มนุษย์มาจากไหน?
มีโลกมาแต่เมื่อใด?
คำถามเหล่านี้มักเป็นที่กังขาของคนมาแต่ไหนแต่ไร เป็นจุดว่างให้คนหาคำตอบเติมแต็ม เป็นเรื่องเล่า เรื่องขาน เป็นตำนานต่อ ๆ มาก็มามี จนวิทยาการพัฒนาก้าวหน้า ความกระจ่าง ค่อย ๆ ไข แต่กระนั้นก็ยังไม่มีใครรู้แน่ว่าจริง ๆ เป็นเช่นไร
โลกเกิดจากการอุบัติบิกแบงก์ มนุษย์มาจากวานร -วานรและสัตว์ทั้งหลายล้วนมีบรรพบุรุษก่อกำเนิดมาจากสัตว์เซลล์ เดียว เหล่านี้ใครเคยคิดฝันมาก่อนว่าจะเป็นเช่นนั้น ช่างเป็นความจริงที่ไม่สะดวกใจ…เป็นวิทยาศาสตร์เกิน(ไป)… คนธรรมดาใครเล่าอยากรู้…ความจริงที่แห้งแล้ง
ตำนานานปรัมปราของคนเก่าคนแก่ ซึ่งเป็นความฝันหล่อเลี้ยงจิตวิญญานยามโลกอ่อนวัยถูกสังหารโดยไม่แม้จะได้ปริปากค้าน หากโลกเป็นเช่นวันวารกาลเก่า เราคงได้ยินเรื่องขับขานเกี่ยวกับโลกนี้ เช่นตำนานตะวันออก
อย่างจีนกล่าวว่าโลกแต่เดิมมีสัณฐานดังฟองไข่ ต่อมายักษ์ชื่อผันกู่ใช้ขวานฟันแยกแบ่งท้องฟ้ากับผืนดินออกจากกัน แล้วแทรกตัวยืนตรง กลางใช้สองมือค้ำท้องฟ้าและยันเหยียบดิน ดังนั้น ท้องฟ้ากับดินค่อย ๆ แยกห่างจากกัน แลผันกู่ก็ตัวสูงยาวตาม กาลล่วงผ่านไป ๑ แสน ๘ พันปี ท้องฟ้ากับผืนดินถ่างห่างกันไกลถึง ๙หมื่นลี้ ผันกู่กลับกลายเป็นวีรบุรุษผู้หัวค้ำฟ้าเท้ายันติดดิน หากแต่เมื่อผันกู่ตายไป ดวงตาของเขาได้กลายเป็นพระอาทิตย์พระจันทร์ แขนขาแปรเปลี่ยนเป็นเทือกเขา โลหิตเปลี่ยนเป็นแหล่งน้ำ เส้นเอ็นกลายเป็นถนนหนทาง กล้ามเนื้อกลายเกิดเป็นนา เส้นผมและหนวดกลายเปลี่ยยนเป็นดวงดาวบนท้องฟ้า ผิวหนังและขนกลายเป็นแมกไม้พฤกษา ฟันและกระดูกลายเป็นโลหะก้อนหินและอัญมณี เหงื่อกลายเป็นน้ำฝน แมลงบนตัวกลับกลายเป็นมนุษย์ บางตำนานว่ายักษ์ผันกู่สร้างโลก โดยสร้างแผ่นฟ้าและแผ่นดิน แต่ไม่สมบูรณ์ เพราะท้องฟ้าเอียงด้านมุมตะวันออกเฉียงเหนือ ดวงอาทิตย์ดวงจันทร์และดาวน้อยใหญ่ไม่มีตำแหน่งเป็นระบบระเบียบ แผ่นดินเอียงไปด้านหนึ่งเพราะผันกู่ไม่ได้ถมมุมด้านตะวันออกเฉียงใต้ เป็นเหตุให้มหาสมุทร ทะเลสาบและแม่น้ำ ไหลไปทางเดียว ร้อนถึงเทวีหนี่โอต้องแก้ไขข้อบกพรองเหล่านั้น แล้วนำดินมาปั้นเป็นมนุษย์ผู้ชายผู้หญิงกลายเป็นมวลมนุษย์โลก
หมู่ชาวไทเองก็มีตำนานคล้าย ๆ กันเรื่องปู่สังกะสา-ย่าสังกะสีสร้างโลก เอาดินมาปั้นเป็นคนเป็นสัตว์ต่าง ๆ หรือพงศาวดารเมืองแถนที่พูดถึงสาเหตุการกำเนิดมนุษย์จากการอธิษฐานเข้าไปอยู่ในน้ำเต้า ของเทพสามีภรรยา ๕ คู่พี่น้องเมื่อหมดบุญ น้ำเต้านั้นก็ลอยจากสวรรค์ตกลงมาแตกบนโลก เทพทั้ง ๕ คู่จึงออกจากน้ำเต้าแล้วจึงแยกย้ายกันไปตั้งถิ่นฐานกลายเป็นคนไท เผ่าต่างๆ
ทางฝ่ายตะวันตกนั้นก็ เชื่อว่าโลกเกิดจากการรังสรรค์ของพระผู้เป็นเจ้า พระเป็นเจ้านั้นมิได้สร้างโลกเสร็จภายในวันเดียว หากแต่ใช้เวลา ๖ วันในการค่อย ๆสร้างโลกขึ้น
วันแรก พระองค์บันดาลแสงสว่างเกิดขึ้นแยกจากความมืด
วันที่สอง แยกท้องฟ้าและมหาสมุทรออกจากกัน
วันที่สามแยกพื้นพสุธาจากมหาสทุร หว่านพืชพรรณพฤษานานาบนผืนแผ่นดินนั้น
วันที่สี่ สร้างพระอาทิตย์ พระจันทร์และดวงดาว
วันที่ห้า สร้างสัตวืทะเลและนก
วันที่หก สร้างสิงสาราสัตว์ทั้งหลาย และท้ายสุดคือมนุษย์อย่างเรา ๆ
วันที่เจ็ด หลังจากเสร็จกิจก็ถึงเวลาพักผ่อน
ความเชื่อนี้ครอบงำฝังตัวในศาสนิกชาวคริสต์อย่างแน่นหนา ดังเห็นได้จากจิตรกรรมตะวันตกจำนวนมากมีเนื้อหาไม่พ้นเรื่องนี้ ที่โดดเด่นตรึงตาคนชิ้นหนึ่งคือจิตรกรรมเพดานชิ้นเอกของมิเกลันเจโลฝากฝีมือไว้ที่โบสถ์ซิสทีน
เมื่อโลกยังเยาว์ คนเราอาจซื่ออาจเขลาบ้าง แต่ก็มีความเชื่อเหมือนๆ กัน ฝันไม่ต่างกัน ไม่แตกแยกทางความคิด ความเป็นมิตรมีมาก แม้เป็นเรื่องคร่ำครึไปแล้ว แต่เมื่อหวนถึงแรกเริ่มของโลกลูกเบี้ยวๆ นี้ ความฝันนั้นยังเพลิดได้อยู่ :)
ไม่มีความเห็น