ว่าด้วยเรื่องของ อัตตา และ อนัตตา


เดือนที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่ข้าพเจ้าและกัลยาณมิตรหลายคน  เข้าสู่บททดสอบอันสำคัญ  บททดสอบว่า  หลังจากที่พวกเราปฎิบัติสมาธิภาวนากันมาพักหนึ่ง  และได้พบครูบาอาจารย์สายต่างๆ ก็หลายท่าน  ที่ผ่านไปทั้งหมดนั้น  การภาวนาได้ทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง   หรือบางคนอาจจะถามแบบโลกๆว่า  ได้อะไรมั่ง  ???

การถามว่าได้อะไรบ้าง เป็นคำถามที่ตอบยากเป็นอย่างยิ่ง แถมบางคนที่สนใจใฝ่รู้ (แต่ไม่ยอมมาปฎิบัติด้วยกัน ) ก็ถามต่อไปอีกว่า ได้ขั้นไหน ใกล้จะเป็นพระโสดาบันกันรึยัง ?   แถมท้ายด้วยการถูกตอกย้ำอีกว่า ปฎิบัติธรรมแล้วไม่เห็นจะเปลี่ยนไปเลย ยังโกรธเหมือนเดิม แบบนี้มีประโยชน์อะไรเล่า  การได้ยินได้ฟังเรื่องแบบนี้เรื่อยๆ ทำให้ข้าพเจ้าคิดปรุงแต่งในใจว่า ผู้คนหลายส่วนต้องเข้าใจไปว่า การปฎิบัติธรรมควรจะทำให้เรากลายเป็นท่อนไม้  หรือไม่ก็ก้อนหิน  ที่ไม่รู้สึกรู้สมในเรื่องราวใดๆ อีก ใครจะด่าจะทำร้ายก็ไม่โกรธ   ยิ่งถึงขนาดไม่โต้ตอบอะไรใครเลย แม้จะถูกทำร้ายซึ่งๆ หน้า  ก็จะเข้าใจไปว่าคงใกล้เป็นพระอรหันต์ไปแล้ว   นับว่าเป็นการเข้าใจผิดไปหลายส่วน  การที่มีความเข้าใจกันไปว่า การปฎิบัติธรรมจะสามารถทำให้คนผู้นั้นกลายเป็นมนุษย์หุ่นยนต์ หรือกลายเป็นท่อนไม้ ไม่มีความรู้สึกอะไรอีกต่อไปแล้ว เป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก    ทั้งนี้เพราะเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องราวที่บางทีผู้วิจารณ์ก็ไม่ได้เข้าไปสัมผัสจริงๆ เนื่องจากว่าก็ไม่เคยไปปฎิบัติธรรมกับเขาสักที  แต่คาดเดาวิเคราะห์เอาจากสิ่งที่ตนได้อ่านมา  ได้รับฟังมาก็เท่านั้น แล้วก็ตัดสินเอาเองตามใจชอบ

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่ข้าพเจ้าจะสนใจสักเท่าไหร่  เพราะถ้ามีใครทักข้าพเจ้าว่า ทำไมยังโกรธยังหงุดหงิดอยู่  ข้าพเจ้าก็จะบอกว่าข้าพเจ้ากำลังอยู่ในระหว่างการเดินทางเพื่อปรับปรุงตัวเอง  ข้าพเจ้ารับรู้ว่าตนเองไม่ดีพอ ไม่มีวาจาอันไพเราะพอ และยังมีจิตใจที่โกรธคนนั้น ตำหนิคนนี้อยู่เป็นระยะๆ   หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ยังมีคำว่า ตัวกูของกู พอกหนาอยู่มากมายหลายชั้นมาก และข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้ก้าวหน้าไปทางไหน  ยังเดินเวียนไปวนมาอยู่  แต่ก็กำลังเดินไปเรื่อยๆ

เหตุเพราะวิชาของพระพุทธเจ้าคือวิชาว่าด้วยการสลายตัวตน  ตราบใดที่เราผู้ปฎิบัติยังมีความรู้สึกมีตัวตนหรือมีอัตตาอยู่ ก็เป็นที่ชัดเจนว่า เรายังไม่ไปถึงไหน   ในภาษาท่านพุทธทาสแล้ว  ท่านกล่าวว่า ตัวกูของกู  นั่นแหละเป็นเหตุแห่งความวุ่นวายของทุกสิ่ง  ดังนั้นสิ่งที่ท่านเน้นย้ำก็คือ เน้นเรื่องการละทิ้งตัวตน หรืออัตตา นั้นเสีย

ดังนั้นคำว่าอัตตา หรือตัวตน จึงเป็นคำที่เข้าใจได้ไม่ง่ายนัก ทั้งในภาษาธรรมและภาษาโลก  แถมในทางธรรม ก็มีการโต้เถียงกันเรื่อง อัตตา และอนัตตา กันอย่างกว้างขวาง และที่สุดของการโต้เถียงกันก็คือ นิพพาน เป็นอัตตา หรือ อนัตตากันแน่  สำหรับข้าพเจ้าแล้วไม่สามารถมีความคิดเห็นอะไรมากมายนัก เพราะข้าพเจ้าก็ยังอยู่ในชั้นต้นของการเรียนรู้ในพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์  คำว่า อัตตา อนัตตา และนิพพาน จึงเป็นคำสูงส่งสำหรับข้าพเจ้า ข้าพเจ้ากำลังอยู่ในระหว่างการเรียนรู้ทั้งสามคำนั้นอยู่  โดยเฉพาะคำว่า นิพพาน เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้า  ไม่คิดว่าตนเองจะเดินไปถึงด้วยซ้ำ 

เมื่อสองปีก่อน ตอนที่ข้าพเจ้าเข้าสู่การฝึกปฎิบัติสมาธิภาวนาเป็นครั้งแรก  ท่านอาจารย์ที่ศูนย์วิปัสสนาเชียงใหม่สอนว่า  สำหรับผู้เข้าสู่เส้นทางนี้ จุดหมายสูงสุดคือการถึงซึ่งพระนิพพาน  พอได้ยินดังนั้นข้าพเจ้าก็รู้สึกว่า ตนเองนั้นคงไม่มีบุญวาสนาเป็นแน่  เพราะยังไม่ได้ก้าวเดินอะไรสักก้าว แถมที่ไปครั้งนั้นก็ไม่ได้คิดไปไกลถึงขนาดว่าจะไปถึงซึ่งนิพพาน   เพราะเพียงหวังจะเรียนรู้คุณค่าและความหมายของการมีชีวิตและ การใช้ชีวิตเท่านั้น  ข้าพเจ้าไม่คิดเป็นจริงเป็นจังที่จะไปไกลถึงขนาดนั้น  แม้แต่การหวังจะได้เป็นพระโสดาบันก็ไม่คิดอีกเหมือนกัน แถมตอนนั้นก็ไม่รู้หรอกว่าพระโสดาบันนั้น แตกต่างจากคนทั่วไปอย่างไร

มีผู้รู้กล่าวว่า แดนนิพพาน นั้นคือความสุข ใครที่ได้ไปที่นั่นจะมีแต่ความสุข  ข้าพเจ้าอดนึกสงสัยในใจไม่ได้ว่า ก็ไหนมีคนบอกว่า การเป็นเทวดาอยู่บนสรวงสวรรค์นั้นมีความสุขอย่างยิ่ง  ยังมีที่สุขยิ่งกว่าที่นั่นอีกหรือ  อย่างไรไม่รู้จนบัดนี้ข้าพเจ้าก็ไม่คิดอยากไปเกิดเป็นเทวดา และไม่คิดจะไปแสวงหาที่บรมสุขแห่งไหน แม้จะกล่าวกันว่าเป็นแดนพระนิพพานก็เถอะ  แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าสนใจก็คือ การไปแล้วไม่กลับมาอีกต่างหาก 

สองปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้ารับรู้ว่า  ตนเองนั้นยังเวียนวนอยู่ในความทุกข์ความสุข   และที่ตั้งแห่งทุกข์และสุขนั้นก็คือการที่ข้าพเจ้ามีอัตตาตัวตนนี่เอง  ผู้รู้อีกท่านหนึ่งกล่าวว่า นิพพานคือการดับไปตลอดกาลและจะไม่มาอีก พอได้ยินดังนั้นข้าพเจ้ารู้สึกดีๆกับเรื่องนี้มาก  เพราะตรงกับที่ข้าพเจ้าประสงค์ไว้ในใจ ข้าพเจ้าไม่คิดจะมาอีก ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าเบื่อโลก และกำลังทุกข์หนัก แต่ข้าพเจ้ามองเห็นว่า การดับไปแห่งเราก็คือการไม่ต้องมาเวียนวนอยู่ในความสุขความทุกข์นี้อีก  แถมข้าพเจ้ามองไม่เห็นสาระของการมาอีกครั้ง ไม่ว่าจะมาในสถานะไหนก็ตาม ดีเลิศอย่างไรก็ตาม  เพราะบัดนี้ข้าพเจ้ามองเห็นว่าชีวิตนั้นคือทุกข์  ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน ไม่มีอะไรคงอยู่ได้  ทุกสิ่งคือการแปรเปลี่ยนและแปรปรวนอยู่ตลอดเวลา  และการยึดติดในทุกสิ่งคือเหตุแห่งทุกข์  และการยึดติดที่รุนแรงและเป็นเหตุแห่งทุกข์ทั้งหลาย คือการยึดติดในตัวตน ยึดติดในตัวกูของกู อย่างที่ท่านพุทธทาสกล่าวไว้นั่นเอง

เดือนที่ผ่านมา  ข้าพเจ้าและกัลยาณมิตรได้พบกับครูบาอาจารย์สายการปฎิบัติท่านหนึ่ง ท่านเป็นที่รู้จักของชาวไทยใหญ่ รวมทั้งท่านอาจารย์ ดร.สนอง  วรอุไร  ก็ได้กล่าวถึงหลวงพ่อรูปนี้ในการบรรยายของท่านที่แม่ฮ่องสอนในครั้งล่าสุดด้วย   กล่าวกันว่าหลวงพ่อเป็นผู้บรรลุธรรมขั้นสูง  นามท่านคือ หลวงพ่อธี วิจิตตธมโม หรือพระราชวังสะ ในภาษาไต  เพราะด้วยเหตุและปัจจัยอะไรบางอย่าง หรือจะเป็นความบังเอิญก็แล้วแต่  หลวงพ่อธีได้เดินทางมาแม่ฮ่องสอนเพื่อสอนภาวนาให้ญาติโยมที่สนใจ  และท่านก็มาพำนักอยู่ที่วัดกลางทุ่ง ซึ่งอยู่ใกล้โรงพยาบาลนี่เอง การไปที่วัดนี้เราสามารถเดินไปได้โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที ข้าพเจ้ากับกัลยาณมิตรที่สนใจก็ไปกราบท่าน และไปนั่งสมาธิกับบรรดาญาติโยมทั้งหลาย  เราจะไปที่วัดกันหลังเลิกงาน 

ในเวลาประมาณหกโมงเย็น   เราก็จะไปที่วัดดังกล่าว ไปนั่งสมาธิ ไปฟังธรรมบรรยายของหลวงพ่อในภาษาไต แต่มีพระผู้ติดตามหลวงพ่อเป็นผู้แปลให้ฟังในภาษาไทยกลางอีกที   สิ่งที่หลวงพ่อสอนก็คือ  ธรรมะว่าด้วยเรื่องของอนัตตา   สิ่งที่ท่านสอนก็คือวิชาว่าด้วยการดับสลายตัวตน (อัตตา) และให้เรามองเห็นสิ่งจริงแท้ว่า ทุกสิ่งเป็นอนัตตา   ข้าพเจ้าว่านี่เป็นธรรมะขั้นสูงที่หลวงพ่อเน้นย้ำ  และเป็นสิ่งที่เราผู้ปฎิบัติรับรู้ว่า ยากยิ่ง  ท่านกล่าวว่านี่คือเส้นทางเดินสู่พระนิพพาน  อย่างไรไม่รู้คำสอนของหลวงพ่อธี ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงท่านพุทธทาส เพราะสิ่งที่ท่านเน้นย้ำคือสิ่งเดียวกัน   เพราะเรามีอัตตาเราจึงทุกข์ ให้หาอนัตตาให้พบแล้วเราจะรอดจากความทุกข์ทั้งปวงอะไรทำนองนั้น

หลังกลับมาจากการภาวนาและนั่งสมาธิอันยาวนานประมาณครั้งละชั่วโมงครึ่งเป็นอย่างน้อย และทำติดต่อกันเป็นเวลาสักสองสามวัน   ข้าพเจ้าและกัลยาณมิตรก็พบว่า เรานั้นต่างยังมีอัตตากันอย่างท่วมท้น  ตัวกูของกูนั้นยิ่งชัดเจนขึ้น  แล้วเราก็มีอาการจิตตกกันไม่น้อยเมื่อพบว่า  เราก็ยังไม่เห็นอนัตตาที่หลวงพ่อให้มองหา  ยิ่งมองยิ่งปฎิบัติก็มีแต่อัตตาและอัตตาที่ผุดขึ้นมาให้รับรู้   เราจึงยังไม่ไปถึงไหน จริงๆ

การดับสลายซึ่งตัวตนหรืออัตตา เป็นเรื่องที่ยาก เพราะเราทั้งหลายนั้นถูกห่อหุ้มปรุงแต่งให้เกิดอัตตาตัวตนมาแต่เล็กแต่น้อย  เรายึดติดกับชื่อ นามสกุล ที่เป็นสมมุติบัญญัติในทางโลก ยึดติดกับสถานะทางสังคม  ศักดิ์ศรี เกียรติยศ เราต่างสะสมและมีตัวกูของกูมาแต่อ้อนแต่ออก  การสลายความยึดติดนี้จึงยากยิ่งกว่าสิ่งใด  เพราะเรายังมีคำว่าตัวกูของกู เราจึงมีความคิดเห็นของกู ศักดิ์ศรีของกู และมีอะไรของกูอีกมากมาย  ข้าพเจ้าว่านี่คือปัญหาใหญ่สุด 

น่าจะเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปแล้วว่า  ดัชนีชื้วัดว่า ใครก้าวหน้าทางธรรมมากน้อยแค่ไหน ก็คือการหมดไปซึ่งอัตตาตัวตนนี่เอง  ไม่ใช่เรื่องการได้ฌานขั้นไหน  อย่างไร หรือมีอภิญญาแค่ไหน  ผู้ที่บรรลุธรรมระดับสูง คือผู้ที่มีการดับไปสิ้นซึ่งอัตตาตัวตน ท่านเหล่านี้จึงไม่มีข้อเปรียบเทียบ หรือมองอะไรแบบทวินิยม  เพราะท่านไม่มีตัวตนที่จะไปเปรียบเทียบกับใครหรืออะไร  ท่านมองเห็นทุกสิ่งเป็นหนึ่งเดียวกัน  นั่นคือท่านเห็นอนัตตานั่นเอง  ในความเห็นของข้าพเจ้า อนัตตาจึงไม่ใช่ความว่างแบบโลกๆ  ไม่ใช่การไร้ซึ่งตัวตนที่คิดเห็นกันแบบโลกๆ  แต่เป็นการเห็นแจ้งว่าตนนั้นเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่งทั้งมวล  นี่ไม่ใช่ความว่างแบบที่คนทั่วไปเข้าใจจากการคิดแบบโลกแห่งสมมุติบัญญัติ  เพราะความว่างนี้   มันคือความว่างจากการอยู่แบบปัจเจกและว่างจากการอยู่อย่างเอกเทศโดยไม่ข้องเกี่ยวกับใครหรือสิ่งใด    ไม่ใช่ว่างเปล่าหรือไม่มีอะไร แบบที่คิดเห็นกันในปุถุชนทั้งหลาย

หลวงปู่ติช มักกล่าวถึงคำว่า Interbeing  ท่านเน้นย้ำเสมอถึงคำนี้ "ไม่มีเธอไม่มีฉันเราเป็นดั่งกันและกัน "  ท่านพยายามสอนและเน้นให้เราเข้าใจในคำนี้   และข้าพเจ้าเพิ่งประจักษ์แจ้งแก่ใจว่า  หลวงปู่ติช นัท ฮันห์ ท่านมองเห็นความสืบเนื่อง  ท่านมองเห็นความว่าง และท่านมองเห็นอนัตตา   แม้จะด้วยคำพูดและความหมายแบบเซนมหายาน  แต่เนื้อหานั้นคือเรื่องเดียวกัน 

และเมื่อพูดด้วยภาษาแบบวัชรยานที่ว่า  นิพพานและสังสารวัฎไม่แยกขาดจากกัน  ก็คงด้วยความหมายนี้  ความหมายที่ว่าของคู่ตรงข้ามได้รวมเป็นหนึ่ง    ทุกๆสิ่งพ้นไปจากโลกสมมติบัญญัติ  หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว และเป็นอนัตตา

คำสำคัญ (Tags): #อนัตตา#อัตตา
หมายเลขบันทึก: 267272เขียนเมื่อ 10 มิถุนายน 2009 22:09 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 20:53 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

ตามมาเรียนรู้ธรรมครับ

ขอบพระคุณครับ

สาธุครับกับการแลกเปลี่ยนทางธรรม

เห็นด้วยครับที่ผู้ปฏิบัติธรรมไม่ใช่หุ่นยนต์ ถ้าไม่มีความรู้สึกก็น่าจะเป็นการกดข่มไว้

จากความเข้าใจของผมและที่ได้ร่ำเรียนจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์

ผู้ปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ไม่ โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ท่านอาจจะโลภ โกรธ หลง แต่อาจจะอยู่ทางใจเป็นหลัก ไม่โพ่งมาทางกาย วาจา เพราะถือศีล 5 เป็นหลักประกัน

และท่านเหล่านั้นไม่เอา ไม่ยึด

แต่ถ้ายังอยู่ในขั้นเริ่มต้น ก็ให้รู้สึกตัว มีสติรู้ทันการเปลี่ยนแปลงของกาย ของใจ

รู้จนเห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปของกายของใจ

จนจิตเริ่มจำสภาวะ สติเริ่มเกิด ปัญญาจะตามมาและแก่รอบไปเรื่อยๆครับ

แล้วกายกับใจก็จะวาง ลดละอัตตา ไปทีละขั้น ทีละขั้นครับ

สร้างเหตุให้ถึงพร้อม ผลจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ครับ

สวัสดีครับ

มาอ่านเเล้ว 1 รอบ ยังย่อยไม่หมดครับ

ขอเก็บแบบเร็วๆ

และสะท้อนความคิดหลังอ่านแบบเร็วๆครับ...ดังนี้

    -  อนัตตา...ใช่แล้วครับเป็นสภาวะธรรม ที่เรายังไม่อาจจะรู้

             แต่ก็อาจจะพบแบบเเว๊ปๆ  ได้ บางครั้ง...

    - ยิ่งดู ยิ่งภาวนายิ่งเห็นอัตตา  เห็นกิเลส ในจิต

           ... จริงเช่นนั้นครับ  แต่ตอนแรกเราอาจจะหวั่นไหว ตกใจ

           ...อาจจะท้อแท้  แต่ถ้าดูไปสักพัก  ก็จะมีบางสิ่งตามมา

             และเปลี่ยนแปลงไป

    - สิ่งที่วัดผลการปฏิบัติได้ดีที่สุดคือ(ได้จากครูอาจารย์+และพี่ๆ)

         ...คือ ความโกรธ ความโลภ ความหลงที่ลดลงครับ

         ...ดังเช่นวานนนี้พี่พยาบาลท่านหนึ่งซึ่งเป็นสหายธรรม  เล่าว่า 5 เดือนที่ผ่านมานี้เกิดความก้าวหน้ามาก  เปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เร็ว  ท่านไม่ทราบว่าเพราะอะไร(หรือเพราะไปถ้ำจักตอก...)

     ...แต่ที่ชัดก็คือความนิ่งต่ออารมณ์ที่ปรากฏ  ไม่ยึดติดหลายๆเรื่องเช่นความสวย ผม(จริงๆพี่ท่านนี้งามในทางแบบโลกพอควร^_^)

 

     - ผมเข้าใจว่าทุกประสบการณ์  ทุกความคิด  ทุกเรื่องรายที่ปรากฏต่อรูปนามนี้  ของแต่ละรูปนามนั้น  ทั้งที่ผ่านมา  ตอนนี้  และในอนาคต  มันน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของวิถีแห่งการภาวนา  วิถีแห่งการเปลี่ยนแปลงภายในครับ

 

          อะไรจะเกิดขึ้น หรือปรากฏต่อจิต  สิ่งที่ผมเข้าใจได้บ้างตอนนี้คือ การรู้...แล้วมองถึงความเปลี่ยนแปลง เกิดดับ เป็นทุกข์(อิงสัญญาหรือความจำเล็กน้อย ^_^)..

 

     - ทุกวิถีของผู้เริ่มต้นที่กำลังคืบคลานแบบช้าๆเช่นผมเองนั้น  กำลังมุ่งตรงสู่การเจริญสติครับ   เชื่อว่าเส้นทางสายนี้น่าจะนำพา  สภาวะที่เราอาจจะไม่รู้  ไม่เคยสัมผัส  หรือเป็นสภาวะที่มีอธิบายไว้มากมายจนทำให้ผู้คนถกเถียงกัน  แบบปลาที่อยู่ในทะเลแล้วว่ากันด้วยเรื่องป่าและชีวิตบนบก......

 

       อย่างน้อยๆ  การคืบคลานแบบช้าๆนี้  ก็อธิษฐานจิตไว้ให้ถึงซึ่งการตื่นรู้  การรู้สึกตัวอย่างต่อเนื่อง  และการรู้ การเห็นว่ารูป-นามนี้ไม่ใช่เรา  และใช่เขา...

 

     ผู้เดินทางเท่านั้นที่จะรู้และเห็นได้  ดังเช่นผมตอนนี้เห็นแต่ตัวกูของกูอยู่เต็มไปหมดในจิตนี้ที่เกิดดับทุกขณะครับ

ขออนุโมทนาบุญอย่างยิ่งกับกุศลในการเจริญภาวนาครั้งนี้ของทุกๆท่านที่แม่ฮ่องสอนครับ...(เผื่อถึงน้องหมอที่ปายคือผมและพี่อ๊อดด้วยนะครับ  อัตตามันขอครับ...^_^)

แก้ครับ ....และไม่ใช่เขา

เราก็ต้องเดินทางไปเรื่อยๆ ให้รู้ให้ดู ไปนะคะ

ธรรมะของหลวงพ่อธี เป็นแก่นที่สูงสุดจริงๆ ...ตามความเข้าใจ(ของหนู)เช่นเดียวกับพระอาจารย์ ปราโมทย์ ยิ่งฟัง CD และนั่งคิด นั่งดู ไปเรื่อยๆ มันยิ่งแท้ และแน่นอน

สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ ให้ได้มรรคญาณ ถึงซึ่งพระนิพพาน ให้เห็นอนัตตา ...

ตอนนี้ดูจิตที่ไม่ชอบใจที่ไม่ได้ไปขุนยวม สัปดาห์หน้า เพื่อปฏิบัติกับหลวงพ่อธี มากๆ เลยค่ะพี่

วี

สวัสดีค่ะคุณเด็กข้างบ้านnatadee & คุณวลัยลักษณ์

ขอบคุณที่แวะมาอ่านเรื่องราวที่ blog. นี้ค่ะ 

สวัสดีค่ะคุณphornphon

ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมเยือนกันอีกครั้งนะคะ  เห็นด้วยกับที่กล่าวมาทุกประการค่ะ  สร้างเหตุให้ถึงพร้อมผลจะเป็นอย่างไร ค่อยว่ากันอีกที  ตอนนี้ก็ตามดูอัตตาตัวตน ที่เกิดขึ้นไปเรื่อยๆอยู่ค่ะ  แม้จะไม่ค่อยชอบใจสักเท่าไหร่ก็ตาม 

น้องkmsabai

อยากมีโอกาสดีๆ ที่จะได้สนทนาธรรมกันยาวๆ สักครั้ง ร่วมทั้งได้พูดคุยกับท่านสมคบบ้าง  แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ท่านสมคบจะมีเวลาให้.. ท่านสมคบมาจังหวัดทีไร ก็ไม่คิดจะมาทักทายกันสักหน่อย เผื่อจะได้ทานข้าวกันสักมื้อ  ที่จริงเดือนนี้น่าจะมีโอกาสไปเยือนปาย แต่จัดสรรเวลาไม่ได้   คงต้องเป็นเดือนหน้าแล้วล่ะ

น้องวี

ก่อนจะไปถึงซึ่งนิพพาน  ขอให้มีความสุขระหว่างเดินทางด้วยจ้า  ดีใจด้วยจริงๆที่ได้ไปปฎิบัติกับหลวงพ่อธีมากกว่าคนอื่นๆ  พี่รู้สึกเสียดายอยู่เหมือนกัน  ที่ได้ไปปฎิบัติกับท่านน้อยวันไปหน่อย  ทำงานด้วยแว่บไปปฎิบัติด้วย  เหนื่อยดีแท้

สวัสดีค่ะคุณสามารถ

ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมเยือนที่ blog. นี้ค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท