กลัวครู ครูน่ากลัวจริงหรือ?????


อ่านเจอจึงเก็บมาฝาก อยากให้หลาย ๆ คนได้อ่าน

บทความนี้ได้อ่านเจอมาผู้เขียน : ธิชา ชัยวรศิลป์ [email protected]  อ่านแล้วน่าสนใจจึงเก็บมาฝากในฐานะครูคนหนึ่ง และได้อ่านมุมมองของนักเรียนคนหนึ่งในอดีต อ่านแล้วได้ข้อคิดอะไรบางอย่าง "คิดอย่างนี้หรือเปล่านะทุกวันนี้เด็กจึงมีผลการเรียนที่ด้อยคุณภาพลงทุกวัน  เป็นเพราะครูต้องตามใจเด็กและเอาใจผู้ปกครอง"

    

 

บ่ายวันหนึ่ง ฉันนั่งอยู่ในรถแท็กซี่ที่ติดแหง็กอยู่ในซอยสยามสแควร์ ระหว่างกำลังมองออกนอกหน้าต่างดูอะไรเพลินๆ สายตาก็ปะทะเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนขอบทางเท้า เตรียมตัวจะข้ามถนน เห็นเพียงแค่วินาทีเดียวฉันก็จำได้ทันทีว่าเธอคือครูสมัยมัธยมที่ดุที่สุดคนหนึ่งในโรงเรียน

 เหตุการณ์หลังจากนั้นเกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติ และด้วยสัญชาตญาณ ฉันกำข้อมือ ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นแนบหน้าอก แล้วทิ้งตัวลงนอนตะแคงบนที่นั่งอย่างว่องไวประหนึ่งทหารตชด. เบี่ยงตัวหลบลูกระเบิด ความเคลื่อนไหวอันปุบปับฉับพลันของฉัน ทำให้คนขับแท็กซี่ที่กำลังนั่งทอดอารมณ์อยู่ ร้องออกมาด้วยความตกใจว่า เอิ๊บ!ฉันยอมตายดีกว่าที่จะให้เธอเห็น   มันต้องมีอะไรผิดปกติแน่หากคนที่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวทั้งวัยวุฒิและคุณวุฒิจะยังคงกลัวครูที่เคยสอนตอนเป็นเด็กได้ถึงขนาดนี้

 นึกว่าเป็นอยู่คนเดียว เมื่อไปเล่าให้เพื่อนฟัง เธอก็เป็นโรคกลัวครูเหมือนกัน โดยเฉพาะครูที่สอนตอนเด็กๆ ไม่เอา ไม่อยากเจอเธอทำหน้าย่นเหมือนเห็นแมลงสาบ มันกลัวฝังใจ

 เหตุผลนี้ไม่ผิดความจริงเลยแม้แต่น้อย ทุกวันนี้ฉันยังจำได้ดีถึงประสบการณ์ไม่น่าพิสมัยตอนเรียนชั้นอนุบาล 2 กับครูสาวที่หน้าบึ้งตึงอยู่เป็นนิจ และใจร้ายกับเด็กๆ ความรักและเมตตาถ้าพอจะมีอยู่บ้างในตัวเธอฉันก็ไม่เคยเห็นมัน ทุกวันฉันไปโรงเรียนด้วยความกลัวว่าอาจจะโดนเธอจับหักคอ และมักจะกลับบ้านมาบอกแม่เสมอว่าโดนครูหยิกและตีอีกแล้ว เป็นเรื่องแย่ที่เด็กวัย 6 ขวบจะต้องเผชิญกับความเครียดและความกดดันขนาดนี้ในโรงเรียน ฉันยังจำความกลัวที่มีต่อครูสอนวิชาภาษาอังกฤษในชั้นมัธยมได้ ด้วยความสัตย์จริง ฉันไม่เคยกลัวใครเท่านี้มาก่อน เธอมักจะตัวสั่นเทิ้มไปด้วยโทสะและแผดเสียงจนได้ยินไปทั้งตึก เธอทำให้นักเรียนรู้สึกเครียด ปั่นป่วนในช่องท้อง มีพลังอำนาจและน่ากลัวเสียยิ่งกว่าระเบิดขีปนาวุธ ฉันจำสิ่งที่เธอสอนไม่ได้เลย เพราะมัวแต่นั่งนิ่ง ไม่กล้ากระดุกกระดิก ไม่กล้าคิด ไม่กล้าหายใจ

 จากประสบการณ์ของตัวเอง ฉันเสียใจด้วยที่ไม่สามารถพูดได้ว่า ความเก่งของนักเรียนเป็นสัดส่วนผันตรงมาจากความดุของครู มันไม่เป็นความจริงที่เชื่อกันว่าครูยิ่งดุจะทำให้นักเรียนยิ่งเก่ง ในเมื่อได้แต่นั่งเรียนอย่างไม่มีความสุขเพราะความกลัวครู แล้วจะเรียนเก่งได้อย่างไร ตรงกันข้ามมันกลับเป็นผลร้าย พานทำให้เด็กเกลียดกลัววิชานั้นๆ หรือการเรียนหนังสือไปเลย ครูบางคนมิได้ตระหนักว่าในสายตานักเรียนพวกเขาเป็นเหมือนนายทหารเผด็จการในอาณาจักรเล็กๆ ที่เรียกว่าห้องเรียนนั้น กลายเป็นผู้คุมชะตาชีวิตของเด็ก มีสิทธิทำให้วันนั้นทั้งวันของเด็กคนหนึ่งกลายเป็นวันที่ดีหรือวันที่แย่ที่สุดก็ได้ มีสิทธิทำให้เด็กคนหนึ่งสอบผ่านหรือสอบตก หรือจะทำให้ตลอดชีวิตของการเป็นนักเรียนในโรงเรียนนั้นกลายเป็นนรกก็ย่อมได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น นี่เป็นเหตุผลที่ฉันไม่ชอบไปโรงเรียน แม้ว่าจะเป็นนักเรียนที่เรียนดีมาตลอดก็ตาม

 ฉันเห็นบรรดาครูในหนังฝรั่งแล้วก็นิยมในความเป็นกันเอง ไม่ถืออาวุโส และใจกว้าง บางคนกระโดดแผล็วขึ้นไปนั่งบนแท่นหน้าชั้นเรียน บรรยายบทประพันธ์น่าเบื่อของเชกสเปียร์ได้อย่างสนุกสนาน พลางกระตุ้นให้นักเรียนมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นถกเถียงกัน ชมเชยนักเรียนที่แสดงความคิดเห็น แม้ว่ามันจะฟังงี่เง่าปานใดก็ตาม นักเรียนถามคำถามยียวนลองภูมิก็ไม่โกรธ  หากนักเรียนไทยชูมือขึ้นแล้วพูดว่า ครูคะ หนูคิดว่ารามเกียรติ์เป็นบทประพันธ์ที่เหลวไหลสิ้นดีเธออาจจะต้องถูกครูจับไปขังไว้ในห้องน้ำ 3 วันเป็นอย่างน้อย และถูกเชิญผู้ปกครองมารับทราบข้อกล่าวหาว่าบุตรีของพวกเขาเป็นเด็กหัวรุนแรง

 น่าเศร้าที่ตลอดชีวิตการเรียนหนังสือ 16 ปีของฉัน การเรียนการสอนแบบนั้นไม่เคยเกิดขึ้นเลย

 ระบบการสอนแบบไทยเป็นการสอนแบบสื่อสารทางเดียว ไม่มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือกระตุ้นให้นักเรียนมีความคิด ปัญญาจึงไม่เกิด ผนวกกับครูบาอาจารย์ที่มีความเชื่อฝังหัวว่าการสอนที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือการทำให้นักเรียนกลัว ระบบการศึกษาของเมืองไทยจึงล้มเหลวโดยสิ้นเชิง

 ปีแล้วปีเล่าเราผลิตนักเรียนที่จำเก่ง แต่คิดไม่เป็น และขาดความคิดสร้างสรรค์ ท่องกิริยาสามช่องได้ฉาดฉานอย่างน่ามหัศจรรย์ แต่พูดภาษาอังกฤษไม่เป็น มีความเคารพครูบาอาจารย์ ทว่าเป็นความเคารพที่มาจากความกลัวเกรงประหนึ่งหนูกลัวแมว มิใช่เคารพเพราะความนับถือด้วยน้ำใสใจจริง ในฐานะเป็นครูที่เปิดกว้าง เป็นกันเอง และชนะใจเด็ก

 ในขณะที่กำลังมีการจัดการปฏิรูปการศึกษาครั้งใหญ่โดยการนำของท่านนายกฯ หัวสมัยใหม่ (ผมอยากให้ในสัปดาห์หนึ่งมี 2 วัน สำหรับให้นักเรียนออกไปทำกิจกรรมนอกห้องเรียน) เราน่าจะหันมาปฏิรูประบบการสอนด้วย การสอนหนังสือแบบปากว่ามือถึง ฟาดด้วยไม้ ถองด้วยศอก หยิกขา บิดแขน สอนไปเด็กน้ำตาไหลเปื้อนสมุดไป ทำร้ายนักเรียนทั้งทางร่างกายและจิตใจทั้งทางตรงและทางอ้อม ทำยังกับนักเรียนเป็นลูกไม่มีพ่อไม่มีแม่นั้น

 ควรจะจับโยนใส่ลิ้นชักลั่นดาลไปพร้อมกับสำนวน รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตีให้สาบสูญไปเสียที

 แหล่งอ้างอิง

หมายเลขบันทึก: 268387เขียนเมื่อ 15 มิถุนายน 2009 21:33 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 20:54 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)
  • ไม่จริงครับ
  • ใครว่าครูน่ากัว
  • (เด็กเดินมาชนโต๊ะครูตอนทำงาน ไปไกลๆเลยนะ
  • เด็กก้อมีท่าทาง )
  • ไม่มีแล้วครับแบบนี้ อิอิ
  • สมัยนี้
  • (เด็กเดินชนโต๊ะครู เอ่อ หนูจ๋าต้องเดินระวังๆหน่อยนะจ๊ะ  รอบที่สอง หนูต้องไปเล่นข้างนอกนะจ๊ะ ห้องนี้เราเข้ามาส่งงานแล้วต้องรีบออกนะจ๊ะ รอบที่สาม ช่วยเอาเอกสารนี้ไปให้ครูทั้งโรงเรียนเซ็นและพิจารณาด้วยนะจ๊ะ)
  • ก้อจะทำให้เด็กไม่กลัวครูดุอีกต่อไป 555
ครูห่วงศิษย์ตัวน้อย ๆ

กินของร้อน ใช้ช้อนกลาง ล้างมือ ห่างไกลไข้หวัด2009

เก็บข้อคิดดี ๆ สำหรับคุณครูมาฝากค่ะ  คลิกเข้าไปอ่านดู http://gotoknow.org/blog/council/270804

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท