โรคอ้วนขององค์กร


ทรัพยากรมนุษย์สามารถพัฒนาได้เสมอ ถ้าเราจัดโอกาส สิ่งแวดล้อม และเทคนิควิธีการให้เหมาะสม

โรคอ้วนขององค์กร

 

                ดิฉันได้มีโอกาสอ่านบทความแสดงความคิดเห็น เรื่อง  โรคอ้วนขององค์กร  ของผู้ที่ใช้นามปากกาว่า  ครูเฒ่า  ชาวเหนือ   จากวารสารดอกไม้วัยเยาว์  ฉบับประจำเดือนกรกฎาคม  แล้วเห็นว่าบทความดังกล่าว  สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของการบริหารงานในองค์กร  จึงได้คัดลอก  และสรุปข้อความบางส่วนมานำเสนอ  เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้ที่อยู่ใน

วงการครู หรือผู้ที่ประสบปัญหาคล้ายคลึงกัน ดังนี้

                ครูเฒ่า ชาวเหนือ   เล่าว่า เมื่อก่อนโรงเรียนของท่านมีครูเพียง  10  กว่าคน  อยู่ด้วยกันอย่างสบายใจ  มีอะไร

ก็ช่วยกันทำ  เพียงเอ่ยปากไหว้วานกันเท่านั้น  ทุกคนก็จะมาอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา  ช่วยกันทำอย่างพร้อมเพรียง 

ใครถนัดด้านไหนก็ช่วยด้านนั้นไม่เหมือนเดี๋ยวนี้  เอะอะอะไรก็ถามหาคำสั่ง  ไม่มีคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้บริหาร

ก็จะไม่ทำกัน”

                จากประเด็นดังกล่าวนี้จะเห็นได้ว่า  เมื่อก่อนขณะที่องค์กรโรงเรียนยังเล็ก ๆ ผอม ๆ การบริหารและการจัดกิจกรรมต่าง ๆ จะมีความคล่องตัว  บุคลากรมีความใกล้ชิดสนิทสนมกัน  ครูคนใดมีนิสัยอย่างไร   เก่งด้านใด  ดีไม่ดีอย่างไร  ก็จะรู้และมองเห็นกันได้ชัดเจน  เพราะได้พบปะเจอะเจอหน้ากันอยู่ทุกวัน        ไม่มีใครกล้าเกเรหลบงาน  หรือทำผิดกฎกติกา

ของสังคมครู  แต่ปัจจุบันโรงเรียนหลายแห่งกำลังประสบกับปัญหาโรคอ้วนขององค์กร  มีครูอาจารย์จำนวนเป็นร้อย 

หรือบางแห่งก็มากกว่าร้อย  ความสัมพันธ์ของบุคลากรจึงเป็นไปในกลุ่มย่อย  และไม่ทั่วถึง  บางคนไม่เคยได้ร่วมงานกันเลยเป็นปี ๆ  จึงไม่มีความคุ้นเคยสนิทสนมไม่รู้จักนิสัยใจคอกันเท่าที่ควร  จะรู้บ้างก็เพียงผ่านลมปากจากคนหนึ่งไปยัง

อีกคนหนึ่ง  ว่าใครคนไหนมีนิสัยอย่างไรจริงบ้างเท็จบ้างแล้วแต่เจตนาของผู้เล่า

                เมื่อองค์กรโรงเรียนอยู่ในสภาพอ้วน  บุคลากรมีมาก  บางโรงเรียนจึงแก้ปัญหาด้วยการแบ่งฝ่ายบริหารโดยการ

แต่งตั้งระดับผู้ช่วยผู้อำนวยการขึ้นมาหลายฝ่าย  เพื่อช่วยบริหารจัดการ  ซึ่งการแก้ปัญหาในลักษณะนี้จะเกิดผลดีก็ต่อเมื่อ

มีการวางระบบสายงานอย่างเป็นระเบียบชัดเจน  และยุติธรรมกับทุกฝ่าย  เพราะเมื่อมีการกระจายการบริหารจัดการออกไปหลายฝ่าย  แต่ไม่มีการควบคุมและจัดระบบให้เป็นระเบียบ  ก็จะทำให้องค์กรอ้วนเทอะทะเข้าไปใหญ่  ก่อให้เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย  เป็นมุ้งเล็กมุ้งใหญ่ขึ้นในโรงเรียน  เหมือนที่สื่อมวลชนชอบใช้เปรียบเทียบกับนักการเมือง  ยิ่งมีการแบ่งห้อง

แยกฝ่ายของแต่ละสายงานออกไปเป็นเอกเทศ  เช่น  ห้องธุรการ  ห้องแผนงาน  ห้องแนะแนว  และห้องสาระอื่น ๆ

อีกจิปาถะ  คิดดูเถิดว่าครูจะถูกแบ่งแยกออกเป็นกี่สายกี่กลุ่ม  เมื่อต่างคนต่างอยู่แบบกลุ่มใครกลุ่มมัน  มีความแตกต่างกันทางด้านความคิด  และอุปนิสัยใจคอ  ประกอบกับธรรมชาติของสังคมมนุษย์  ที่มักมองว่าการกระทำของคนส่วนใหญ่จะถูกต้องเสมอ  คนส่วนน้อยที่มีความคิดแตกต่างจะถูกมองว่าเป็นพวกขวางโลกอยู่ร่ำไป  ทำให้การดำเนินงานในองค์กรไม่ราบรื่นและเกิดความขัดแย้งระหว่างกลุ่มระหว่างฝ่ายอยู่ตลอดเวลา  นอกจากนี้การแย่งชิงฉกฉวยผลงานกัน  ก็ดูจะเป็นเรื่องธรรมดาในองค์กรโรงเรียนอ้วน  แถมบางรายผู้บังคับบัญชาก็รู้เห็นเป็นใจด้วย  แม้จะมีผู้ทักท้วงว่า  “ผลงานของคนนี้  คัดลอกของ

คนอื่นมา”  ผู้บังคับบัญชาก็จะตอบว่า      “เป็นเทคนิคของเขา”  ทั้ง ๆ ที่นโยบายระดับสูงระบุชัดว่า  ครูต้องเผยแพร่ผลงานของตนเอง

                มีเรื่องเล่าที่เกิดขึ้นในโรงเรียนอีกแห่งหนึ่งว่า  ครูน้อยส่งแผนการสอนต่อหัวหน้ากลุ่มสาระฯ   แต่หัวหน้า

กลุ่มสาระฯ คนนี้แหละ  ที่เคยคัดลอกแผนการสอน  และสื่อการสอนต่าง ๆ จากต้นฉบับเดิม      ที่เป็นแฟ้มสะสมงานของ

นักเรียนที่ครูลูกน้องเป็นผู้สอน  เอาไปประกอบเป็นผลงานของตนเอง  จนได้เป็นครูดีเด่นมาแล้ว   เมื่อเป็นเช่นนี้คิดดูเถิดว่า  จริยธรรมของครูจะอยู่ที่ไหน  ความเป็นธรรมจะมีหรือไม่         และลูกปูจะเป็นอย่างไร  ในเมื่อแม่ปูก็ยังเดินไม่ตรงทาง

                อีกตัวอย่างหนึ่ง  ครูเฒ่าเล่าว่า  เมื่อไม่นานมานี้มีคำสั่งให้สำรวจครูสอนเก่ง  สอนดี  โดยให้ทางโรงเรียนส่งรายชื่อครูวิชาละ  1  คน  แต่ปรากฏว่ามีบางโรงเรียนส่งชื่อครูไปหลายคนในวิชาเดียวกัน  ซ้ำร้ายยิ่งกว่านั้นคือ  มีการเปลี่ยนชื่อกันกลางทาง  ซึ่งหากเป็นจริงเช่นที่ว่านี้  ก็จะก่อให้เกิดความขุ่นข้องหมองใจอยู่ไม่น้อย  สำหรับผู้ที่ทำงานแบบตงฉิน

                เรื่องราวเหล่านี้ครูเฒ่าบอกว่า  ได้รับฟังมาจากการพูดคุยกับเพื่อนครูในโอกาสเข้ารับการอบรมบ้าง  บนโต๊ะอาหารบ้าง  จากครูที่เกษียณไปแล้วบ้าง  และจากการได้รู้เห็นในชีวิตประจำวันบ้าง  ซึ่งดูเหมือนว่า  นับวันอาการป่วยด้วยโรคอ้วนใหญ่โตเทอะทะขององค์กรโรงเรียนจะมีปัญหาเพิ่มมากขึ้น  ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การขับเคลื่อนโครงการต่าง ๆ ตามแผนปฏิรูปการศึกษา  ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า  

                จากบทความข้างต้น  ดิฉันมีความคิดเห็นว่าปัญหาทั้งหมดที่กล่าวมานี้  ยังไม่สายเกินไปที่จะแก้ไข  ถ้าผู้มีอำนาจ

ในการบริหาร  จะได้ปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินงานเสียใหม่  และแก้ไขพฤติกรรมอันไม่สมควรของบุคลากรในบังคับบัญชา  ให้สามารถทำงานร่วมกันเป็นทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ในแบบช่วยกันถ่อช่วยกันพาย  มิใช่อีกฝ่ายถ่อ    แต่อีกฝ่ายใช้เท้าราน้ำตลอด  หากรีบแก้ไขเสียตั้งแต่บัดนี้  เชื่อว่า  “ครูดีที่หนูรัก”  จะยังคงหลงเหลืออยู่    เพื่อกู้ศักดิ์ศรี  และเป็นพลังสำคัญในการปฏิรูประบบการศึกษาของชาติต่อไป   อย่าลืมว่าทรัพยากรมนุษย์สามารถพัฒนาได้เสมอ      ถ้าเราจัดโอกาส    สิ่งแวดล้อม     และเทคนิควิธีการให้เหมาะสม

หมายเลขบันทึก: 276499เขียนเมื่อ 14 กรกฎาคม 2009 18:11 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 มิถุนายน 2012 16:04 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (10)

เสาร์นี้คงตัองอ้วนกันหน่อยเพราะอาจารย์มาสอนตามปกติ

แวะมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ค่ะ

พี่ประเทืองคะ หนูโชคดีจังเลยที่โรงเรียนของหนูเป็นโรงเรียนขนาดกลาง มีคุณครูประจำการ 14 คน รวม ผอ. 15 คน ส่วนใหญ่ก็ช่วยกันทำงานดีค่ะ ก็เลยไม่มีประสบการณ์เรื่องโรคอ้วนในโรงเรียน แต่เด็กนักเรียนอ้วนนะ พอมีนะคะ น้องนางบ้านนาค่ะ

                 

ที่โรงเรียนของหนูก็เหมือนของน้องนางบ้านนาค่ะ องค์กรยังไม่อ้วนทำให้การบริหารงานยังคล่องตัวและก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกันดีค่ะ (โรคอ้วนขององค์กรคงเข้าตำรามากคนก็มากความนะค่ะ)

                                                

 

โครงสร้างองค์กร ยิ่งซับซ้อนเท่ไร ก็เหมือนคนอ้วนที่ขับเคลื่อนค่อนข้างช้า อย่างงี้ต้องเติมพลังด้วยอาหารเสริมให้ทั่วหน้าเลย ท่าจะดี

องค์กรอ้วนได้ แต่อย่าให้ตัวเองอ้วนลงพุงนะจ๊ะ

ขอบคุณพี่แอ๊ว น้องจิ๊บ น้องนางบ้านนา น้องเสงี่ยม อาจารย์เอก และคุณพิมพ์ฟ้า มากค่ะ ที่แวะมาเยี่ยมเยียน และร่วมแสดงความคิดเห็น

มาเยี่ยมชมผลงาน สมบูรณ์แล้วครับมีบทสรุปด้วย

แวะมาหาความรู้ค่ะ บทความของพี่มีประโยชน์จัง

ขอบคุณมากค่ะอาจารย์สำหรับคำชม มีกำลังใจขึ้นเยอะเลยค่ะ ขอบคุณน้องหน่อยด้วยนะคะที่แวะมาเยี่ยมเป็นประจำ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท