เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2548 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ครม. เพื่อพิจารณาเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นในเวลา 6 เดือน และได้แถลงต่อสื่อมวลชนในงานกาล่าดินเนอร์ 72 ปี มงฟอร์ด ในคืนวันเดียวกัน โดยมีสาระสำคัญดังนี้ <p> </p>1.ปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการ 5% โดยเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม 2548 <p> </p>2.ปรับขึ้นเงินบำนาญ 5% <p> </p>3.ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ โดยให้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการค่าจ้าง <p> </p>4.เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ <p> </p>5.เร่งรัดการจ้างงานระยะสั้น <p> </p>6.ยกเลิกการชดเชยน้ำมันดีเซล ในส่วนที่กองทุนน้ำมันแบกรับที่ลิตรละ 1.36 บาท ซึ่งจะทำให้ น้ำมันดีเซลขึ้นราคาอีก 90 สตางค์ต่อลิตร มีผลตั้งแต่เวลา 06.00 น. ของวันที่ 13 ก.ค. 48 ในส่วนของการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำนั้น อาจปรับเพิ่มอีกวันละ 6 บาท ในขณะที่ผู้ใช้แรงงานเรียกร้องให้เพิ่มจาก 175 บาท เป็น 233 บาท (เขตกรุงเทพฯและปริมณฑล) ซึ่งนายกรัฐมนตรีขอให้รอการพิจารณาของคณะกรรมการค่าจ้าง ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2548 อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีได้ขอให้ประชาชนอย่าตกใจต่อภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน โดยอ้างว่ายังไม่ถึงขั้นวิกฤต เพราะการส่งออกโตถึง 18% <p> </p>การว่างงานลดลงเหลือ 2.29% หนี้เสียในสถาบันการเงินลดลงเหลือ 10.9% การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเพียง 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ รัฐบาลจึงต้องเติมเงินในกระเป๋าให้ประชาชน และขอให้ประชาชนลด รายจ่ายที่ไม่จำเป็นในภาวะน้ำมันแพง โดยจะเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำภายในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ และจูงใจให้ภาคธุรกิจเพิ่มเบี้ยยังชีพแก่ลูกจ้างที่เงินเดือนน้อย โดยใช้หลักเดียวกับภาครัฐ ใครเงินเดือนไม่ถึง 10,000 บาท ให้เพิ่ม 1,000 บาททุกคน เพิ่มแล้วยังไม่ถึง 7,000 บาท ก็ให้ปรับเป็น 7,000 บาทขั้นต่ำ เงินส่วนที่เพิ่มให้นายจ้างนำไปลดหย่อนภาษีได้ในอัตรา 150% <p> </p> ถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรีแม้จะมุ่งนำเม็ดเงินออกสู่ตลาดให้มากที่สุดแต่ในเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำนี้ ท่านจะมีบารมีโน้มน้าวให้นายจ้างเห็นด้วยและปฎิบัติตามได้แค่ไหนนั้น ยังไม่มีใครทราบ เพราะธุรกิจของนายจ้างมีหลากหลายประเภทและหลายระดับ ความสามารถในการจ่ายของนายจ้างจึงแตกต่างกัน รวมทั้งการขึ้นค่าจ้าแต่ละครั้งหากมีอัตราเร่งมากและเร็วเกินไป จะมีผลกระทบต่อโครงสร้างค่าจ้างโดยรวม รวมถึงเงินเฟ้อและค่าครองชีพที่สูงขึ้นด้วย<p> </p>