เด็กถูกทอดทิ้ง


เด็กถูกทิ้ง

                                                             เด็กถูกทอดทิ้ง

                                                                                                                                                                                   อภิเชษฐ ปานจรัตน์

                                                                                                                                                                             นักจิตวิทยาชำนาญการ

                                                                                                                                                          สถานสงเคราะห์เด็กอ่อนพญาไท

                                                                                                                                                                                      16 มิถุนายน 2552

 

        จากสภาพสังคมเศรษฐกิจในปัจจุบันเราต้องทำงานขยันมุ่งมั่นตั้งใจ เพื่อประกอบสัมมาอาชีพตามแต่ละคน ตามหน้าที่ ที่เราถูกกำหนดกันขึ้นมา รีบเร่ง รวดเร็วไฮสปีด (Industrial time) แทบตั้งสิ้นจน เรา หลงลืมความรู้สึกตามวิถีธรรมชาติ ความเป็นคนไทย ทุกอย่างเพื่อธุรกิจเพื่อประชาชนหรือเพื่อใคร ความมีน้ำใจระหว่างทางหดหายแทบทั้งสิ้นทุกอย่างเป็นไปตามหน้าที่ ที่ได้รับ ที่ถูกมอบหมาย จะต้องเข้าประชุมให้ทันเวลา จะมีเด็กหรือคนแก่ต้องการความช่วยเหลืออยู่ระหว่างทางก็ไม่สำคัญ เพราะมีคนทำหน้าที่ช่วยเหลือเด็กและคนแก่ อยู่แล้ว ไม่ใช่เป็นหน้าที่เพราะมีประชุมสำคัญรอเราอยู่

               ความจริงเราน่าจะทบทวน บทเรียนเหล่านี้กันใหม่ การปฏิวัติอุตสาหกรรมไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย ในยุโรปยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม 100 กว่าปีที่แล้วในอดีต ก็เคยเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้มาแล้ว ผู้คนตกเป็นลูกจ้าง (ทาส) ของโรงงานอุตสาหกรรมทำงานเหมือนเครื่องจักร ทำงานล่วงเวลาระบบการจัดการสมัยใหม่ ทุนนิยม ครอบงำ เวลาและเงินทองเป็นของสูงค่า ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา ชนชั้นนำในสังคมเราไม่ใช่ไม่รู้แต่อยู่ในฐานะได้เปรียบเป็นผู้กำหนดวงจรแห่งความชั่วร้ายนี้  “คนจนต้องทำงานหนักเหมือนวัวเหมือนควายเพื่อให้คนไทยบางส่วนและต่างชาติเอาส่วนเกินไป ประเวศ วะสี”

           จากความจริงดังกล่าวข้างต้นสิ่งที่หลงเหลือจากการตักตวงกอบโกยของระบบทุนนิยม ก็ทำให้เหลือซากปรักหักพังของสังคมเด็กคนชรา สตรีที่ช่วยตัวเองไม่ได้ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังเป็นภาระที่ยากจะกอบกู้ ซากปรักหักพังเหล่านี้ จะพบได้ง่าย ๆ ตามถนนหนทางต่าง ๆ โดยเฉพาะในเขตเมืองหลวง เช่น เด็กขายพวงมาลัย ขอทาน ทารกถูกทอดทิ้งตามที่สาธารณะ และการทิ้งหลังคลอดตามโรงพยาบาลต่าง ๆ ที่ถูกส่งเข้ารับอุปการะเลี้ยงดูอยู่ในสถานสงเคราะห์ทั้งของรัฐบาลและเอกชน ซึ่งแต่ละแห่งต่าง แข่งขันกันพัฒนาหน่วยงานให้มีศักยภาพในการดูแลเด็กจำนวนมาก (คล้ายฟาร์มอุตสาหกรรมเข้าไปทุกทีปัจจุบันฟาร์มไก่ขนาดใหญ่สามารถเลี้ยงไก่ได้ 8 แสน – 1ล้านตัวโดยใช้คนควบคุมเพียง 5- 10 คน) เหมือนเราไม่มีเป้าหมายเลยว่าจะมีโอกาสปิดสถานสงเคราะห์เพราะไม่มีเด็กไม่มีคนชราต้องการความช่วยเหลือจะไม่มีโอกาสปิดสถานสงเคราะห์ตามอย่างในยุโรป หรือใกล้บ้านเราอย่างประเทศออสเตรเลีย

