เลือกเพราะมันแปลกๆ ดี และที่เรียนปัจจุบันอยู่นั้น ผมคิดว่าความรู้ที่ผมมีอยู่นั้นคงไม่เพียงพอที่จะทำให้ผมจบได้ และบวกกับค่าใช้จ่ายที่สูงมาก แม่ก็บอกว่าถ้าได้ที่มหาวิทยาลัยสารคามก็ดี ใกล้บ้าน ประหยัดค่าใช้จ่ายด้วย
                หลังจากที่เรียนมาจนจะจบ ก็มีโอกาสได้ทำกิจกรรมในระดับมหาวิทยาลัย ที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน และรู้สึกชอบกับการทำกิจกรรมเป็นอย่างมาก และจึงได้รวมตัวกันของนิสิตกลุ่มอิสระที่มีหลากหลายสาขา และมีนามว่ากลุ่มไหล พวกเรากลุ่มไหลเติบโตด้วยกิจกรรมเฉพาะกิจ ที่ไม่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยมากเท่าใดนัก และเป็นการรวมกลุ่มกันของนักเลงกิจกรรมแบบบ้าๆ บวมๆ และมีสโลแกนที่ว่า
สาระบนความไร้สาระ อิสระที่มีแบบแผน แต่แล้วกลุ่มไหลก็เติบโตได้ไม่นาน เนื่องจากว่าต้องมีหลายคนที่ต้องออกไปฝึกประสบการณ์(ฝึกงาน) ตามหลักสูตรของตนเองที่เรียน
                หลังจากจบการศึกษา ก็ได้มีโอกาสสมัครสอบเข้าทำงานที่กองกิจการนิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม และได้บรรจุเป็นลูกจ้างชั่วคราว ตำแหน่งนักกิจการนักศึกษา ในกลุ่มงานกิจกรรม เข้ามาครั้งแรกโดยที่ยังไม่รู้เลยว่า ระบบหนังสือราชการเป็นอย่างไร โดนตำหนิอยู่บ่อยๆ รู้สึกว่าท้อแท้มาก(ถอดใจ) แต่ก็ยังมีพี่ๆ คอยให้คำแนะนำ ให้กำลังใจ ค่อยรู้สึกมีกำลังใจมากขึ้น และวันที่ 18-19 กรกฎาคม 2552 กลุ่มงานกิจกรรม และกลุ่มงานหอพักบางส่วน ได้มีโอกาสร่วมกิจกรรมพฤหัสสกัดความรู้ครั้งที่ 3 ภาค สอนงาน สร้างทีม และได้ร่วมกิจกรรมการเรียนรู้มากมาย หนึ่งในกิจกรรมการเรียนนั้นก็คือ รู้จักฉัน รู้จักเธอ ในกิจกรรมนั้นเป็นการจับคู่พูดคุยแลกเปลี่ยนเล่าเรื่องที่ตนเองอยากจะพูด หรือเล่าเรื่องที่คนอื่นยังไม่รู้
ผมมีโอกาสได้จับคู่กับพี่เจี๊ยบ(เยาวภา  ปรีวาสนา) หัวหน้างานผมเอง

หมายเลขบันทึก: 279577เขียนเมื่อ 23 กรกฎาคม 2009 22:17 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 มิถุนายน 2012 11:36 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

สุขสันต์วันคล้ายวันเกิด...
ดูแลสังคม ด้วยการรับผิดชอบงานตัวเองอย่างเข้มข้น
เพราะ นั่นคือ การลดภาระของสังคมไปในตัวด้วยเช่นกัน

 

ส่งการบ้านซะยาวเลยนะเข้ามาเป็นกำลังใจให้กับคนที่อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่แตกต่างกัน    เป็นกำลังใจให้นะ

 

จะอยู่เคียงข้างคุณตลอดไป สัญญาจากแดนสามหมอกครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท