ละครอิงประวัติศาสตร์เมืองบางขลัง


เมืองบางขลัง

วันนี้ผู้เขียนขอนำเสนอเรื่องสั้นที่อิงประวัติศาสตร์ซึ่งผู้เขียนได้เขียนลงในวารสารรุ่งเรืองเมืองบางขลัง ของ องค์การบริหารส่วนตำบลเมืองบางขลัง ที่นำเสนอเรื่องนี้เพราะว่าอยากจะให้ทุกคนได้เรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของชาติไทยซึ่งในบางแง่มุมเรายังไม่ทราบหรืออาจจะไม่รู้มาก่อน ซึ่งประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเมืองสุโขทัยนั้น ไม่ได้อยู่แค่ในจังหวัดสุโขทัยแต่มีประวัติความเป็นมาถึงจังหวัดเลยของเราด้วยซึ่งผู้เขียนได้สอนนักเรียนชั้น ม.5 เกี่ยวกับเรื่องการตัดต่อวีดีโอ ถ้ามีโอกาสผู้เขียนก็อยากจะพานักเรียนไปศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของไทยแล้วนำมาบูรณาการกับรายวิชาที่สอน  ลองอ่านดูนะครับผมยังเป็นมือใหม่หัดเขียนอาจจะผิดบ้างก็ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้าด้วยนะครับ

เมืองบางขลัง

วันนี้โรงเรียนเลิกเร็วกว่าทุกวันทั้งๆที่เพิ่งจะบ่ายสามโมงกว่าๆนักเรียนรีบพากันเก็บหนังสือใส่กระเป๋าแล้วพากันมารวมกันเข้าแถวหน้าเสาธงครูใหญ่กำลังเดินมาหน้าแถวที่นักเรียนยืนเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบแต่ก็ยังมีเสียงคุยกันอยู่แซงแซ่เกี่ยวกับเรื่องที่ทางโรงเรียนจะพานักเรียนชั้น ป.4 ป.6 ไปทัศนศึกษาบางคนเป็นครั้งแรกที่จะได้ไปเที่ยวต่างจังหวัด  นักเรียนหยุดคุยกันทันทีเมื่อครูใหญ่เดินมาถึง วันพรุ่งนี้ทางโรงเรียนของเราจะพานักเรียนช่วงชั้นที่ 2 ไปทัศนศึกษาดูงานที่จังหวัดเชียงใหม่โดยครั้งนี้เราจะไปกันที่พระธาตุดอยสุเทพ ให้นักเรียนมาพร้อมกันที่หน้าบ้านผู้ใหญ่เวลา ตีห้า ตรง ถ้าใครมาช้ากว่านั้นรถจะไม่รอ เดี๋ยวจะไปถึงค่ำเกินไป ถ้าใครรู้สึกไม่ค่อยสบายให้เอายาติดตัวไปด้วย วันนี้ครูจะปล่อยให้นักเรียนช่วงชั้นที่ 2 ไปเตรียมตัวฯลฯ ครูใหญ่พูดเกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติตัวเมื่อไปถึงพระธาตุดอยสุเทพและแนะนำหลายๆอย่างก่อนที่จะปล่อยให้นักเรียนทั้งหมดเดินทางกลับบ้าน

ระหว่างที่เดินทางกลับมายังบ้านนั้นนักเรียนหลายคนพากันคุยกันถึงเรื่องที่จะได้ไปเชียงใหม่ในวันพรุ่งนี้รวมทั้งแพรวและอู๋ ทั้งสองคุยกันถึงเรื่องไปเที่ยวในวันพรุ่งนี้อย่างสนุกสนานเมื่อมาถึงบ้านต่างก็แยกกันไปเก็บเสื้อผ้าและจัดการเตรียมของที่จะนำไปด้วยในวันพรุ่งนี้ ทั้งแพรวและอู๋นอนไม่หลับเพราะความตื่นเต้นและกลัวว่าตัวเองจะตื่นไม่ทันรถที่จะพาไปเชียงใหม่ แพรวเป็นเด็กหญิงตัวอ้วนหน้าตาน่ารักนิสัยดี เรียนเก่ง ส่วนอู๋เป็นเด็กชายที่ผอมผิวขาวและเรียนเก่งเหมือนกันกับแพรว ทั้งสองเป็นพี่น้องกันแม่ของอู๋เป็นป้าของแพรว