               ที่กล่าวมาทั้งหมดก็ยังไม่ร้ายแรงเท่าการทอดทิ้งลูกโดยพ่อแม่ที่รักลูก เด็กที่ถูกส่งเข้ารับการเลี้ยงดูในสถานรับเลี้ยงเด็ก เนอสเซอรี่ ต่าง ๆ โดยมีราคาค่าเลี้ยงดูตามคุณภาพของการให้บริการ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง หลายที่หลายแห่งต่างแข่งขันกันมีการโฆษนาชวนเชื่อต่าง ๆ ให้เข้าใจถึงการ ให้บริการที่ดีมีคุณภาพสร้างเสริมสติปัญญามีของเล่นต่าง ๆ มากมาย มีภาษา ไทย ภาษาต่างประเทศต้องอีกราคาหนึ่ง การทอดทิ้งเด็กลักษณะนี้ถูกกฎหมาย ไม่ถูกประณามแม่ใจยักษ์ แม่ใจร้าย ทั้งที่ทิ้งไว้กับคนแลกหน้า ด้วยราคาแสนแพงหรือกับ คนต่างภาษาราคายิ่งแพงขึ้นไปอีกตั้งแต่วัย ยังไม่ถึงสองขวบ พ่อแม่ ได้แต่รอชื่นชมรอเปรียบเทียบว่าเด็กเรียนที่ไหนเก่งอย่างไร เก่งอะไร ยิ่งเก่งเร็วยิ่งดี ไฮสปีด จนเด็กโตมาในสังคมที่น่าจะเรียกว่าสังคม ไฮสปีด  คือเร็วเท่าไรก็ยังไม่พอต้องเร็วยิ่งขึ้นไปอีก น่าสงสาร เด็กในยุค “สังคมไฮสปีด”  ไอคิวสูง อีคิวดี ตามความคาดหมายทุกอย่างแสดงผลประมวลผลเป็นกราฟ เป็นสถิติที่ต้องเติบโตด้วยความคาดหวัง อย่างแรงกล้า จากพ่อแม่ของตัวเอง 

                  เด็กเหล่านี้ต้องการเพราะถูกจูงใจถูกเกลี้ยกล่อมลูกเก่งมาก ๆ เลย ลูกเรียนรู้เร็ว ลูกทำได้ พ่อเชื่อว่าลูกทำได้ ประโยคเหล่านี้ดูดีใคร ๆ ก็แนะนำลูกใคร ๆ ก็เป็นอย่างนี้ ก็เราอยู่ในสังคมแบบนี้ใครกำหนดใครได้ประโยชน์ เราหลงทางหรือเปล่า จริงแล้วเราไม่ได้หลงทางแต่เราอยู่ในวังวนของทุนนิยมที่ไม่มีทางออกไม่มีใครบอกไม่มีใครชี้ทาง  ตราบใดทีเด็กไม่ได้ถูกดูแลโดยพ่อแม่ตั้งแต่ ช่วงปฐมวัยของเด็ก เด็กขาดรัก ขาดความรักความอบอุ่น ขาดพ่อแม่ เหงา ท่ามกลางคนจำนวนมาก โหยหา แต่ไม่ได้รับการตอบสนอง ถูกฝึกเหมือนกองทหาร ตั้งแต่เป็นเด็กอ่อน มีทุกอย่าง มีพี่เลี้ยงที่พร้อมจะให้บริการ มีคนขับรถไปส่งโรงเรียนมีคุณครูอิมพอร์ต มีเทคโนโลยีไร้สายไฮสปีด ต่าง ๆ เว้นแต่พ่อแม่ ที่ ต้องเป็นเวลาหรือวันว่างจากธุรกิจไม่ใช่ตอนไหนก็ได้

              สภาพเหล่านี้ไม่ได้เขียนเกินความเป็นจริงเลยครับ เป็นอยู่จนเป็นธรรมดาเป็นปกติเช้าขึ้นมาเด็กก็จะถูกส่งไปทอดทิ้งไว้ที่สถานรับเลี้ยง เนอสเซอรี่ โรงเรียนอนุบาลต่าง ๆ ที่เราเห็นจนชินตา แต่หากเราคิดได้หรือจริงใจจะแก้ปัญหาเหล่านี้กันอย่างจริงใจ ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ อย่างน้อยเริ่มที่ตัวเรา หรือหากรัฐจะเข้ามาช่วยเหลือก็น่าจะต้องปลูกสร้างจิตสำนึกพ่อแม่ที่ต้องดูแลลูกด้วยตัวเอง กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จึงน่าจะเป็นแบบอย่างที่ดีส่งเสริมให้พ่อแม่ดูแลลูกด้วยตนเอง อย่างน้อยเด็กอายุแรกเกิด – อายุ 5 ขวบก็ไม่ควรต้องไปอยู่กับครูที่เนอสเซอรี่ สถานเลี้ยงเด็ก หรือ โรงเรียนต่าง ๆ พ่อแม่ควรได้รับการยกเว้นการทำงานให้ลูกได้ขี่หลังขี่คอ เดินเล่นกันยังดีกว่าของเล่นราคาแพงที่วางอยู่ตามเนอสเซอรี่ อินเตอร์หรือโรงเรียนอนุบาลเป็นไหนๆเด็กได้รับความรักความอบอุ่นความสุขอย่างแท้จริงเด็กจึงจะเกิดความเชื่อมั่นต่อสังคมต่อโลกจะสอนจะกล่อมเกลาอะไรจะดีเท่าพ่อแม่ได้สอนลูกด้วยตนเอง ความกตัญญูไม่ได้มาเพียงการให้เงินสิ่งของ แม้แนวคิดเราจะต้องต้านกับภาวะเศรษฐกิจกระแสหลักที่ไหลบ่ามากับสังคมไฮสปีดแต่โดยหลักคิดเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริซึ่งคนไทยควรยึดถือ อยุดคิดตั้งสติแล้วจะพบว่าทุกคนทำได้ปฏิบัติได้บรรพบุรุษของเราก็ทำกันมาช้านานได้ความสุขกันทั้งครอบครัวและจะแผ่ขยายไปสู่ชุมชนสังคมต่อไป เราอย่าให้สิ่งภายนอกมาจูงใจลูกต้องเก่งต้องดีกว่าใคร ๆ มาเป็นสิ่งล่อใจจูงใจให้เราหลงทางในขณะที่ลูกยังเป็นเด็กอ่อนการบังคับให้พ่อแม่เลี้ยงดูลูกด้วยตนเองอย่างน้อยถึงอายุสามขวบ ก็ยังดี โดยไม่ต้องถือเป็นรัฐสวัสดิการอะไร เพราะสัตว์ ยังเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง แล้วเราจะเอาอะไรมาอ้างว่าเราเหนือชั้นกว่าสัตว์ น่าจะพัฒนาให้สถานรับเลี้ยงเด็กมีมาตรฐานและห้ามรับเด็กก่อนอายุ 5 ขวบโดยเด็ดขาด (เพื่อให้พ่อแม่ได้ดูแลลูกด้วยตนเอง) เราต้องเริ่มต้นแล้วแม้มันจะสายเกินไป หรือเราจะต้องพร้อมรับกับยุวอาชญากร อาชญากรรมสมัยใหม่เช่นเด็กเอาปืนกลมือ มากราดยิงคนอื่นโดยไม่รู้สึกผิดบาปอย่างในอเมริกา เราพร้อมรับหรือไม่แต่เรื่องเหล่านี้จะมาเยือนเราในไม่ช้า

                  

 

หมายเลขบันทึก: 277045เขียนเมื่อ 16 กรกฎาคม 2009 15:10 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:45 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (9)

อภิเชษฐคะ

ได้อ่านข้อความของคุณอภิเชษฐ์โดยบังเอิญเพราะพยายามค้นหาข้อมูลของเด็กกำพร้าในเมืองไทย คลิกไป คลิกมา ก็มาเจอหน้านี้ ข้อความที่คุณเขียน เขียนได้ดีมากนะคะ อ่าน ๆ ไปแล้วรู้สึกเหมือนคล้าย ๆ กับมีคนมาเคาะที่ศรีษะของตัวเองแรง ๆ มาบอกความจริงที่ดิฉัน (และคนไทยส่วนมาก)ไม่อยากจะรับรู้ ไม่อยากจะได้ยิน ข้อความที่เขียนนี้ดีมากจริง ๆ นะค่ะ เพราะทำให้คิดสะท้อนถึงตัวเอง เป็นกระจกส่องตัวเองได้เหมือนกันว่า ใช้ชีวิตแบบไฮสปรีด คือเร็วเท่าไรก็ยังไม่พอ ต้องเร็วยิ่งขึ้นไปอีก (หาเงินได้เท่าไรก็ไม่พอ ต้องหาให้มากกว่าเดิมเข้าไปอีก....

ดิฉันมีพื้นฐานมาจากพ่อแม่แยกทางกันเมื่ออายุได้หนึ่งขวบ แม่ทิ้งดิฉันและน้องชายไว้กับปู่และย่าแล้วก็หนีออกจากบ้านไป ชีวิตในยามเด็กที่ครอบครัวแตกแยก โหดร้ายในระดับหนึ่ง แต่ดิฉันก็โชคดีได้เรียนจบปริญญาตรี .....ทำงาน.....เรียนต่อปริญญาโท....ตกงาน.....ไปเสี่ยงโชคที่ต่างประเทศ...ทำงานเป็นพนักงานเสริฟ...ได้แต่งงานกับคนต่างชาติ.... ชีวิตก็มีแค่นี้ บางครั้งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเราเกิดมาทำไม? และใช้ชีวิตไปวัน ๆ เพื่ออะไร บางครั้งก็คิดได้ว่าต้องปลูกฝังเมล็ดพันธ์ของการมองโลกในแง่ดี การฝึกเป็นคนที่มีความสุขอย่างง่าย ๆ การมีอารมณ์ขัน เป็นสิ่งที่ดีและมีประโยชน์มากกับตัวเอง การช่วยเหลือสังคมบ้าง ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ที่ดี พยายามยึดถือศีลห้าเป็นทางเดินของชีวิต เป็นสิ่งที่ควรจะทำอย่างสม่ำเสมอ

ขอให้คุณมีความสุข ความเต็มอิ่ม และผ่องใสแห่งจิตนะคะ ถ้ามีบทความที่คุณเขียนอีกกรุณาก็ส่งมาที่อีเมล์ข้างต้นจะขอบพระคุณมากนะคะ

Take care and all the bests

น้องแตนเองค่ะ อดีตพยาบาลเด็กอ่อนปากเกร็ด

อ่านบทความแล้วเห็นด้วยกับพี่ม๊ากกก เพราะเราเองหากมีลูกก็จะดูแลเองและเลี้ยงด้วยความรักความอบอุ่นอย่างดีที่สุด ก็เราทำเค้าเกิดมาแล้วนี่ต้องทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ (แต่น้องยังไม่มีลูกนะมีลูกยาก)บทความนี้อาจใช้อ้างอิงในผลงานที่จะไปเรียนต่อ ต่างประเทศนะ อยู่ในวงการดูแลเด็กมานานแม้จะเปลี่ยนอาชีพและตำแหน่งงานไปด้านธุรกิจสุขภาพและอาหาร แต่ยังเห็นปัญหาสังคมด้านเด็กถูกทอดทิ้งเป็นปัญหาที่ควรเร่งแก้ไขโดยอาศัยเครือข่ายการทำงานทั้งภาครัฐ เอกชน ชุมชน ต่อไป

ไว้น้องมีโอกาสจะกลับมารับใช้ชาติต่อไป ดีใจนะที่รู้จักกันพี่ทำหน้าที่ราชการนี้ได้ดีที่สุดแล้ว เป็นตัวอย่างให้คนอื่นๆได้พัฒนาด้านความคิดใหม่ๆ มิใช่อยู่แต่ในกรอบเดิมๆ

ด้วยความเคารพและนับถือ

น้องแตน

สิ่งที่ผมกังวลที่สุด คือ จะมีหน่วยงานใดไหม ที่จะนำระบบตู้เบบี้ แฮช (Baby Hatch) หรือตู้รับทารก (ถูกทิ้ง) จากประเทศญี่ปุ่นมาใช้เป็นเจ้าแรกในบ้านเรา

ผมว่าถึงตรงนั้นเมื่อไหร่ เราอาจจะได้เห็นจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้งหนึ่งในสังคมไทย

ผมเอาเรื่องนี้ไปบันทึกไว้นานแล้วที่
http://gotoknow.org/blog/preuyaihome/94814

 

หนูอยากสมัครเป็นพี่เลี้ยงเด็กที่นั้นไม่ทราบว่ารับไหมค่ะหนูสนใจที่จะเลี้ยงเด็กที่นั้นเขาน่าสงสารมากเหมือนหนูตอนเด็กเลยยังไงสนใจยังไงติดต่อได้นะค่ะ0810297784

แหม พี่เราเก่งจริง ๆ นับถือ

ได้อ่านข้อมูลที่ทางคุณอภิเชษฐเขียนแล้วอยากให้คนมาอ่านกันเยอะๆ จะได้ออกมาช่วยเหลือเด็กๆ เหล่านี้บ้าง น่าสงสารมากทีเดียว ดิฉันเป็นอีกคนที่คอยติดตามอ่านข่าวแบบนี้ แต่ต้องขอบอกว่าการประชาสัมพันธ์หรือข้อมูลข่าวสารน้อยมากๆ เลยทีเดียวค่ะ อยากให้ข้อมูลพวกนี้เข้าถึงประชาชนมากกว่านี้จะทำวิธีไหนก็ได้ เช่นให้สื่อทีวี วิทยุช่วยก็จะดีมากๆ เลยค่ะ ซึ่งคนไทยเราจริงๆ แล้วเป็นคนมีน้ำใจนะคะ ถ้าได้ข้อมูลพวกนี้มากๆ กว้างๆ เขาต้องออกมาช่วยกันแน่นอนค่ะ

อีกอย่างที่อยากจะขอเสนอแนะเพิ่มเติมคือ การปลูกจิตสำนึกให้คนรักและรับความเป็นจริง ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น หันหน้าเข้าหากันคุยกัน ปรับทุกข์และเพิ่มความสบายใจให้กัน และไม่มองการท้องไม่มีพ่อหรืออะไรก็ตามเป็นสิ่งที่น่าดูถูกหรือเสียศักดิ์ศรี ควรมีสมาคมหรือมูลนิธิอะไรก้ได้ที่คอยให้กำลังใจและคำปรึกษา คิดว่าปัญหาทิ้งลูกและเด็กจะน้อยลงมากๆ และอาจจะไม่มีอีกเลยค่ะ อยากช่วยเรื่องนี้มากๆ เพราะไม่อยากอ่านข่าวที่มีเด็กถูกทิ้งบ่อยๆ ค่ะ มันสะเทือนใจจริงๆ หากมีอะไรให้ช่วยประชาสัมพันธ์สามารถส่งเมล์มาได้ที่ [email protected] จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยสังคมค่ะ ถึงแม้ว้าจะเพียงเล็กน้อยก็ตาม ขอเป็นกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ด้วยค่ะ

ต้องการทราบรายละเอียดค่ะว่า ณ ที่เด็กกำพร้าสถานสงเคราะห์เด็กอ่อนพญาไทนี้ ยินดีรับให้คำปรึกษาแก่สตรีที่ตั้งครรภ์แล้วอยากเอาเด็กไว้แต่ยังไม่พร้อมที่จะดูแลเด็กไหมค่ะ

เนื่องจากตอนนี้อยู่ในระหว่างช่วงกำลังศึกษาอยู่ค่ะ จะทำไงดีค่ะ โปรดกรุณาช่วยเหลือด่วนๆๆๆ.....ค่ะ

เจริญ..คุณโยมหลวงพี่ได้อ่านข้อความของโยมก็รู้สึกดีมากๆนะ แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้โยมยังทำงานอยู่สถานเด็กอ่อนพญาไทเหมือนเดิมหรือเปล่า

ยังทำงานอยู่ครับพระคุณเจ้า

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท