ชีวิตรุ่งโรจน์
มีครอบครัวหนึ่ง ตั้งอยู่บ้านเลขที่ 59 ม.13 ต.นาโพธิ์ อ.นาโพธิ์ จ.บุรีรัมย์ เป็นครอบครัวที่ถือว่าใหญ่ แต่ยังขาดผู้นำครอบครัว นั้นหมายถึงพ่อผู้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการเป็นผู้นำ ครอบครัวนี้ถ้ารวมพ่อเข้าไปแล้วจะมีสมาชิกอยู่ 7 คน นั้นคือ ตา ยาย พ่อ แม่ และลูกๆ อีก 3 คน ย้อนไปก่อนหน้านี้พ่อซึ่งเป็นผู้นำครอบครัว เป็นที่ได้ถูกอกถูกใจของตาและยายมากเท่าไหร่ จึงต้องออกจากบ้านพรากครอบครัวไป
ช่วงนั้นก่อนพ่อจะออกเดินทางไปจากบ้าน แม่ได้ตั้งท้องลูกคนแรก นั้นคือพี่ชายคนโตผมเอง พ่อได้เดินทางไปเป็นจับกังที่จังหวัดปัตตานีเป็นเวลา 3 ปี จึงตัดสินใจมาเยี่ยมครอบครัวที่บ้าน และในใจลึกๆ หวังว่าตาและยายคงไม่อยู่แล้ว(ตายจากไปแล้ว) แต่พ่อต้องผิดหวัง ที่ตาและยายยังมีชีวิตอยู่ พ่อจึงกลับไปหาผู้หลักผู้ใหญ่มาเจรจาให้ ถือว่าเป็นผลสำเร็จ พ่อได้อยู่กับครอบครัวและลูกชายวัย 3 ปี แต่ตาและยายยังมีความไม่พอใจพ่อของหลานตัวเองอีก ก็เลยได้ขับใสไล่ส่งลูกเขยของตัวเองออกจากบ้านไปอีก และยังบอกว่าแค่หลานคนเดียวทำไมจะเลี้ยงไม่ได้ ลูกตั้ง 10 คนยังเลี้ยงมาแล้ว (อ๋อลืมบอกไปว่าตายายมีลูก 10 คน แม่ผมเป็นคนสุดท้องครับ) ก่อนพ่อจะออกเดินทางไปเป็นจับกังอยู่ที่เดิมนั้น ก็เป็นลักษณะเช่นเดิมอีก นั้นก็คือก่อนพ่อจะออกจากบ้านไปแม่ก็ตั้งท้องอีก(พี่ชายคนที่ 2)
หลังจากครบกำหนดคลอด ตายายมีความรักความความเอ็นดูหลานชายทั้ง 2 เป็นอย่างมาก แต่ตาและยายอยู่กับหลานได้ไม่นาน ก็มาจากหลานทั้ง 2 คนไปอย่างไม่มีวันกลับ ทำให้แม่ต้องทำงาน ทำนา และเลี้ยงลูกอีก 2 คน อย่างตามีตามเกิด แต่ลุงป้า น้า อา ก็ไม่เคยทอดทิ้ง หลังจากนั้นเป็นเวลา 6 ปี พ่อของลูกทั้ง 2 ยังไม่หมดความตั้งใจที่จะกลับมาหาครอบครัว และยังมีความหวังเหมือนเดิมว่า ตายายคงตายไปแล้วแน่ๆ ครั้งนี้พ่อไม่ผิดหวังพ่อกลับมาอยู่กลับครอบครัวอย่างมีความสุข แต่พ่อก็ยังมีความรู้สึกอยากให้ครอบครัวมีอยู่มีกินเหมือนครอบครัวอื่นๆ พ่อตัดสินใจไปค้าแรงงานที่ต่างประเทศ ในสมัยนั้นประเทศที่ผู้คนส่วนใหญ่สนใจและเดินทางไปมากที่สุดนั้นก็คือ ประเทศซาอุดิอาระเบีย
ก่อนพ่อจะจากไปครั้งนี้ก็เป็นเหมือนที่ผ่านๆ มา นั้นก็คือ แม่ได้ตั้งท้องขึ้นอีก(ตัวผมเอง) โดยที่พ่อไม่รู้เลยว่าจะมีลูกอีกหนึ่งคน แม่ทั้งอุ้มท้อง รับจ้างตามกำลังของหญิงมีครรภ์ เพื่อจะเลี้ยงลูกทั้ง 2 คน และทำนาที่เป็นมรดกของตายาย แม่จึงมีความคิดว่า ผู้หญิงไม่มีสามีอยู่ด้วยแต่ตั้งท้อง เลยกลัวชาวบ้านมองในแง่ไม่ดีนัก เลยตัดสินใจไปหาหมอตำแยมาทำแท้ง โดยตกลงราคากันเป็นที่เรียบร้อย และนัดหมายวันเวลากันเสร็จสรรพ ข่าวการทำแท้งของแม่ก็ไปถึงหูของป้า ป้าเลยมากับเพื่อนบ้านเพื่อที่จะห้ามปราม ป้าเลยแนะนำหาทางออกให้โดยบอกว่า เป็นผู้หญิงอยู่คนเดียวแล้วเผื่อตกเลือกละใครจะเลี้ยงดูลูกให้ แล้วเผื่อคนที่อยู่ในท้องเป็นผู้หญิงก็ยิ่งดี ตอนนั้นแม่มีความตั้งใจอยากได้ผู้หญิงอยู่แล้ว เลยเลิกคิดทีจะทำแท้ง เวลาผ่านไปหลายเดือนพ่อก็ส่งเงินเข้าบัญชีให้แม่ และในสมัยก่อนธนาคารที่ใกล้บ้านที่สุดก็อยู่ที่อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น
ทุกเดือนแม่ต้องเดินทางมารับเงินเพื่อเป็นการใช้จ่ายในครอบครัว ในขณะที่มานั้นก่อนกลับบ้านแม่ก็จะแวะซื้อเสื้อผ้า ชุดของเด็กผู้หญิง หวังว่าลูกที่อยู่ในครรภ์ของตัวเองจะเป็นผู้หญิงอย่างที่ตัวเองคิด และได้หวังเอาไว้ ถึงกำหนดคลอด วันที่ 23 กรกฎาคม 2529 แม่ก็ไปคลอดที่โรงพยาบาล ในตอนนั้นโรงพยาบาลพึ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากว่าพึ่งได้รับยกระดับขึ้นเป็นกิ่งอำเภอ แม่ก็คลอดเสร็จ หมอเลยบอกแม่ว่า “ดีใจด้วยนะที่ได้ลูกชาย” พอแม่ได้ยินคำนั้นทำให้แม่เป็นลมหมดสติไปนาน
พอรู้สึกตัวมาอีกทีก็จะโยนลูกน้อยลงหน้าต่างโรงพยาบาล แต่ป้าก็เข้ามาเจอพอดี เลยได้ช่วยชีวิตผมถึงสองครั้งสองคราตั้งแต่ยังไม่ลืมตาเลย ป้าก็เลยเอาผมที่ยังแบเบาะไปนอนด้วย โดยนอนที่เตียงคนป่วยที่มันว่างอยู่ข้างๆ ของแม่ผมเอง เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ในเวลาดึก พยาบาลที่ทำหน้าที่ฉีดยาให้กับคนไข้ ได้เดินไปถลกผ้าถุงของป้าผมขึ้นเพื่อที่จะทำการฉีดยา ทำให้ป้าผมสะดุ้งตื่นเป็นการใหญ่ และได้บอกพยาบาลไปว่าแม่ของเด็กนอนอยู่เตียงนั้น(มือชี้ไปที่เตียงข้างๆ) จึงเป็นเรื่องขำขันพูดจามาจนทุกวันนี้ พอจะไปแจ้งเกิดที่อำเภอไม่รู้จะเอาชื่ออะไรดี ลูกสาวของป้าชอบเพลงจดหมายสุดท้าย ที่ขับร้องโดย รุ่งโรจน์ เพชรธงชัย ที่โด่งดังในขณะนั้น ส่วนชื่อเล่นได้มาจากละครโทรทัศน์ทางช่อง 7 สี คือเรื่องน้ำผึ้งขม ที่ผู้คนส่วนใหญ่ติดละครเรื่องนี้กันอย่างมาก โดยมีพระเอกชื่อว่า คุณปุ๊ลิม และนางเอกชื่อว่าคุณนุ้ย ผมจึงได้ชื่อเหล่านั้นเป็นต้นมา
ชีวิตในวัยเด็กและการศึกษา
โดยเกิดมาในครอบครัวที่มีแม่เป็นเรี่ยวแรงคนเดียวจึงไม่ค่อยมีเวลาเลี้ยงดูลูกสักเท่าไหร่ เวลาแม่ไม่อยู่ แม่ก็จะเอาผ้าขนหนู มัดเงิน 10 บาท และนมไทยเดนมาร์ค(นมวัวแดง) 1 กล่อง และเอาผมไปฝากเพื่อนบ้านช่วยเลี้ยงให้ เพื่อนบ้านบางคนก็ให้ผมดูดนมเขากินเพราะลูกของเขาก็อายุไล่เลี่ยกันกับผม เพื่อนบ้านช่วยเลี้ยงจนกว่าแม่ผมจะกลับมา
พออายุได้ 5 ปี ก็เข้าศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านนาโพธิ์ ตอนนั้นผมจัดได้ว่าเป็นเด็กที่ซนมาก ไปโรงเรียนก็ขโมยกลับบ้าน เวลานอนก็จะชอบดึงต่างหูของเพื่อนผู้หญิงจะเลือดออกบ้าง แบบว่าสร้างแต่เรื่องให้กับครูพี่เลี้ยงตลอดเลยก็ว่าได้ แม่เลยตัดสินใจไม่ให้ไปเรียนที่ศูนย์พัฒนาฯ อีกเลย
พออายุได้ 6 ปี แม่พามาเข้าชั้นอนุบาลที่ โรงเรียนชุมชนบ้านนาโพธิ์(ต.ม.ธ.ก. รุ่น ๗ อนุสรณ์) และเป็นโรงเรียนแห่งแรกของผม และผมก็ได้ศึกษาเล่าเรียนที่นั้นตั้งแต่อนุบาล-มัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังจากจบ
ม.3 แล้วก็มาศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่ โรงเรียนอุดมอักษรพิทยาคม เป็นโรงเรียนประจำตำบล ที่มีนักเรียนทั้ง 2 จังหวัดมาเรียนด้วยกัน นั้นก็คือจังหวัดมหาสารคามและบุรีรัมย์ โรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนแรกที่ทำให้ผมรู้จักวิชาการมากขึ้น เนื่องจากว่าที่ผ่านมาผมจัดได้ว่าเป็นคนไม่ตั้งใจเรียน แต่ผลการเรียนก็ถือว่าพอใช้ได้ แต่วิชาที่ไม่ชอบที่สุดคือวิชาคณิตศาสตร์(เพราะมีอคติกับครูคณิตฯ) อยู่ที่โรงเรียนนี้ผมสร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียนในระดับประเทศได้ นั้นก็คือในหนึ่งโรงเรียนตัวแทนของภาคอีสานที่มีทั้งหมด 3 โรงเรียน ในการแข่งขันละครทางวิทยาศาสตร์ ที่ผมเป็นหัวหน้าในการออกแบบฉากการแสดง และกว่าจะผ่านไปสู่เวทีระดับประเทศได้ต้องผ่านหลายเวทีพอสมควร เวทีได้ขึ้นทำการแสดงนั้นคือ อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี ผลปรากฏว่าโรงเรียนของผมได้รางวัลยอดเยี่ยมการจัดฉากละครทางวิทยาศาสตร์ของปี 2546
ในช่วงปลายปีของมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก็ได้เข้าสู่สนามสอบเอ็นทรานส์ รุ่นพวกผมเป็นรุ่นสุดท้ายของการสอบเอ็นทรานส์ ผมสอบติดสาขานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง แม่บอกว่าไม่อยากให้เลือก จนบการศึกษา ผมยังไม่มีที่เรียนต่อรองรับเลย แม่เลยให้ผมไปเรียนต่อที่วิทยาลัยรัชภาคย์ ใน กทม. เป็นวิทยาลัยเอกชนที่ไม่ค่อยใหญ่สักเท่าไหร่ ศึกษาในสาขาวิศวกรรมศาสตร์(เพราะมีสาขาเดียว) โดยค่าใช้จ่ายแรกเริ่มตกประมาณ 3 หมื่นกว่าบาท เรียนอยู่ที่นั้นได้ประมาณ 2 เดือนเศษๆ ก็เห็นทางการเปิดระบบแอ็ดมิชชั่น ผมจึงลองสมัครของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ในสาขาภาษาลาว เห็นที่เลือกเพราะมันแปลกๆ ดี และที่เรียนปัจจุบันอยู่นั้น ผมคิดว่าความรู้ที่ผมมีอยู่นั้นคงไม่เพียงพอที่จะทำให้ผมจบได้ และบวกกับค่าใช้จ่ายที่สูงมาก แม่ก็บอกว่าถ้าได้ที่มหาวิทยาลัยสารคามก็ดี ใกล้บ้าน ประหยัดค่าใช้จ่ายด้วย
หลังจากที่เรียนมาจนจะจบ ก็มีโอกาสได้ทำกิจกรรมในระดับมหาวิทยาลัย ที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน และรู้สึกชอบกับการทำกิจกรรมเป็นอย่างมาก และจึงได้รวมตัวกันของนิสิตกลุ่มอิสระที่มีหลากหลายสาขา และมีนามว่ากลุ่มไหล พวกเรากลุ่มไหลเติบโตด้วยกิจกรรมเฉพาะกิจ ที่ไม่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยมากเท่าใดนัก และเป็นการรวมกลุ่มกันของนักเลงกิจกรรมแบบบ้าๆ บวมๆ และมีสโลแกนที่ว่า “สาระบนความไร้สาระ อิสระที่มีแบบแผน” แต่แล้วกลุ่มไหลก็เติบโตได้ไม่นาน เนื่องจากว่าต้องมีหลายคนที่ต้องออกไปฝึกประสบการณ์(ฝึกงาน) ตามหลักสูตรของตนเองที่เรียน
หลังจากจบการศึกษา ก็ได้มีโอกาสสมัครสอบเข้าทำงานที่กองกิจการนิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม และได้บรรจุเป็นลูกจ้างชั่วคราว ตำแหน่งนักกิจการนักศึกษา ในกลุ่มงานกิจกรรม เข้ามาครั้งแรกโดยที่ยังไม่รู้เลยว่า ระบบหนังสือราชการเป็นอย่างไร โดนตำหนิอยู่บ่อยๆ รู้สึกว่าท้อแท้มาก(ถอดใจ) แต่ก็ยังมีพี่ๆ คอยให้คำแนะนำ ให้กำลังใจ ค่อยรู้สึกมีกำลังใจมากขึ้น และวันที่ 18-19 กรกฎาคม 2552 กลุ่มงานกิจกรรม และกลุ่มงานหอพักบางส่วน ได้มีโอกาสร่วมกิจกรรมพฤหัสสกัดความรู้ครั้งที่ 3 ภาค สอนงาน สร้างทีม และได้ร่วมกิจกรรมการเรียนรู้มากมาย หนึ่งในกิจกรรมการเรียนนั้นก็คือ รู้จักฉัน รู้จักเธอ ในกิจกรรมนั้นเป็นการจับคู่พูดคุยแลกเปลี่ยนเล่าเรื่องที่ตนเองอยากจะพูด หรือเล่าเรื่องที่คนอื่นยังไม่รู้
ผมมีโอกาสได้จับคู่กับพี่เจี๊ยบ(เยาวภา ปรีวาสนา) หัวหน้างานผมเอง
สุขสันต์วันคล้ายวันเกิด...
ดูแลสังคม ด้วยการรับผิดชอบงานตัวเองอย่างเข้มข้น
เพราะ นั่นคือ การลดภาระของสังคมไปในตัวด้วยเช่นกัน
ส่งการบ้านซะยาวเลยนะเข้ามาเป็นกำลังใจให้กับคนที่อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่แตกต่างกัน เป็นกำลังใจให้นะ
จะอยู่เคียงข้างคุณตลอดไป สัญญาจากแดนสามหมอกครับ