                อู๋  ตื่นได้แล้วลูกตีสี่ครึ่งแล้วนะ  ไปอาบน้ำแล้วมาทานข้าวหน่อยเร็วแม่เตรียมไว้ให้แล้ว เร็วๆ เดี๋ยวไปไม่ทันไม่รู้ด้วยนะ เสียงของแม่เรียกอู๋ให้ตื่นจากที่นอน อู๋รีบลุกจากที่นอนไปอาบน้ำ ใส่เสื้อตัวใหม่ที่แม่ซื้อมาฝากจากตลาดนัดเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว หลังจากกินข้าวอิ่มอู๋ก็เดินไปหยิบกระเป๋าเป้ใส่หลังแล้วเดินออกไปเรียกพี่แพรวที่หน้าบ้าน  บ้านของเด็กทั้งสองอยู่ติดกันเดินไปนิดเดียวก็ถึงแล้ว อู๋กับแม่เดินไปหาแพรวที่บ้านเห็นยายกับตานั่งรออยู่หน้าบ้านส่วนแพรวนั้นกำลังสวมเสื้อแขนยาวแล้วเดินออกมาพร้อมแม่ทั้งสองยกมือสวัสดียายกับตาแล้วพากันเดินออกมาพร้อมกับแม่ พอมาถึงบริเวณหน้าบ้านผู้ใหญ่ มีรถบัสคันใหญ่จอดรออยู่ นักเรียนส่วนมากมากันน่าจะเกือบหมดแล้วเมื่อมองดูเวลาก็เกือบตีห้าเหลืออีกเพียงสิบนาทีเท่านั้น จากนั้นครูใหญ่และครูคนอื่นๆอีก 2-3 คนก็พากันเช็คชื่อนักเรียนที่ละห้องให้ขึ้นไปรอบนรถ อู๋และแพรว สวัสดีแม่แล้วพากันวิ่งไปยังแถวของตนเองแพรวอยู่ ชั้นป.6 ส่วนอู๋นั้นอยู่ชั้น ป.5 ไม่นานทั้งสองก็ขึ้นไปนั่งรอบนรถโดยอู๋นั่งริมหน้าต่างและข้างๆอู๋นั้นก็คือเพื่อนสนิทของเขาเองชื่อเด็กชายยู นั่นเอง ยูเป็นคนเรียนเก่งเหมือนกันเล่นกีฬาก็เก่งถือได้ว่ามีแววนักกีฬา เขาจึงมักจะได้เป็นตัวแทนไปแข่งกีฬาอยู่บ่อยๆ  รถแล่นออกมาเรื่อยๆทั้งสองคนมองไปนอกหน้าต่างมันช่างน่าตื่นตาตื่นใจซะเหลือเกินต้นไม้ภูเขามันช่างแปลกตาเสียจริงๆทั้งๆที่บ้านของพวกเขาก็มีภูเขาและต้นไม้เหมือนกันกับที่นี่..รถแล่นออกมานานเท่าไหร่ไม่รู้พอรู้ตัวอีกทีพวกเด็กๆก็มาถึงพระธาตุดอยสุเทพเสียแล้ว

                ครูเรียกให้เด็กนักเรียนลงจากรถไปทำธุระส่วนตัวแล้วให้มาเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบ จากนั้นครูก็พานักเรียนขึ้นไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพ ขณะที่กำลังไหว้พระธาตุอยู่นั้นอู๋และแพรวสังเกตเห็น เด็กชายคนหนึ่งแต่งตัวเหมือนเด็กในสมัยโบราณ นุ่งโจงกระเบน ไว้ผมจุก ยืนยิ้มให้ ท่าทางเป็นมิตร กวักมือเรียกทั้งสองคน อู๋และแพรวเดินตรงไปยังเด็กชายคนนั้น ขณะที่เด็กชายคนนั้นก็หันหลังและเดินลงบันไดอู๋และแพรวเดินตามไปและไปหยุดอยู่ บริเวณแผ่นหินที่สลักประวัติของพระธาตุดอยสุเทพ เด็กคนนั้นชี้ให้อู๋และแพรวอ่านข้อความนั้น อู๋จึงอ่านข้อความที่สลักไว้ว่า

ทิวเขาที่เรียกว่า ดอยสุเทพ ได้ชื่อมาจากสุเทวฤาษี หรือฤาษีวาสุเทพ ผู้ซึ่งได้ใช้เขานี้เป็นที่บำเพ็ญตะบะ ฤาษีวาสุเทพได้สร้างนครลำพูน แล้วอัญเชิญพระนางจามเทวี พระธิดาเจ้ากรุงละโว้ ( ลพบุรี ) ขึ้นมาครองใน พ.ศ. ๑๒๐๐

ในพ.ศ. ๑๘๓๕ เมื่อพระเจ้าเมงรายมหาราชทรงเลือกหาที่สร้างนครเชียงใหม่ ก็ทรงถือเอาดอยสุเทพ เปนหลักไชยมงคลสิ่งหนึ่ง นครเชียงใหม่สร้างเสร็จใน พ.ศ.๑๘๓๕

ในรัชชสมัยของพระเจ้ากือนา ( รัชชกาลที่ ๙ แห่งราชวงค์เมงราย ) ผู้ทรงครองนครเชียงใหม่ระหว่าง พ.ศ. ๑๙๐๐ ถึง ๑๙๓๑ พระพุทธศาสนาตามแบบลังกา หรือลักกาวงค์ได้เริ่มแผ่เข้ามาในประเทศลานนาไทย และตลอดรัชชสมัยของพระเจ้ากือนาจนถึงสิ้นราชวงค์เมงราย ได้มีการติดต่อทางการทูตระหว่างนครเชียงใหม่กับลังกาและอินเดีย มีภาษุสามเณรจากประเทศลานนาไทยเปนอันมาก เดินทางออกไปศึกษาถึงประเทศลังกาทำให้ประเทศลานนาไทยในสมัยนั้น เจริญรุ่งเรืองในด้าน ศาสนา วัฒนธรรม และศิลปกรรม ยิ่งกว่าในสมัยใดๆ ลังกาวงค์ได้ก่อให้เกิดมีปราชญ์ชาวลานนาไทยขึ้นหลายท่าน เช่น พระศิริมังคลาจารย์ ผู้แต่งคัมภีร์มงคลทิปนี พระโพธิรังสีผู้แต่งพงศาวดารเรื่องจามเทวีวงค์ พระรัตนปัญญาญาณ ผู้แต่งพงศาวดารเรื่องชิณกาลมาลีนี และพระธรรมทิณมหาเถรผู้เปนประธานกรรมการชำระพระไตรปิฏห ในการสังคายนาครั้งที่ ๘ ของโลกที่วัดเจ็ดยอด (เชียงใหม่)ใน พ.ศ.๒๐๒๐

เหตุที่พระพุทธศาสนาแบบลังกาวงค์เข้ามาประดิษฐ์ฐานในประเทศลานนาไทยนี้ เนื่องมาจากพระมหาเถรชาวสุโขทัยองค์หนึ่ง ชื่อว่า พระมหาสุมณเถร ได้ศึกษาพระไตรปิฏกตามแบบลังกา จากอาจารย์ชื่อว่า พระอุทุมพรมหาสวามี ณ เมืองเมาะตะมะ ครั้นแตกฉานแล้ว ก็กลับมาอยู่ที่นครสุโขทัย คืนวันหนึ่งพระมหาสุมณเถรฝันว่า มีพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้า อันพระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรางแจกมาไว้ในแคว้นสุวรรณภูมิ์แต่ก่อน บรรจุอยู่ใต้เจดีย์ร้างที่เมืองบางจา ในแคว้นสุโขทัยมีต้นเข็มใหญ่ขึ้นเป็นพุ่มคล้ายม้านั่งเปนเครื่องหมาย พระมหาสุมณเถรได้เดินทางไปค้นคว้า ก็พบพระบรมธาตุตามความฝัน พระบรมธาตุนี้มีสีดังทองอุไร โตเท่าเม็ดถั่วเขียว บรรจุไว้ในผอบจึงได้นำไปถวายพระเจ้ากรุงสุโขทัย ๆ ไม่ทรงเชื่อถือ ได้อนุญาตให้พระมหาสุมณเถรเก็บรักษาไว้

ทางประเทศลานนาไทย พระเจ้ากือนาทรงทราบกิติศัพท์ของพระอทุมพรมหาสวามีที่เมืองเมาะตะมะ จึงได้ทรงจัดทูตไปนิมนต์ให้เข้ามาตั้งพระพุทธศาสนาตามแบบลังกาวงค์ในดินแดนของพระองค์ พระอทุมพรมหาสวามีได้จัดให้พระสงฆ์ชาวรามัญ ๑๐ รูปมาแทนแต่มิได้อนุญาตให้ทำวินัยกรรมสมมตสีมาและอุปสมบทเพราะได้อนุญาตให้เฉพาะพระมหาสุมณเถรเท่านั้น พระเจ้ากือนาจึงทรงแต่งตั้งทูตไปเฝ้าพระเจ้ากรุงสุโขทัย เพื่อขอนิมนต์พระมหาสุมณเถรไปสืบพระศาสนา พระมหาสุมณเถรจึงได้ขึ้นไปสำนักที่วัดพระยืน ลำพูน ตั้งแต่บัดนั้นมา

ปรากฏในพงศาวดารโยนกว่า พระบรมธาตุจากเมืองบางจานั้น พระมหาสุมณเถรได้ถวายแต่พระเจ้ากือนา เมื่อได้ทรงทำการสมโภชพระบรมธาตุๆ ได้แสดงปาฏิหาริย์ต่างๆและได้กลายเปน ๒ องค์เท่าๆกัน พระเจ้ากือนาจึงสร้างวัดขึ้นที่ป่าไม้พะยอม ให้ชื่อว่าวัดบุบผาราม(วัดสวนดอก)บรรจุพระบรมธาตุองค์ใหม่ไว้ในพระเจดีย์วัดนี้ ส่วนพระบรมธาตุองค์เดิม ทรงอัญเชิญขึ้นบนหลังช้างพระที่นั่ง แล้วทรงอธิฐานเสี่ยงช้างปล่อยไป ช้างบ่ายหน้าจากในเวียงออกประตูสวนดอก เดินตรงขึ้นดอยสุเทพ ไปถึงผาลาดได้หยุดนิ่งครู่หนึ่ง แล้วขึ้นต่อไปอีกจนถึงยอดเขาลูกนี้จึงได้หยุด ณ ที่ช้างหยุดพระเจ้ากือนาทรงให้สร้างพระเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุไว้ เมื่อ พ.ศ. ๑๘๒๙ จึงเรียกกันว่า พระธาตุสุเทพ ตั้งแต่บัดนั้นมา ส่วนช้างพระที่นั่งนั้น ต่อมาก็ตายลง จึงได้จัดการฝังและก่อเจดีย์ไว้บนยอดเขาอีกลูกนึ่ง ซึ่งในปัจจุบันนี้เปนสถานีทดลองวนกรรมของกรมป่าไม้

จากเชิงดอยที่ห้วยแก้ว มีทางรถยนต์ขึ้นดอยสุเทพจนถึงเชิงบรรไดนาค ทางหลวงนี้ชื่อ ถนนพระศรีวิชัย ท่านครูบาศรีวิชัย( ชาตะ พ.ศ. มรณะ พ.ศ. ๒๔๘๑ ) ได้เปนหัวหน้านำราษฏรจำนวนหลายหมื่นคนซึ่งมีจิตต์ศรัทธาแก่กล้าร่วมกันสร้างถนนหลวงนี้ลงมือทำกันเมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๔๗๗ เสร็จเมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๔๗๘ รวมเวลาสร้าง ๕ เดือน ๒๒ วัน

ยอดเขานี้เปนที่ตั้งของวัดพระธาตุสุเทพ สูงกว่าระดับน้ำทะเล ๑๐๕๓ เมตร ยอดสูงสุดของทิวเขาสุเทพ คือดอยปุย สูงกว่าระดับน้ำทะเล ๑๖๕๐ เมตร

จารึกแผ่นนี้ห้างหุ่นส่วนอนุสารเชียงใหม่ (ตั้งขึ้นโดยหลวงอนุสารสุนทร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๕ ได้สร้างขึ้นไว้ เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๙๕ เพื่อประชาชนจะได้ทราบประวัติของสถานที่นี้

ตามเรามาซิเด็กชายคนนั้นเรียกให้อู๋และแพรวเดินตามไปหลังจากที่อ่านข้อความเสร็จเด็กทั้งสองเดินตามไปจนถึงข้างล่างจนถึงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เด็กชายเดินไปยังด้านหลังของต้นไม้ รอด้วยซิหยุดก่อน นายจะพาเราไปไหน แล้วนายชื่ออะไร อู๋ เรียกให้หยุด ขณะที่เด็กชายคนนั้นกำลังเดินลับไป อู๋และแพรวเดินตามไปยังหลังต้นไม้ใหญ่และทันใดนั้นทุกอย่างก็มืดจนมองอะไรไม่เห็น.......................

                ทั้งคู่รู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองยืนอยู่บริเวณหน้ามณฑปมีกำแพงแก้วรอบ  มีซากปรักหักพังของศิลาแลงอยู่รอบๆ ตัวมณฑปนั้นมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ ทั้งคู่ก็ต้องแปลกใจอีกครั้งกับสิ่งที่ได้พบเห็นอยู่ตรงหน้า  มีผู้หญิงสาวสวยราวกับนางฟ้านางสวรรค์ ๗ นางที่กำลังร่ายรำ ประกอบกับดนตรีเสียงไพเราะจับใจ ทั้งคู่ไม่เคยได้ยินเพลงที่ไพเราะและการร่ายรำที่สวยงามอย่างนี้มาก่อนเลยในชีวิต ทั้งสองยังคงเหมือนกับถูกมนต์สะกดยืนแน่นิ่งอยู่นานเท่าใดไม่รู้จนกระทั่ง เด็กชายที่ทั้งสองตามมานั้นเรียกให้ทั้งคู่เดินมาหา ซึ่งตอนนี้เขายืนอยู่บริเวณซึ่งเป็นเหมือนประตูที่จะเข้าไปสู่บริเวณตัวมณฑป บัดนี้นางระบำและเสียงดนตรีนั้นได้หายไปแล้ว

 เดี๋ยวก่อนซิ นายจะพาเราไปไหน แล้วที่นี่มันที่ไหนกัน อู๋ถามด้วยความสงสัย  เด็กชายคนนั้นหันมายิ้มให้ทั้งสอง

เราชื่อ จุก บ้านเราอยู่แถวนี้แหละ เรารอพวกเจ้าสองคนนานแล้วนะ บริเวณนี้ถูกเรียกว่าวัดโบสถ์ เป็นบริเวณที่มีความสำคัญเมื่อก่อนสถานที่แห่งนี้เคยเป็นสถานที่รวมพลในการสู้รบระหว่างพวกขอมกับไทย และข้อความที่เราชี้ให้พวกเจ้าอ่านบนศิลานั้นก็เช่นกัน บริเวณนี้เองที่เป็นบริเวณที่พบพระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุไว้บนพระธาตุดอยสุเทพ พวกเจ้าเข้าใจที่ข้าพูดใช่ไหม   ทั้งคู่ยังงงกับคำพูดที่จุกพูดเพราะทั้งคู่ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เลย แม้ทั้งคู่จะยังงงๆ แต่ก็ทำเป็นว่าเข้าใจในสิ่งที่จุกพูด แล้วแพรวก็ถามจุกด้วยความสงสัยว่า

 แล้วพวกเราเกี่ยวอะไรด้วยละ  แพรวถามด้วยความสงสัย

เราอยากให้เจ้าทั้งสองคนมาช่วยกันดูแลสถานที่แห่งนี้ เจ้าทั้งสองคนจะเป็นคนที่ทำให้ที่นี้ได้เป็นที่รู้จักของคนทั่วไปว่าที่นี่มีความสำคัญอย่างไร พวกเจ้าไม่ต้องห่วงหรอกมันยังไม่ถึงเวลาเมื่อถึงเวลาแล้วเจ้าก็จะรู้เอง

                จุกยิ้มให้ทั้งคนอย่างเป็นมิตรจึงได้ส่งดอกเข็มสีเหลืองให้ทั้งสองคนและไม่ได้พูดอะไรอีกเลย ได้แต่ชี้ให้ทั้งสองเดินไปยังประตูด้านหลังของมณฑป ถึงแม้ทั่งคู่จะยังคงงงๆ กับคำพูดของจุกแต่ทั้งสองคนก็ทำตามทันที ก่อนที่ทั้งสองกำลังจะเดินพ้นประตูไปจุกตะโกนบอกว่า เราจะรอพวกเจ้าอยู่ที่นี้ เมื่อถึงเวลาแล้วเราจะได้เจอกันอีกครั้งนะ

                ตื่น ตื่น พวกเราจะกลับกันแล้วนะสองคนนี่แอบมานอนอยู่บนรถได้ไง ครูให้มาตามไปเข้าแถวเช็คชื่อก่อนขึ้นรถ เพื่อนคนหนึ่งเรียกให้ทั้งสองคนลงจากรถ  ทั้งสองเดินลงจากรถในใจก็ยังนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่ามันคือความฝันหรือเรื่องจริงแต่ที่น่าแปลกคือถ้าเป็นความฝันแล้วทำไมทั้งสองคนต้องฝันเหมือนกันด้วย ก่อนที่จะขึ้นรถกลับอู๋รู้สึกหิวน้ำจึงได้เดินไปซื้อน้ำอู๋ล้วงไปในกระเป๋ากางเกงและหยิบสิ่งหนึ่งเหมือนสิ่งที่เขาคุ้นเคย มันคือ ดอกเข็มสีเหลืองนั่นเอง..............หรือว่าสิ่งที่เขาเจอนั้นมันไม่ใช่ความฝัน

 

20 ปี  ต่อมา.........

 

                ปลัดหนุ่มรูปหล่อ ผิวขาว หน้าตาดี แห่งตำบลเมืองบางขลังกำลังยืนแนะนำสถานที่ที่เป็นโบราณสถานว่ามีความสำคัญอย่างไรให้กับนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งซึ่งมาจากกรุงเทพฯ ฟัง สถานที่แห่งนี้มีความสำคัญมากนะครับ ถ้าไม่มีสถานที่แห่งนี้เราก็อาจจะไม่มีประเทศไทยให้เราได้อยู่อาศัยมาจนถึงทุกวันนี้ก็ได้นะครับ เพราะฉะนั้น เราก็อาจจะสรุปได้ว่า ไม่มีเมืองบางขลัง ไม่มีกรุงสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา  กรุงธนบุรี และไม่มีประเทศไทย และถ้าไม่มีเมืองบางขลังวันนี้ก็คงจะไม่มีพระธาตุดอยสุเทพ ซึ่งสถานที่ที่ทุกท่านจะต้องไปดูนั้นก็คือพระธาตุดอยสุเทพซึ่งจะมีประวัติของพระธาตุดอยสุเทพเขียนถึงเมืองบางขลังไว้ด้วยนะครับ  ปลัดหนุ่มยังคงอธิบายถึงประวัติและความเป็นมาของโบราณสถานวัดโบสถ์ให้กับนักท่องเที่ยวฟังไปเรื่อยๆ หลังจากที่รับชมการแสดงระบำเทววารีศรีเมืองบางขลัง ซึ่งได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก ลักษณะท่ารำเราได้จินตนาการจากเหล่าเทวดานางฟ้าทั้ง ๗ วัน ที่มาคอยปกปักรักษาโบราณสถานเอาไว้จนกว่าจมีผู้มีบุญมาพบ ส่วนการแสดงชุดนี้ได้ถ่ายทอดมาจากความรู้สึกสู่การจินตนาการจากภูมิสถานและประวัติความเป็นมาของโบราณคดี และแนวคิดของท่ารำในระบำชุดนี้เน้นถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีบทบาทต่อความรู้สึกนึกคิดในโลกของความจริงที่ต้องการให้เทวดาและนางฟ้ามาปกป้องและคุ้มครองสิ่งอันเป็นที่บูชาด้วยสัจธรรมของโลกมนุษย์ปลัดได้เล่ารายละเอียดให้ฟัง  จนกระทั่งนักท่องเที่ยวขึ้นรถกลับไปกันหมดแล้วจึงได้เดินมาหาหญิงสาวผมยาว ผิวขาว สูงโปร่งท่าทางทะมัดทะแมง ที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ใต้ต้นมะม่วงใหญ่ เป็นไงบ้างเหนื่อยไหมพ่อปลัดคนเก่ง เดี๋ยวจะมีคณะทัวร์มาอีกหลายคณะเลยนะ ต้องทำงานหนักหน่อยละนะคุณปลัด หญิงสาวพูดหลังจากวางสายโทรศัพท์ เขายิ้มให้ปลัดอย่างอบอุ่น

                ผมต้องขอขอบคุณพี่มากนะครับที่ช่วยเหลือผมมาตลอดถ้าไม่ได้พี่ผมก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไง พี่ช่วยผมได้มากเลยนะครับ มีคณะทัวร์มาเยี่ยมชมที่นี่ก็เพราะพี่คอยติดต่อให้ แล้วพี่แพรวจะกลับกรุงเทพฯ วันไหนครับ หรือจะกลับไปบ้านหาคุณป้าก่อนถ้าพี่กลับบ้านฝากความคิดถึงแม่กับพ่อและคุณป้าด้วยนะครับว่าผมคิดถึงผมจะกลับบ้านก็คงจะสิ้นเดือนละครับปลัดอู๋พูดกับพี่สาวที่ทำงานอยู่กรุงเทพฯ เธอทำงานอยู่ในกระทรวงและคอยแนะนำลูกทัวร์ให้มาเที่ยวชมโบราณสถานที่ได้ชื่อว่า เป็นจุดกำเนิดประเทศไทย พี่คิดว่าจะยังไม่กลับนะอยากจะอยู่เที่ยวที่นี่สัก 2-3 วัน นานๆทีได้หลบความวุ่นวายจากกรุงเทพฯ ขอสูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอดสักหน่อย ทั้งคู่พูดคุยกันอย่างสนุกสนานเพราะว่าไม่ได้เจอกันนาน

                บัดนี้พระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าทอดแสงผ่านมายังโบราณสถาน แสงสีทองของอาทิตย์อัสดงช่างสวยและงดงามเสียจริง ทั้งสองคนยืนมองโบราณสถานที่ตั้งเป็นสง่าอยู่ตรงหน้า ราวกับว่ายังคงรอให้ผู้คนมาศึกษาค้นคว้าหาคำตอบกับสิ่งที่ยังคงรอการค้นพบ สถานที่แห่งนี้ผ่านกาลเวลามานานแสนนาน ถ้าสถานที่แห่งนี้พูดคุยกับเราได้สิ่งที่อยากจะบอกคงจะเป็นคำขอบคุณที่ผู้คนยังให้ความสนใจและยังให้ความสำคัญกับสิ่งที่ใครหลายๆคนไม่เห็นคุณค่า...ฉันเลือกคนไม่ผิดเลยจริงๆนะ

รายละเอียดบทละครดูได้ตามนี้นะครับ http://www.bangkhung.net/pic%20play/play.htm

หมายเลขบันทึก: 279314เขียนเมื่อ 23 กรกฎาคม 2009 11:18 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน 2012 14:04 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท