จากการอ่านหนังสือเล่มนี้ทำให้เรารู้จักหยุดพัก รู้ว่าเราควรผ่อนคลายบ้างบางโอกาส บางครั้งเราอาจจะหักโหมกับตัวเองมากเกินไปในการทำงาน มีหลายสิ่งหลายอย่างเหลือเกินที่คาดหวังจากเรา และการจะทำให้สำเร็จตามความคาดหวังเหล่านั้นมักสร้างความกดดันให้แก่เรา เราต้องการให้ผู้อื่นมองว่าเราเป็นผู้มีความสามารถ ดังนั้นเราจึงต้องทำให้ได้ความทะเยอทะยานอยากของตัวเอง งานท้าทายที่ซับซ้อน การตัดสินใจที่เสี่ยง และอื่น ๆอีกมากมาย อาจทำเราก้าวเดินอย่างเร่งรีบจนเกินกำลังไปก็เป็นได้ หนังสือเล่มนี้แนะนำให้เราเพลามือลงเสียบ้างให้เราทำอะไรๆ ให้ช้าลง และปฏิบัติต่อตนเองด้วยความเหมาะสม การกระทำขั้นพื้นฐานเป็นฐานเพื่อแสดงความอ่อนโยนต่อตัวเราเองอาจเป็นเพียงการ “หยุดพักดื่มน้ำชาสักถ้วย” เราสามารถทำอย่างนั้นได้แน่นอน เราทำอะไรๆให้ช้าลงและให้โอกาสแก่ตัวเองได้มองเห็นโลกที่อยู่รอบ ๆ ตัวเราโดยไม่ต้องมีระเบียบวาระใด ๆ การหยุดดื่มชา การเดินทอดน่องไปตามสวนสาธารณะ หรือเวลาพักสักครู่หนึ่งที่เครื่องทำน้ำเย็น การอ่อนโยนต่อตัวเองในระดับที่พื้นฐานที่สุดเชิญชวนให้เราตั้งใจที่จะถอยห่างออกมาจากความเร่งรีบของการทำงาน และเพลิดเพลินไปกับความสุขที่แสนจะเรียบง่ายของการมีชีวิตอยู่
การเป็น “ผู้ตื่น” ทำให้เรามองเห็นงานเป็นเสมือนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณของเราด้วย แทนที่จะมองว่านั่นเป็นเพียงบัตรบันทึกคะแนนที่ใช้วัดความสำเร็จ (SCORECARD) เรากำลังจะประสบความสำเร็จอย่างมากในการทำงาน แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ เรากำลังจะทำในสิ่งที่ผิดพลาดด้วยเช่นกัน มันอาจเป็นความผิดเล็กๆที่พอแก้ไขได้ หรือเป็นความผิดร้ายแรงที่ยากที่จะจัดการได้ การบันทึกความผิดพลาดและการก้าวผิดขั้นตอนในการทำงานถือเป็นส่วนหนึ่งที่เราควรสนใจ แต่เราไม่จำเป็นต้องให้การบันทึกเหล่านั้นเป็นเป้าความสนใจหลักของเรา เมื่องานเป็นเสมือนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณ เรายอมรับว่างานคือความยุ่งเหยิงว่าเราจะทำความผิดพลาดและความผิดพลาดของเราเป็นสิ่งที่สำคัญต่อการเรียนรู้ การเป็น “ผู้ตื่น” แนะนำว่าเราไม่จำเป็นต้องซ้ำเติมตัวเองต่อการตัดสินในที่ผิดพลาด คำพูดที่พลั้งเผลอ ในทางการเมืองหรือการมองข้ามบางสิ่งไปในการทำงานเรากำลังอยู่บนเส้นทางแห่งการเรียนรู้ถึงวิธีที่จะเป็นผู้ตื่นในการทำงาน และความผิดพลาดของเราก็เป็นบทเรียนสำคัญในการทำเช่นนั้น แทนที่เราจะลงโทษตัวเองในสิ่งที่ผิดพลาด อ่อนโยนต่อตัวเราเองเชิญชวนให้เราเหลียวมองดูใหม่ เรียนรู้บทเรียนของเราและเดินหน้าต่อไป พร้อมกับสร้างความผ่อนคลาย ให้แก่โลกของเราบ้างในระหว่างทาง เมื่อใดที่เราหักโหมกับตัวเอง เราย่อมที่จะหักโหมต่อผู้อื่นด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การเป็น “ผู้ตื่น” ช่วยทำให้บรรยากาศดีขึ้นสำหรับทุก ๆคนรอบตัวเราไม่ว่าจะเป็นผู้ร่วมงาน เพื่อนฝูง และครอบครัว
ท้ายที่สุดการเป็น “ผู้ตื่น” เชิญชวนให้เราผ่อนคลาย มันไม่ได้หมายถึงการหยุดทำงานแล้วจุดซีการ์ขึ้นสูบหรือดื่มคอกเทล แม้ว่านั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ทำได้ในสถานที่และเวลาที่เหมาะสม ผ่อนคลายในที่นี้หมายความว่า เราสามารถปล่อยวางภาระหนักที่ต้องยืนกรานตามความคิดเห็นของเราในยามที่มีความกดดันเราอาจพบว่าเรากำลังปกป้องตัวเองหรือไร้ความยืดหยุ่น บางทีเราอาจจะจริงจังกับตัวเองมากเกินไปบางทีเราจำเป็นต้องยอมรับฟังเหตุผลในการเปลี่ยนแปลงกำหนดเส้นตายที่มีความสำคัญ หรือสมาชิกคนหนึ่งในโครงการกำลังอาละวาดและตำหนิว่าเราเป็นผู้สร้างปัญหามากมายให้แก่เขา การเป็น “ผู้ตื่น” แนะนำให้เราปล่อยวางภาระอันหนักหน่วงจากการยืนหยัดในจุดยืนของเราลงบ้าง เราสามารถผ่อนคลาย รับฟัง และปรับตัวเพื่ออยู่ในสถานการณ์นั้นแม้ว่าจะอึดอัดและไม่น่ายินดีก็ตาม หนังสือเล่มนี้เชิญชวนให้เรามองเห็นว่าเมื่อใดก็ตามที่งานและชีวิตโดยทั่วไปไม่ได้เป็นไปตามที่เราต้องการ เราสามารถหยุดพักวางสิ่งที่หนักอึ้งลง ดูแลตัวเองและจำไว้ว่าเราไม่ได้เพียงแค่กำลังทำงานอยู่เท่านั้น แต่ว่าเรากำลังเป็นผู้ตื่นในการทำงาน
ที่มา : จากหนังสือ คติเตือนใจสู่การเป็น “ผู้ตื่น” ในการทำงาน Awake at work
ผู้เขียน : ไมเคิล แคร์โรลล์
ผู้แปล : พัชรี เกรแฮม
ไม่มีความเห็น